ทางฝั่งของดาดฟ้า ลู่ไถกัดฟันกล่าวสองคำว่า ‘บุปผาผลิบาน’ อีกครั้ง แล้วทะยานลมไล่ตามไป อาภรณ์สีเขียวปลิวสะบัดพัดไปตามลม
ความเร็วเหนือกว่ากระบี่บินเจินเจียน
ลู่ไถวาดเส้นโค้งเส้นหนึ่งอยู่กลางอากาศ เพียงแค่ชั่วกะพริบตาสิบกว่าครั้งก็ตัดขาดทางหนีของผู้เฒ่ากวานสูงขอบเขตประตูมังกรผู้นั้นได้
ผู้เฒ่าเคยมีบทเรียนมาก่อนแล้วจึงไม่กล้าฝืนบุกฝ่าออกไป เขาหมุนตัวกลับหมายบินอ้อม แต่กลับถูกเด็กหนุ่มชุดทองที่ออกกระบี่สองครั้งหลังช้าไปหนึ่งเสี้ยวปล่อยหนึ่งกระบี่แทงทะลุหัวใจ จนรู้สึกได้ว่าหัวใจตัวเองเย็นวาบ!
อีกทั้งกระบี่เล่มนี้ยังแปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด!
ทั้งพลังชีวิตและปราณวิญญาณต่างก็ไหลหายไป เพราะถูกกระบี่ยาวที่แทงทะลุร่างดูดดึง
ผู้เฒ่าหยุดชะงัก ทะเลเมฆที่อยู่ใต้เบาะรองนั่งก็หยุดค้างกลางอากาศตามไปด้วย
ก้มหน้าลงมองปลายกระบี่ แล้วยิ้มเศร้า
ผู้ที่เอาชีวิตของข้ากลับไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสี่เล่ม
ผู้ที่ช่วยกระบี่ยาวเล่มนี้เอาชีวิตข้ากลับเป็นแค่ยันต์ย่อพื้นที่ที่ตนดูแคลนแผ่นหนึ่ง
เหตุใดเดี๋ยวนี้พวกเด็กๆ จากตระกูลเซียนที่ในชื่อมีคำว่าสำนักถึงได้เจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งกว่าผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกข้าเสียอีก?
เดิมทีเฉินผิงอันคิดจะฉวยโอกาสปล่อยไปอีกหนึ่งหมัด ต้องต่อยให้ผู้เฒ่ากวานสูงหัวขาดถึงจะมั่นใจเต็มร้อยว่าไม่พลาด แต่ลู่ไถกลับส่งเสียงในใจที่แทบจะใกล้เคียงกับการตะโกนเอ่ยเตือนเฉินผิงอันว่าให้อาศัยกระบี่บินเจินเจียนรีบหนีไป ยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี
ผู้เฒ่ากวานสูงจับประคองกวานห้าขุนเขาที่เอียงกะเท่เร่ แล้วก็ไม่คิดจะดึง ‘ชือซิน’ ที่แทงทะลุหัวใจออก แต่หันมามองลู่ไถด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
มือทั้งสองข้างยังคงถูกสมบัติอาคมสองชิ้นพันธนาการไว้อย่างแน่นหนา พวกมันพยายามสร้างขีดจำกัดในการไหลเวียนลมปราณของผู้เฒ่าอย่างเต็มที่
เบาะรองนั่งขาดวิ่นไม่เหลือสภาพดี เพราะถูกกระบี่บินสามเล่มทิ่มแทงหลายสิบรูจนลมพัดผ่านได้เต็มที่
ลู่ไถยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผู้เฒ่ากวานสูง ในใจยังหวาดผวาไม่คลาย ตอนนั้นที่แกล้งทำเป็นลูกศิษย์ของภูเขาไท่ผิงก็เพราะอยากจะขู่ให้ตาแก่ผู้นี้ตกใจกลัวแล้วหนีไป ไหนเลยจะคิดว่าพอตนบอกว่ามาจากภูเขาไท่ผิง อีกฝ่ายจะเหมือนหมาบ้าที่กัดคนไม่เลือก อีกอย่างสภาพการณ์ของเฉินผิงอันในตอนนั้นก็เรียกว่าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายจริงๆ
ลู่ไถสงบจิตใจ พูดเสียงเรียบว่า “อันที่จริงพวกเราไม่ใช่ผู้ฝึกตนของภูเขาไท่ผิง”
ผู้เฒ่ากระตุกมุมปากยิ้มเสแสร้ง “เมื่อครู่ข้าผู้อาวุโสก็คิดจนกระจ่างแล้ว ภูเขาไท่ผิงไม่มีทางสอนคนให้เป็นเหมือนพวกเจ้าสองคนได้”
ทะเลเมฆรอบด้านค่อยๆ สลายหายไป กลับไปมือเปล่า หวนคืนสู่ฟ้าดิน
……
เทพเซียนตีกันมักจะอยู่บนสวรรค์
แต่การพบพรากในแบบที่ทั้งทุกข์และสุขกลับอยู่บนโลกมนุษย์
บรรยากาศในห้องโถงใหญ่ของป้อมอินทรีบินแปลกประหลาดยิ่ง
หลวนหยางเจ้าปราสาทสามารถขยับตัวได้เป็นปกติแล้ว แต่เขากลับไม่แม้แต่จะชายตามองศพของสตรีที่อยู่บนเก้าอี้ข้างกัน
ผู้ดูแลเฒ่าเหอหยาชำเลืองตามองฮูหยินเจ้าประมุขด้วยสายตาซับซ้อน ในใจพลันเกิดความเวทนาจึงขยับปากทำท่าจะพูด แต่กลับถูกหลวนหยางใช้สายตาเย็นชาคมปลาบมองกำราบมาเสียก่อน
หลวนหยางใช้มือข้างหนึ่งจับที่เท้าแขนเก้าอี้ประคองตัว พูดเสียงหนัก “เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องโถงใหญ่วันนี้ ใครก็ห้ามเอาไปแพร่งพราย หากใครกล้าปริปากพูดไปแม้แต่คำเดียว ไม่เพียงแต่จะเจอการลงโทษด้วยกฎตระกูล ยังเดือดร้อนให้ทุกคนในครอบครัวถูกตัดมือตัดเท้า แล้วถูกขับออกจากป้อมอินทรีบิน!”
