การที่ยอมจ่ายเงินในส่วนที่เกินความจำเป็นก็เพราะเฉินผิงอันนึกขึ้นมาได้ว่าภูเขาลั่วพั่วของบ้านตนก็มีศาลเทพภูเขาอยู่เช่นกัน วันหน้าหากมีสหายไปเยี่ยมเยียน ไม่สู้เอาธูปนี้มอบให้กับพวกเขา แขกมีความจริงใจ เทพก็ได้รับไอธูป ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ดี
นอกจากกระบอกใส่ธูปใบนี้และสมบัติสองชิ้นที่ทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมาจากเรือนหลิงจือแล้ว เฉินผิงอันยังซื้อ ‘ภาพเซียนกระบี่’ ฉบับคัดลอกชุดหนึ่งของจิตรกรเอกท่านหนึ่งจากนาตยทวีปซึ่งวางขายอยู่ในร้านนอกหอจิ้งเจี้ยนมาด้วย มีทั้งหมดห้าภาพ ทุกภาพล้วนเป็นม้วนภาพขนาดใหญ่และยาว แต่ละม้วนภาพวาดเซียนกระบี่ยี่สิบท่าน เซียนกระบี่ที่อยู่ในม้วนภาพมีขนาดยาวไม่เกินหนึ่งชุ่น แต่มีชีวิตชีวาเสมือนตัวจริง ล่องลอยประดุจเซียนบนสวรรค์
ต้นฉบับของ ‘ภาพเซียนกระบี่’ คือผลงานชิ้นเอกของบรรพบุรุษจิตรกรท่านหนึ่งที่รังสรรค์ผลงานขึ้นหลังจากชมศึกที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ภายหลังถูกนำมาทำเป็นสำเนาคัดลอกจำนวนนับไม่ถ้วน
จำนวนเซียนกระบี่ในหอจิ้งเจี้ยนมีมากเกินไป ‘ภาพเซียนกระบี่’ ที่มีชื่อฉบับว่าคูหินชุดนี้ก็แค่เลือกเซียนกระบี่มาร้อยคนตามความชื่นชอบของจิตรกรเท่านั้น ตอนนั้นในร้านยังมีวางขายอีกหลายชุด ราคาแตกต่างกันออกไป แต่ชุดคูหินนี้มีราคาสูงที่สุด หลังจากที่เปรียบเทียบอย่างละเอียดแล้ว เฉินผิงอันก็ค้นพบว่ายังคงเป็นเซียนกระบี่ในชุดคูหินนี้ที่วาดได้ถูกใจตนที่สุด จึงกัดฟันซื้อมา
ค่าใช้จ่ายก้อนนี้ไม่น้อยเลยจริงๆ เพราะมากถึงห้าสิบเหรียญเงินร้อนน้อย
เถ้าแก่ที่ยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งไม่รู้ว่าดีใจที่เจอคนมือเติบ หรือรู้สึกชื่นชมที่สายตาของเฉินผิงอันมีแววจากใจจริง ถึงได้เล่าเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับ ‘ภาพเซียนกระบี่’ ให้ฟัง เขาบอกว่าใต้หล้านี้มีเซียนกระบี่หลายท่านที่ได้รับภาพวาดเซียนกระบี่ฉบับไม่สมบูรณ์ในช่วงแรกไปโดยบังเอิญ แล้วก็บรรลุสัจธรรมจากเซียนกระบี่ที่อยู่บนภาพวาด ขยับขึ้นเป็นเซียนในก้าวเดียว กลายเป็นเซียนกระบี่พสุธาที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ
‘ภาพเซียนกระบี่’ ชุดนี้เฉินผิงอันคิดไว้ว่าจะมอบให้อริยะหร่วนฉงเป็นของขวัญ ตอนนั้นที่เขาออกมาจากเขตการปกครองหลงเฉวียนบ้านเกิด ช่างหร่วนยังไม่ได้จัดพิธีก่อตั้งสำนักอย่างเป็นทางการ ตอนนี้น่าจะทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว สำหรับหร่วนฉงแล้ว เงินร้อนน้อยห้าสิบเหรียญย่อมไม่มีค่าพอให้พูดถึง แต่จะดีจะชั่วก็เป็นของที่เฉินผิงอันพกพาจากภูเขาห้อยหัวไปฝากถึงหลงเฉวียนต้าหลี มีพันภูเขาหมื่นสายน้ำกั้นขวาง แม้ของขวัญจะไม่มีราคาค่างวด แต่น้ำใจกลับเต็มเปี่ยม
