มิน่าเล่าชุยตงซานถึงบอกว่าฆ่าคนปล้นทรัพย์ได้รัดเข็มขัดทอง
อารมณ์ของเฉินผิงอันหนักอึ้ง การถูกไล่ล่าโอบล้อมครั้งนี้ทำให้เขาอดไพล่นึกไปถึงการซุ่มโจมตีในป่าของแคว้นซูสุ่ยครั้งนั้นไม่ได้ นักฆ่าหอหม่ายตู๋กับหลินกูซานปรมาจารย์แคว้นไฉ่อีร่วมมือกัน เสี่ยงอันตรายอย่างถึงที่สุด หากไม่เป็นเพราะเซียนกระบี่ไผ่เขียวซูหลางมาช่วยได้ทันเวลา สุดท้ายใครรอดใครตายก็คงบอกได้ยากจริงๆ
การเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ เฉินผิงอันระมัดระวังตัวมากพอแล้ว เขามักจะขึ้นภูเขามองไปยังทิศไกล ต่อให้ติดตามลู่ไถไปเดินเล่นในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดก็ยังคอยระวังอยู่ตลอดเวลาว่ามีใครติดตามมาหรือไม่ ดังนั้นการที่คนกลุ่มนี้อำพรางร่องรอยเบาะแสได้อย่างมิดชิดก็สามารถอธิบายปัญหาได้อย่างชัดเจนแล้ว อีกฝ่ายมีเจตนาไม่ดี หากไม่มั่นใจย่อมไม่มีทางเปิดเผยร่องรอยอย่างแน่นอน
ศึกใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น ลู่ไถรู้สึกร้อนตัวเหมือนวัวสันหลังหวะ “เฉินผิงอัน เจ้าคงไม่ได้เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่จริงๆ หรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันตะลึงงัน ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงถามเช่นนี้ แต่ก็พยักหน้าตอบรับ “ย่อมต้องจริงอยู่แล้ว”
ลู่ไถยอมรับอย่างขลาดๆ “ข้านึกว่าเจ้าคือขอบเขตห้าแล้วจงใจอำพรางพลังที่แท้จริงต่อหน้าข้า นี่ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องปกติ ท่องอยู่ในยุทธภพ ใครบ้างที่ไม่มีเวทอำพรางตา ดังนั้นข้าก็เลยเพิ่มขอบเขตของตัวเองให้สูงอีกนิด อันที่จริงข้าไม่ใช่ขอบเขตประตูมังกร แต่เป็นขอบเขตที่หกชมมหาสมุทร”
เฉินผิงอันถลึงตาใส่เขา “เวลานี้แล้ว ยังจะมาเล่นลูกไม้อีกรึ?! เจ้าอยากตายหรือไง?”
ลู่ไถรู้ตัวว่าผิด จึงไม่ได้โต้เถียง แค่บ่นในใจไม่หยุดเท่านั้น
ลู่ไถเขย่งปลายเท้า กิ่งไม้โยกไหว ร่างทั้งร่างของเขาทะยานขึ้นไปบนยอดไม้สูงสุด สีหน้ามองดูเหมือนผ่อนคลาย แต่อันที่จริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาหุบพัดไม้ไผ่เล่มนั้นแล้วเอามาเคาะกับฝ่ามือเบาๆ
ถึงอย่างไรลู่ไถก็เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทร อีกอย่างยังได้รับการอบรมสั่งสอนจากตระกูลมาเป็นอย่างดี หนังสือที่เก็บสะสมไว้มีเยอะมาก อีกทั้งเขายังเป็นคนที่ชอบเรียนรู้นั่นนิดนี่หน่อย วิชาอาคมของทั้งร่างจึงค่อนข้างปะปนกันซับซ้อน เพียงแต่ว่าไม่มีวิชาใดที่เชี่ยวชาญที่สุดเท่านั้น แต่การ ‘รู้ทุกแขนงแต่ไม่เชี่ยวชาญสักแขนง’ นี้ก็เหมาะกับผู้ฝึกตนมีพรสวรรค์ที่ชาติตระกูลดีอย่างลู่ไถ เพราะเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนอิสระที่อาศัยวิชาลับครึ่งๆ กลางๆ จนได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลางแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสายตาหรือฝีมือของลู่ไถก็ล้วนสูงกว่าผู้ฝึกตนในขอบเขตเดียวกันไประดับใหญ่ เพียงแต่ว่าจะเอาข้อได้เปรียบเหล่านี้มาเปลี่ยนเป็นโอกาสในการคว้าชัยชนะที่แน่นอนได้หรือไม่ อันที่จริงกลับบอกได้ยากมาก
แม้ว่าผู้ฝึกตนอิสระที่เอาผ้ารัดเอวโพกหัวเหล่านั้นจะไม่ถือเป็นพวกเดนตายที่ไม่เสียดายชีวิต แต่หากตกอยู่ในอันตราย หรือผลประโยชน์ล่อลวงใจมากพอ การเลือกที่จะสู้สุดชีวิตของพวกเขาย่อมแตกต่างจากพวกลูกศิษย์ของสำนักที่ได้รับการสืบทอดอย่างมีระบบระเบียบ ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติมั่งคั่งอย่างสิ้นเชิง พวกเขาอำมหิต เจ้าเล่ห์ และยินดีใช้การบาดเจ็บแลกมาด้วยความตาย
เฉินผิงอันถามเบาๆ “ต้องให้ข้าถ่วงเวลาให้เจ้า เจ้าจะได้ลองตรวจสอบเบื้องลึกเบื้องหลังของพวกเขาก่อนหรือไม่? ข้ามีประสบการณ์ในการเข่นฆ่ากับผู้ฝึกลมปราณไม่มากพอ อีกอย่างพวกเราก็ไม่สนิทกันนัก จึงง่ายที่จะกลายเป็นตัวถ่วงของกันและกัน”
ลู่ไถตอบด้วยเสียงในใจ “ดี”
รวดเร็วฉับไว
ลู่ไถคงกลัวว่าเฉินผิงอันจะเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองจะนิ่งดูดาย จึงพูดเสริมไปว่า “หากข้ามีการค้นพบเมื่อไหร่ จะบอกให้เจ้ารู้ถึงที่มาของเวทลับ ควรป้องกันอย่างไรและวิธีทลายอาคมในทันที”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ คีบยันต์ย่อพื้นที่ชิ้นหนึ่งมาจากชายแขนเสื้อเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
เฉินผิงอันกล่าว “ศึกตัดสินเป็นตายจะทำเป็นเล่นไม่ได้”
ลู่ไถยิ้ม “ทราบแล้ว”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
ข้าเฉินผิงอันในปีนั้นยังไม่ทันฝึกวิชาหมัด อาศัยแค่กฎเกณฑ์และชัยภูมิที่เอื้ออำนวยของถ้ำสวรรค์หลีจูก็เกือบจะฆ่าทั้งไช่จินเจี่ยนและฝูหนันหัวไปพร้อมกันในตรอกเล็ก
แล้วคนอื่นอาศัยอะไรมาฆ่าเฉินผิงอันกับลู่ไถ?
เฉินผิงอันยังคงยืนอยู่บนกิ่งไม้ แม้การทำเช่นนี้จะง่ายต่อการตกเป็นเป้า แต่การมองเห็นเปิดกว้าง ในขณะที่สองกองทัพประจัญบานกัน ต้องพยายามรู้เขารู้เราให้ได้มากที่สุด เสี่ยงอันตรายเล็กน้อยพอให้เห็นสถานการณ์โดยรวม อย่างไรก็ดีกว่าเป็นแมลงวันไร้หัวที่พุ่งสะเปะสะปะไปทั่ว
พวกโจรดักปล้นกลางทางที่แอบติดตามพวกเขาอย่างลับๆ มาตั้งแต่ถนนเรียกสวรรค์ของสำนักฝูจีกลุ่มนี้ไม่ได้ปรากฎตัวทีเดียวทั้งหมด แต่จับกลุ่มกันกลุ่มละสองสามคน จำนวนคนที่เห็นได้ชัดๆ ก็มากถึงสิบกว่าคนแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!