หลวนหยางไม่ได้หันหน้ากลับมา แค่ใช้มือชี้ไปยังเก้าอี้ที่อยู่ข้างตัว “ฮูหยินเจ็บป่วยเรื้อรัง อาการหนักจนไม่อาจรักษาให้หายได้…”
หลวนหยางหยุดชะงักไปเล็กน้อยแล้วพูดต่อด้วยเสียงเย็นชา “ตายไปแล้วไม่อนุญาตให้ตั้งป้ายวิญญาณไว้ในศาลบรรพชนสกุลหลวนของข้า! ไม่ให้ฝังไว้ใน…”
ทุกคนในห้องโถงใหญ่เงียบกริบราวจักจั่นในหน้าหนาว ไม่มีใครกล้าเอ่ยโต้แย้ง
ในที่สุดอาจารย์ผู้เฒ่าก็ทนไม่ไหว เดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว พูดขัดจังหวะประโยคหลังของหลวนหยางด้วยเสียงเศร้าสลด “เจ้าประมุข ฮูหยินทำผิดก็จริง แต่ขอเจ้าประมุขเห็นแก่ที่ฮูหยินช่วยเหลือสามีอบรมเลี้ยงดูบุตร จัดการกิจธุระในตระกูลตลอดหลายปีมานี้ อนุญาตให้ฝังฮูหยินไว้ที่ภูเขาด้านหลังด้วยเถอะ เจ้าประมุข ถือว่าข้าเหอหยาขอร้องท่านล่ะ…”
กล่าวมาถึงช่วงท้าย ผู้ดูแลเฒ่าที่อุทิศตัวให้แก่ป้อมอินทรีบิน อาจารย์ผู้เฒ่าที่สอนหนังสือให้แก่เด็กๆ รุ่นแล้วรุ่นเล่าผู้นี้ก็ถึงกับสะอื้นจนพูดไม่เป็นคำ
หลวนหยางเดือดดาลอย่างหนัก ตบที่เท้าแขนอย่างแรงจนเก้าอี้ทั้งตัวหักถล่มลงไปครึ่งหนึ่ง สีหน้ามืดทะมึน ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็แค่นเสียงเย็นชากล่าวว่า “เรื่องนี้ไว้ค่อยพูดกันทีหลัง!”
หลวนหยางที่แต่ไรไหนมาปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความสุภาพอ่อนโยน เวลานี้กลับเหมือนสัตว์ร้ายหิวกระหายที่กวาดตามองคนรอบกาย ทำเอาทุกคนที่เห็นรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ รีบพากันก้มหน้า ไม่กล้าสบตากับเขา
“ป้อมอินทรีบินจะรอดไปได้หรือไม่ ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ พวกเจ้าอย่าเพิ่งออกไปจากที่นี่ ใครกล้าออกจากประตูใหญ่ไปโดยพลการ เหอหยา เจ้าสังหารได้เลย!”
หลวนหยางทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วก็ออกไปจากห้องโถงใหญ่เพียงลำพัง เขาเดินขึ้นไปชั้นบน สุดท้ายไปถึงสถานที่ที่ไม่รู้ว่าทำไมบิดาถึงตั้งชื่อว่า ‘ขึ้นดาดฟ้า’ บุรุษที่ชั่วชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยใจแข็งปานหินเหล็กเช่นนี้มาก่อนทอดสายตามองไปไกล พยายามมองให้เห็นผลลัพธ์ของศึกใหญ่ให้ได้ แต่น่าเสียดายที่ตบะวรยุทธ์ของเขาธรรมดา การมองเห็นมีจำกัด มองเบาะแสอะไรไม่ออกเลยสักนิดเดียว เห็นแค่ว่าทะเลเมฆสลายหายไป แสงกระบี่พาดข้ามแผ่นฟ้าเท่านั้น
หลวนหยางกดเสียงต่ำ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “หากทารกผีตนนั้นคลอดออกมาแล้วร้ายกาจอย่างที่พวกเขาพูดกันจริงๆ แล้วถูกป้อมอินทรีบินของข้าควบคุมไว้ได้ แบบนั้นก็ดีน่ะสิ!”
……
นักพรตเฒ่าพาคนทั้งสามหนีออกมาจากป้อมอินทรีบินได้อย่างราบรื่น เข้าป่าลึกขึ้นเหนือไปตลอดทาง คราวนี้เดินทางอย่างสะดวกสะบายไร้อุปสรรคจนน่าแปลกใจ นอกจากผีและวัตถุหยินบางส่วนที่ออกมาก่อกวนแล้วก็ไม่มีปัญหาใหญ่นัก
ไม่เพียงแต่หนุ่มสาวสามคนที่รอดพ้นจากหายนะมาได้ แม้แต่นักพรตเฒ่าเองก็ยังรู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก
ทันใดนั้นคนทั้งสี่ก็รู้สึกเลื่อนลอยเหมือนเข้ามาอยู่คนละโลก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!