ไก่งามเพราะขน คนก็งามเพราะแต่ง
ระหว่างทางที่เฉินผิงอันเดินไปที่ท่าเรือซ่างเซียงจึงมีเซียนซือสาวหลายคนชำเลืองตามามองเขาอยู่หลายที เป็นการมองแบบที่ว่ามองเสร็จแล้วยังมองซ้ำอีกที ไม่ใช่มองผ่านแวบเดียวแล้วไม่เหลียวแลอีก
เมื่อเทียบกับการเดินทางนำกระบี่มาส่งที่ภูเขาห้อยหัวแล้ว การเดินทางไปหานักพรตที่ใบถงทวีปครั้งนี้ เฉินผิงอันเคร่งเครียดกว่าเล็กน้อย เมื่อแน่ใจว่าผู้ฝึกลมปราณหญิงอายุน้อยเหล่านั้นไม่ได้มีเจตนาชั่วร้ายก็ไม่คิดอะไรมากอีก
ท่าเรือซ่างเซียงกว้างใหญ่กว่าท่าเรือจัวฟ่างอยู่มาก แต่เฉินผิงอันที่พกป้ายหยกขึ้นเรือของภูเขาห้อยหัวไว้ที่เอวกลับไม่ได้เห็นปลาวาฬกลืนสมบัติที่ต้องมีเรือนกายใหญ่โตมโหฬารตัวนั้น กลับกันคือได้เห็นเต่าทะเลขุนเขาที่บนกระดองสร้างหอเรือนหอเก๋งไว้เรียงราย เห็นรถลากใหญ่ยักษ์คันหนึ่งที่มีกระเรียนเซียนชิงหลวนทำหน้าที่ลากรถ และยังมียอดเขาขนาดเล็กเขียวชอุ่มซึ่งก็คือวัตถุอันเป็นเอกลักษณ์ที่มีเฉพาะในฝูเหยาทวีปที่ถูกบันทึกไว้ใน ‘จารึกภูเขาและทะเล’
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นภูเขาบินมา หรือยอดเขาบินไป ว่ากันว่ารากของภูเขาประเภทนี้เกิดจากการรวมตัวกันของปราณวิญญาณ คือของบำรุงที่ยอดเยี่ยมสำหรับเจียวหลง การลงน้ำกลายเป็นมังกรของเจียวใหญ่ที่อยู่อาศัยบนบกในสมัยบรรพกาล หลังจากเลือกสายน้ำขนาดใหญ่ที่เชื่อมกับมหาสมุทรไว้เรียบร้อยแล้ว จะต้องเชิญให้คนยกเอาภูเขาบินมายอดเขาบินไปหลายลูกมาไว้ริมน้ำ เพื่อที่พวกมันจะได้กินอาหารทันเวลา ป้องกันไม่ให้เหนื่อยล้าหมดแรง ไม่ให้เลือดลมถูกเผาผลาญจนสิ้นก่อนจะกลายเป็นมังกรได้สำเร็จ
เฉินผิงอันเพิ่งจะหัดเรียนภาษาทางการของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง คิดจะถามทางก็คงคุยกับใครไม่รู้เรื่อง หากไม่ได้จริงๆ ก็คงได้แต่เอาแผ่นไม้ไผ่ที่สลักตัวอักษรมาใช้สอบถาม
ยังดีที่เฉินผิงอันเจอผู้โดยสารที่แขวนป้ายหยกในลักษณะเดียวกันอยู่หลายคน จึงติดตามพวกเขาไปเงียบๆ เดินไปได้ระยะหนึ่ง เพียงไม่นานก็ไปถึงตำแหน่งที่ผู้คนเบียดเสียดกัน เฉินผิงอันจึงถอนหายใจโล่งอก ผลคือถูกคนตบไหล่ซ้ายเบาๆ หนึ่งที เฉินผิงอันหันกลับไปมองทางขวาโดยตรง แล้วก็ได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย คนผู้นั้นเห็นว่าเฉินผิงอันไม่หลงกลก็รู้สึกหมดสนุก กล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ทำไม เจ้าเองก็จะไปที่สำนักฝูจีใบถงทวีปด้วยหรือ? เจ้าคงไม่ได้คิดมิดีมิร้ายกับข้าหรอกกระมัง? ปรารถนาในความงามของข้างั้นรึ?”
นี่คือคนเลวชิงฟ้องก่อน?
ความประทับใจที่เฉินผิงอันมีต่อคนผู้นี้ไม่ดีและไม่เลว
คนผู้นี้ก็คือชายงามที่…ปักปิ่นมุก สวมชุดกระโปรงสีชมพู ตรงเอวรัดเข็มขัดหลากสี
หากจะบอกว่าตั้งแต่ที่โดยสารเกาะกุ้ยฮวาจากนครมังกรเฒ่ามาถึงภูเขาห้อยหัวคือบุพเพวาสนา ถ้าอย่างนั้นจากภูเขาห้อยหัวไปยังสำนักฝูจีก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นแผนการที่ยากจะหยั่งเจตนาของใครบางคน
ลูกหลานสกุลลู่ที่เคยถูกนักพรตน้อยคนเฝ้าประตูโยนออกมาจากหอซ่างเซียงผู้นี้มองออกถึงความระแวดระวังของเฉินผิงอัน เขาจึงตบป้ายหยกขึ้นเรือที่เรือข้ามฟากปลาวาฬกลืนสมบัติแจกให้ตรงเอวหนึ่งทีแล้วพูดกลั้วหัวเราะ “เป็นอย่างที่เจ้าคิดไว้ การเดินทางไปยังสำนักฝูจีของข้าในครั้งนี้ก็เพราะหวังเฝ้าต้นไม้รอกระต่าย มารอคอยเจ้าโดยเฉพาะ”
นี่ถือเป็นการป่าวประกาศอย่างเปิดเผยแบบใดกัน?
เฉินผิงอันเริ่มมึนงง แต่ในใจตัดสินใจไว้แล้วว่าจะต้องอยู่ห่างๆ จากคนผู้นี้ไว้เป็นการดี
ไอ้หมอนี่ไม่เพียงแต่มีรูปโฉมงามเลิศล้ำ ยังมีน้ำเสียงที่ใสไพเราะ ยากจะแยกแยะว่าเป็นชายหรือหญิง ก่อนหน้านี้ไปเที่ยวชมศาลาจัวฟ่างด้วยกัน ‘โดยบังเอิญ’ ดูจากคำพูดและการกระทำของเขาก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่มีนิสัยโลดโผน ไม่ทำอะไรตามหลักของคนปกติทั่วไป แม้เฉินผิงอันจะไม่ได้รู้สึกอคติต่อการแต่งกาย นิสัยและความชื่นชอบของคนผู้นี้ แต่ก็ไม่ต้องการให้ใครมาทำลายชีวิตอันสงบสุขของตน
คนผู้นั้นเอามือสองข้างไพล่หลัง สิบนิ้วสอดประสานกัน เชิดคางขึ้นเล็กน้อย หรี่ตามองเฉินผิงอัน ท่าทางนุ่มนวลอ่อนหวาน สง่างามหญิงว่าผู้หญิงจริงๆ ซะอีก เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ข้าก็จะต้องพูดความจริงออกมา ข้าแซ่ลู่ชื่อไถ ลู่จากคำว่าลู่ตี้ที่แปลว่าแผ่นดิน ไถจากซ่างหยางไถผลงานของหลี่ป๋าย เป็นลูกหลานสกุลลู่จากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ไม่ได้รับการยอมรับจากในตระกูลสักเท่าไหร่ จึงออกมาหาประสบการณ์ในใต้หล้าเพียงลำพัง ทวีปใหญ่เก้าแห่งของใต้หล้าไพศาล ข้าไปเยือนมาแล้วห้าแห่ง เดิมทีข้าไม่คิดจะไปที่ใบถงทวีปแล้ว แต่ตอนนี้กระเป๋าเงินของข้าฟีบแบน เลยอยากจะหาคนดีๆ ที่สามารถเลี้ยงดูข้าให้กินอิ่มนอนหลับ อีกทั้งยังไม่ปรารถนาในความงามของข้า ข้าคิดว่าคนคนนั้นก็คือเจ้า ถึงอย่างไรก็ติดเงินฝนธัญพืชเจ้าหนึ่งเหรียญแล้ว จะติดเพิ่มอีกสักเหรียญ เจ้าก็คงไม่ถือสา ไม่แน่ว่าเมื่อไปถึงใบถงทวีป ข้าเหยียบขี้หมาบนทาง (มาจากประโยคโชคดีขี้หมา) ก็อาจจะคืนเงินให้เจ้าได้ แล้วก็อาจจะถือโอกาสหาเงินค่าเดินทางกลับบ้านให้ตัวเองได้ด้วย”
