เขาคิดว่าหลักการของคนพายเรือสุดโต่งเกินไป มองดูเหมือนมีเหตุผล แต่อันที่จริงกลับไร้เหตุผล
เพราะมันไม่สมบูรณ์แบบมากพอ ไม่ใช่ ‘การยึดทางสายกลาง’ อย่างที่กล่าวไว้ในหนังสือ
และรากฐานของลัทธิเต๋าก็คือสี่คำว่าวิถีเต๋าคือวิถีธรรมชาติ
ดังนั้นการอ่านหนังสือในค่ำคืนนั้น เฉินผิงอันยังพอจะจำได้อย่างเลือนรางว่ามีคนกล่าวว่า หลักการของลัทธิพุทธ ไม่ได้อยู่ที่จุดสูง ไม่ได้อยู่ที่ว่ามันสูงมากแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่าเหตุผลนั้นมีความเป็นจริงหรือไม่
คนผู้นั้นถึงขั้นเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า ปรมาจารย์มหาปราชญ์ของลัทธิพุทธเรามีความรู้ลึกล้ำกว้างไกลถึงเพียงนั้น ทว่าหลังจากการถามตอบในครั้งหนึ่งกลับมาพูดทอดถอนใจซึ่งแฝงไว้ด้วยความละอายที่ตัวเองสู้ไม่ได้กับลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นการส่วนตัวว่า มรรคาของคนบางคนสูงจริงๆ แต่ว่า…
น่าเสียดายก็แต่เนื้อหาหลังจากคำว่า ‘แต่ว่า’ เฉินผิงอันกลับจำไม่ได้แล้ว จำไม่ได้แม้แต่คำเดียว อาจเป็นเพราะคนผู้นั้น หรือไม่ก็ในหนังสือเล่มนั้นไม่ได้กล่าวไว้
วันนี้ที่เฉินผิงอันเอ่ยถาม แน่นอนว่าไม่ได้เป็นการถามลู่ไถ เฉินผิงอันไม่ได้คิดอะไรมากมายถึงเพียงนั้น
นับตั้งแต่ที่เฉินผิงอันฝึกหมัดและเริ่มเรียนหนังสือเป็นต้นมา
เขาจะไม่เคยคิดถึงอนาคตของตัวเองมาก่อนเลยจริงๆ หรือ?
แน่นอนว่าไม่ใช่ เขาเคยมีสัญญาหกสิบปีกับพี่สาวเทพเซียนวิญญาณกระบี่ และตอนนี้ก็มีสัญญาสิบปีกับหนิงเหยา
‘การท่องไปบนภูเขาเที่ยวไปตามลำน้ำ’ ทั้งสองครั้งของเฉินผิงอัน จากแรกเริ่มสุดที่บอกว่า ‘หมัดนี้ของข้าต้องเร็วที่สุด’ ก็กลายมาเป็นว่า ‘หมัดนี้ของข้าต้องเร็วมากกว่าเดิม แต่ก็ต้องมีเหตุผลที่สุดด้วย’
หนึ่งในประโยคที่มีน้ำหนักที่สุดของเฉินผิงอัน ตอนนั้นคนที่ฟังประโยคนี้อาจจะไม่ได้ใส่ใจ นั่นคือตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมระหว่างที่เดินทางกลับบ้านเกิด เขาพูดกับเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูว่า “หากข้าทำผิดตรงไหน เจ้าต้องบอกข้าด้วยนะ”
เส้นทางหัวใจของเฉินผิงอัน ไม่ว่าตอนหลังผู้เฒ่าบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วจะปล่อยหมัดต่อยลงมาบนร่างและจิตวิญญาณของเขามากน้อยเท่าไหร่ แต่เฉินผิงอันก็ยังคงสงสัยตัวเองอยู่ตลอดเวลา
แต่นี่คือก้าวที่เขาจำเป็นต้องก้าวออกไป
และก่อนหน้านี้เฉินผิงอันก็ได้เปิดเผยสภาพจิตใจ หรือควรจะเรียกว่าความรู้สึกแท้จริงซึ่งเป็นดั่งภาพมายาจับต้องไม่ได้ออกมาด้วยประโยคที่ไม่ตั้งใจเพียงประโยคเดียว นั่นคือตอนที่พูดกับพ่อแม่ของหนิงเหยาบนภูเขาห้อยหัว
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเฉินผิงอันปฏิเสธตัวเองมาโดยตลอด
“เป็นเพราะข้าทำได้ไม่ดีพอ”
ทำได้ไม่ดีพอก็คือทำผิด
บนโลกนี้จะมีสักกี่คนที่เข้มงวดกับตัวเองเช่นนี้?
