และตนก็ได้เรียนรู้เพิ่มมากขึ้นอีกนิด
ลู่ไถสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “ผู้บงการคนนั้นเพิ่งจะหนีไป ข้าจะไล่ตามเขาไป ทางฝั่งนี้เจ้าน่าจะรับมือได้ อีกเดี๋ยวข้าก็กลับมา”
ลู่ไถเก็บกระบี่บินเจินเจียนที่รูปร่างไม่สมชื่อเล่มนั้นลงไปก่อน
ตรงข้อมือทั้งสองและข้อเท้าทั้งสองของเขาต่างก็มีภาพดอกบัวตูมสีม่วงทองรอเบ่งบานปรากฎขึ้น
ลู่ไถเอ่ยเสียงเบา “ดอกไม้ผลิบาน”
ดอกบัวสีม่วงทองสี่ดอกที่มีชีวิตชีวาเสมือนจริงพลันเบ่งบานทันใด
ลู่ไถกัดฟัน กระโดดขึ้นสูง จากนั้นก็ทะยานลมจากไปไกล
ร่างของเขาโน้มไปด้านหน้า หรี่ตามองไปทิศไกล ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่พองโป่ง สะบัดส่งเสียงดังพึ่บพั่บ เส้นผมตรงจอนหูปลิวไสวยุ่งเหยิง
เขาเหลียวซ้ายแลขวา จากนั้นก็เล็งไปยังตำแหน่งหนึ่งแล้วพุ่งตัวไป
ผู้ฝึกตนลัทธิมารกลืนน้ำลายลงคอ มือหนึ่งถือหม้อดินเผาที่บรรจุวิญญาณร้ายไว้จนเต็ม อีกมือหนึ่งกลับทำมือเป็นท่าคารวะของหลวงจีน ยิ้มประจบพูดว่า “คุณชายเซียนกระบี่ท่านนี้ ครั้งนี้เป็นข้าที่ล่วงเกินท่าน เสียมารยาทแล้วๆ คราวหน้าที่พบเจอกันข้าจะต้องเป็นฝ่ายหลบลี้หนีห่างให้ไกลแน่นอน หากถึงเวลานั้นคุณชายมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อะไรจะมอบหมายให้กับข้าน้อย ข้าจะไม่มีทางปฏิเสธแน่”
ระหว่างที่พูดผู้ฝึกตนลัทธิมารก็คอยสังเกตสีหน้าและท่าทางของเด็กหนุ่มชุดขาวอยู่ตลอดเวลา ร่างถอยกรูดไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว
คนผู้นี้ก็เป็นคนที่เด็ดขาดมากเหมือนกัน ก่อนจะเผ่นหนีไปจึงบีบหม้อดินเผาสีดำที่เลี้ยงวิญญาณใบนั้นให้แหลกละเอียด ควันดำพลันแผ่ตลบอบอวล
จิ้งจกหางขาด (กล่าวถึงจิ้งจกเวลาที่เจอศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าจะกัดหางตัวเองให้ขาดแล้วหนีไป หางที่ขาดยังขยับได้อยู่ จึงเป็นการดึงดูดความสนใจของศัตรู ส่วนมันก็ฉวยโอกาสนี้หนีเอาตัวรอด)
แสงสีทองเล็กบางเส้นหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางควันดำที่กลิ้งหลุนๆ สามารถมองเห็นได้อย่างรวดเร็วว่าควันที่มืดทะมึนดุจน้ำหมึกเหนียวข้นสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
แต่กว่าที่ควันสกปรกเหล่านี้จะสลายหายไปอย่างสิ้นเชิงได้นั้นยังต้องใช้เวลาอีกครู่หนึ่ง
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว เดินไปข้างหน้าหลายก้าว ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนยอดบนสุดของต้นไม้ใหญ่
เรือนกายของคนผู้หนึ่งพลันกลายเป็นควันสีเทาบางเบาเผ่นหนีไปไกลในผืนป่าอย่างรวดเร็ว
ชูอีไล่ตามไปด้วยตัวเองก่อนแล้ว
จิตของเฉินผิงอันเคลื่อนไหวเล็กน้อย สืออู่จึงไล่ตามไปติดๆ
เฉินผิงอันพลิ้วกายกลับลงมาบนพื้น ก่อนจะสัมผัสกับพื้นดิน เขาพลิกหมุนข้อมืออยู่กลางอากาศ สลับด้านถือกระบี่ตระกูลเซียนของโต้วจื่อจือมือกระบี่ชุดแดงด้วยท่าจับกระบี่ปกติ