เขาที่ชื่อว่าลู่ไถเห็นว่าเฉินผิงอันมีสีหน้าไร้อารมณ์ ชัดเจนว่าไม่คิดจะเชื่อคำพูดโป้ปดประโยคนี้ของเขา
เขาจึงถอนหายใจหนึ่งที “ก็ได้ บอกตามตรงแล้วกัน ข้ามีชาติกำเนิดจากสำนักหยินหยาง เชี่ยวชาญด้านการพยากรณ์ ในกระเป๋าไม่มีเงินคือเรื่องจริง หาเงินไม่ได้คือเรื่องโกหก แต่หลังจากที่ข้าติดเงินฝนธัญพืชเจ้าหนึ่งเหรียญก็ได้ทำนายดวงให้ตัวเอง ผลที่ออกมาก็คือเดินทางทิศตะวันออกกลืนสมบัติ ใบถงแต่งตั้งโหว คำทำนายระดับดีเยี่ยม ความหมายของคำทำนายนี้ตื้นเขินมาก แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ข้าก็ยังรอคอยอยู่ที่นี่ถึงยี่สิบวันเต็ม นี่ก็คือสาเหตุที่ข้าพูดว่า ‘เฝ้าต้นไม้รอกระต่าย’ สุดท้ายเมื่อได้พบเจ้า ข้าก็รู้แล้วว่าหากข้าไม่ยอมเดินทางไปยังใบถงทวีปที่มีบรรพบุรุษให้การปกป้องคุ้มครองในครั้งนี้ ก็คงต้องถูกฟ้าผ่าแล้ว”
เฉินผิงอันไม่ได้แสดงกิริยาหยาบคาย ยิ่งไม่ได้ทำสีหน้าหงุดหงิดให้เห็น แต่สอบถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรที่แฝงไว้ด้วยการปรึกษาว่า “คุณชายลู่ เจ้าเดินทางไปยังใบถงทวีปโดยอิงตามคำทำนายที่ออกมาว่าเป็นมงคล ข้าย่อมไม่ขัดขวางเจ้า แล้วก็ขวางเจ้าไม่อยู่ แต่เจ้ากับข้าต่างคนต่างอยู่ได้หรือไม่? หากคุณชายลู่ร้อนเงิน ข้าสามารถให้เจ้ายืมเงินร้อนน้อยได้อีกบางส่วน…”
เขาพลันตัดบทคำพูดของเฉินผิงอัน สีหน้าและน้ำเสียงมีความเย้ายวนตามธรรมชาติ “คุณชายลู่อะไรกัน เพื่อลดความยุ่งยากบางเรื่องลง เจ้าเรียกข้าว่าแม่นางลู่ก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นสายตาที่คนอื่นมองข้าต้องแปลกประหลาดมากแน่ๆ”
เฉินผิงอันรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ
ในเมื่อเจ้าถือสาสายตาที่คนอื่นมองเจ้า? เหตุใดถึงไม่ถือสาสายตาที่ข้ามองเจ้าบ้างล่ะ?
ลู่ไถถึงขั้นเริ่มออดอ้อน “เฉินผิงอัน ตกลงเถอะน่า นะ? พาข้าไปด้วยสักครั้ง? ข้าสามารถสาบานต่อสวรรค์ หากมีใจคิดร้ายต่อเจ้าก็ขอให้ข้าถูกห้าอสนีผ่า ถูกโยนเข้าไปแช่ในบ่อสายฟ้า ถูกสยบอยู่ใต้ภูเขาสุ้ยซาน ถูกกักขังอยู่ในเตาหลอมของวังมังกรใต้ทะเลลึก ถูกเนรเทศไปอยู่พื้นที่ลับห่างไกลหมื่นลี้ที่เปลี่ยวร้างไร้ผู้คน…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!