แต่สภาพจิตใจเช่นนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ เป็นเพราะเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตถูกทุบแตก รวมไปถึงความลำบากยากเข็ญมากมายที่ต้องเผชิญหลังจากนั้น โอกาสและความบังเอิญทั้งหลายแหล่ล้วนบีบบังคับให้เฉินผิงอันต้องสร้างสภาพจิตใจที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจและหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากทำสำเร็จจะรวบรวมขึ้นเป็นภาพมหัศจรรย์ที่ตะวันจันทราลอยเด่นบนนภาจนกลุ่มดวงดาวหม่นแสง
หากทำไม่สำเร็จก็คงต้องผิดคำสัญญา ผิดหวังในหลายๆ เรื่อง
คนคนหนึ่งหากไม่มีอะไรให้กินย่อมหิวตาย แต่หากพื้นที่ในหัวใจแห้งขอดก็ต้องตายอีกเหมือนกัน แค่ไม่รู้ตัวก็เท่านั้น วันนี้ไม่ตาย วันหน้าก็ต้องตายอยู่ดี
ดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ เผชิญกับความทุกข์ยากและสิ้นหวัง ลุกผงาดขึ้นอย่างเคียดแค้น มุมานะในการพัฒนาตน
แต่กลับดิ้นรนสู่ความตายอย่างเงียบเชียบ กินดื่มสำเริงสำราญ ไม่รู้จักควบคุมตน เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาดุจม้าพยศแล่นเตลิด ข้อเสียต่างๆ นานาก็คือความประหลาดของหัวใจคน
ใจคนซับซ้อน จนแม้แต่อริยะและเซียนก็ยังไม่กล้าบอกว่าตัวเองมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
เหตุใดตอนอยู่เมืองเล็กชุยฉานถึงพ่ายแพ้ นี่ก็คือตัวอย่าง
เมื่อไล่ตามเส้นทางแห่งใจเส้นนี้ไป สภาพจิตใจของเฉินผิงอันจึงชัดเจนอย่างยิ่ง เกือบจะทำให้หลิวเสี้ยนหยางต้องตาย คือความผิดของข้าเฉินผิงอัน ดังนั้นหากข้าตายก็ตายไปเถอะ ได้พูดเหตุผลหลักการของตัวเองที่อีกฝ่ายไม่เต็มใจฟังจนจบก็ถือว่าปัญหาทุกอย่างจบสิ้นกันแล้ว
ก่อนที่กะเทยในเตาเผามังกรคนนั้นจะตาย เฉินผิงอันไม่ได้รับปากชายคนนั้นว่าจะช่วยเก็บตลับชาดให้
เฉินผิงอันก็ยังคงรู้สึกอยู่ดีว่าเป็น ‘ความผิด’ ของตัวเอง
และคำสรุปแบบตอกปิดฝาโลงที่ผู้คนพากันพูดก่อนกะเทยคนนั้นจะตาย บอกว่าเฉินผิงอันเจ้าคือคนดี เฉินผิงอันก็ยังคงมองข้ามมันไปโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัว
ฉีจิ้งชุนเต็มใจคารวะเฉินผิงอันในตรอกเล็ก แต่เฉินผิงอันก็ยังจำได้แค่สิ่งที่วิญญาณกระบี่กล่าวไว้ว่า ‘อาจารย์ฉีกำลังเดิมพัน เดิมพันจากส่วนหนึ่งในหมื่นนั้น’ ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดอาจารย์ฉีถึงเชื่อว่าเขาจะไม่ผิดหวังต่อโลกใบนี้ เฉินผิงอันกลับไม่เคยคิดถึงมาก่อน
เมื่อคนคนหนึ่งรู้จักโลกใบนี้อย่างแท้จริง เคยเห็นภูเขาใหญ่ที่สูงเสียดแทงชั้นเมฆ เคยเห็นสายน้ำไหลคดเคี้ยวหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เห็นภาพปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาทัดเทียม หรือถึงขั้นเคยเห็นท่วงทำนองของเหล่าบัณฑิต เห็นชุดขุนนาง ที่ว่าการซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความน่าเกรงขามของหนึ่งแคว้น เห็นการเกิดแก่เจ็บตายอันเป็นความไม่เที่ยงของคนธรรมดา เคยเห็นกองทัพม้าเหล็กที่มองดูเหมือนจะห้าวหาญกร้าวแกร่ง แต่แท้จริงแล้วกลับเลือดเย็นอำมหิต เห็นอดีตสหายที่กลายไปเป็นคนแปลกหน้า ยิ่งเดินยิ่งห่างไกลโดยที่ทำอะไรไม่ได้ เห็นบิดามารดาค่อยๆ แก่ชราแล้วจากไป โดยที่เจ้าไม่อาจเหนี่ยวรั้งเอาไว้ได้เลย…
ดังนั้นในบางเวลาคนคนหนึ่งก็อาจจะรู้สึกขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า ตัวเองช่างเล็กจ้อยเหลือเกิน
ความรู้สึกเช่นนี้น่าจะเรียกว่าความโดดเดี่ยวอ้างว้าง
ความเศร้าโศกเสียใจ ยากที่ใครจะรู้สึกเห็นใจเหมือนได้เผชิญด้วยตัวเอง การแบ่งปันความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ ชีวิตคนมีแต่การจากลาครั้งแล้วครั้งเล่า…
อันที่จริงสำหรับโลกใบนี้ เฉินผิงอันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หลิวเสี้ยนหยาง หลี่เป่าผิง กู้ช่านล้วนไม่มีทางเป็นเหมือนเฉินผิงอัน
กู้ช่านคิดแต่จะแก้แค้น
หลี่เป่าผิงรู้สึกว่าฟ้าดินมีแต่เรื่องน่าสนใจ จมจ่อมอยู่ในโลกของใจตนที่เต็มไปด้วยสีสัน แทบไม่เคยสงสัยตัวเอง และยิ่งไม่เคยปฏิเสธตัวเองง่ายๆ
ดังนั้นนางถึงได้เอ่ยประโยคที่ว่า ‘จะมีอาจารย์อาน้อยที่ไม่ชอบหลี่เป่าผิงได้อย่างไร?’