แม้ว่ามันจะหนักกกว่ากระบี่ไม้ไหวไม่น้อย แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่าเบาเกินไป
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางที่ลู่ไถหายตัวไปก่อนหน้านี้ สุดท้ายก้มหน้าลงมองแส้เหล็กในมือแล้วยิ้มขื่น
ในใจรู้ดีว่าวันนี้ต้องตายอย่างแน่นอน
ความอาฆาต ผิดหวัง เจ็บแค้นล้วนมีครบหมด พวกมันทยอยกันลอยขึ้นมาในใจ ก่อนจะทยอยกันเจือจางหายไป
ชาตินี้มีชีวิตอย่างอัดอั้นน่าสมเพช แต่ตอนจะตายได้ตายอย่างผู้กล้ากับเขาสักครั้ง
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำขว้างแส้เหล็กลงบนพื้นอย่างแรง เริ่มอัญเชิญเทพลงมาเป็นครั้งที่สาม ชายฉกรรจ์กระทืบเท้าหนักๆ มือทั้งคู่ประกบเข้าหากัน ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ใบหน้าซีดขาว หัวเราะเสียงดังอย่างสาสมใจ “กล้ารออีกสักครู่ ให้ข้ารบอย่างเต็มคราบอีกสักครั้งหรือไม่?!”
เฉินผิงอันขว้างกระบี่ ‘ชือซิน’ เล่มนั้นออกไป
มันแทงทะลุผ่านหัวใจของชายฉกรรจ์ร่างกำยำไปโดยตรง
กระบี่ยาวปักตรึงอยู่บนลำต้นของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
หลังจากทะลุผ่านหัวใจของชายฉกรรจ์ได้สำเร็จ เฉินผิงอันก็เห็นได้ชัดเจนว่าตัวของกระบี่มีแสงสีแดงเปล่งวาบผ่านไป ประหนึ่งคนหิวโหยได้กินอาหารอิ่มหนึ่งมื้อ เสมือนผีขี้เหล้าที่ได้กินดื่มอย่างเต็มคราบ
เฉินผิงอันตัดสินใจแล้วว่าจะหาท่าเรือตระกูลเซียนหรือไม่ก็ร้านค้าเทพเซียนบนภูเขาร้านหนึ่งแล้วขายกระบี่เล่มนี้ออกไป
แสงสีทองพร่างพราวเส้นนั้นยังคงสลายควันดำอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
ไม่เสียแรงที่เป็นสมบัติอาคมชั้นยอดที่สร้างมาจากหนวดยาวของเจียวเฒ่า
แค่หนวดสองเส้นก็มีพลานุภาพยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าแส้ปัดฝุ่นของเจียวหลงเจินจวินที่อยู่บนภูเขาห้อยหัวควรจะมีอานุภาพไร้เทียมทานสักแค่ไหน
เฉินผิงอันหยุดความคิดทั้งหมดลง ลังเลอยู่ชั่วขณะก็เก็บกระบี่ยาวกลับมา หยิบกิ่งไม้ที่ใหญ่เท่าแขนขึ้นมาหนึ่งกิ่ง ใช้กระบี่เหลามันให้แหลม จากนั้นก็เริ่มขุดหลุมใหญ่หลายหลุมอย่างเงียบเชียบ นำศพของมือกระบี่ชุดแดง ชายฉกรรจ์ร่างกำยำและลูกศิษย์สองคนของอาจารย์คุมทัพฝังลงดิน สุดท้ายเอาดินกลบหลุม พยายามปกปิดร่องรอยให้แนบเนียนมากที่สุด คนที่เดินทางผ่านมาทางนี้จะได้ไม่พบเบาะแสอย่างง่ายดาย
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนกิ่งไม้สูง รอคอยให้ชูอี สืออู่และลู่ไถกลับมาอย่างอดทน
วางฝักกระบี่ ‘ชือซิน’ ที่เพิ่มขึ้นมาเล่มนั้นพาดขวางไว้บนหัวเข่า
ห่างออกไปไกล ควันดำวิญญาณหยินโรมรันอยู่กับแสงสีทองอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องถอยร่นไม่ขาดระยะ เพราะถึงแม้จะสูญเสียสติปัญญาไปนานแล้ว แต่สัญชาติญาณรักตัวกลัวตายนั้น ต่อให้เป็นวัตถุหยินที่ตายไปแล้วก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!