ส่วนหลิวเสี้ยนหยางก็พูดตามความต้องการของหัวใจว่า ข้าจะต้องได้เห็นภูเขาที่สูงกว่านี้และได้เห็นแม่น้ำที่ใหญ่กว่านี้ ข้าจะไม่มีทางแก่ตายอยู่ในสถานที่เล็กๆ แห่งนี้แน่นอน!
แต่เฉินผิงอันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เขาอาจจะทำเรื่องอะไรมากมาย ยกตัวอย่างเช่นพาพวกหลี่เป่าผิงไปที่ต้าสุย แต่สภาพจิตใจและอารมณ์ของเฉินผิงอันจะถูกซ่อนเอาไว้
ความคิดและอารมณ์ส่วนใหญ่ของเฉินผิงอันจะอยู่ในลักษณะที่ ‘ไม่เคลื่อนไหว’
เผาเครื่องปั้นอยู่ในเตาเผามังกรมานานหลายปี เด็กหนุ่มปรารถนาให้มือของตัวเองมั่นคงอยู่ตลอดเวลา แต่แท้จริงแล้วนั่นเป็นการแสวงหาจิตใจที่มั่นคงอย่างดึงดัน
ใจไม่มั่นคง เขาก็จะอิจฉาที่ซ่งจี๋ซินมีเงิน อิจฉาที่เขามีคนให้ใช้ชีวิตพึ่งพากันและกัน อิจฉาที่เขาอ่านออกเขียนได้
อิจฉาหลิวเสี้ยนหยางที่เรียนรู้ทุกอย่างได้รวดเร็ว ไม่ว่าเรื่องใดแค่ลงมือก็ทำได้อย่างคล่องแคล่ว ยังจะต้องรังเกียจและดูแคลนกะเทยคนนั้น และตอนที่ตามหาตัวเขาพบบนภูเขาครั้งแรกก็จะไม่มีทางชี้บอกเส้นทางให้กะเทยคนนั้นหนีไป กลับกันคือจะเอาความลับนี้ไปบอกผู้เฒ่าเหยาโดยตรง
แต่เรื่องราวมีดีมีร้าย เมื่อใจมั่นคงแล้ว เลือกเส้นทางสุดโต่ง ก็จะ ‘ตาย’ ง่ายเหมือนอย่างที่ลู่ไถพูด ซึ่งอันที่จริงนี่ก็คือการ ‘แกล้งตาย’ ของลัทธิเต๋า
นี่ก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมหร่วนฉงที่แม้จะไม่มีอคติต่อเฉินผิงอัน แต่ก็ยังไม่เคยเห็นเฉินผิงอันเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน และไม่ยินดีรับเขาเป็นลูกศิษย์
และนี่คือสาเหตุที่ว่าทำไมลู่ไถถึงคิดว่าเฉินผิงอันไม่มีไหวพริบมากพอ
ดังนั้นสภาพจิตใจของเฉินผิงอันที่วิญญาณกระบี่เห็นในตอนนั้นจึงเป็นภาพของเด็กน้อยสวมรองเท้าสานที่นั่งเฝ้าสุสานและภูเขา
‘ความเคลื่อนไหว’ เพียงหนึ่งเดียวก็คือตอนที่ไล่ตามเงาร่างของใครบางคนไปทางทิศใต้
เงาร่างนั้น แท้จริงแล้วก็คือหนิงเหยาที่ขี่กระบี่จากไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!