ยังดีที่หลังจากถามขบวนพ่อค้าบนถนนทางหลวงของแคว้นเป่ยจิ้นแล้วถึงได้ถอนหายใจโล่งอก นับตั้งแต่คราวก่อนที่เป็นรัชสมัยกวางสี่ปีที่หก ตอนนี้แค่เปลี่ยนไปเป็นรัชสมัยกวางสี่ปีที่เจ็ดเท่านั้น และเวลานี้ใบถงทวีปก็อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเช่นเดียวกัน สภาพอากาศเหมือนกับในพื้นที่มงคลดอกบัวที่ขยับเข้าใกล้ช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
เป่ยจิ้นได้ทิ้งเงามืดไว้ในใจของเฉินผิงอัน เขาจึงไม่กล้าอยู่ต่อนานนัก เดินทางมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปตลอดทาง ก่อนหน้านี้เคยได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของภูเขาไท่ผิงมาก่อน จึงคิดอยากจะไปมองไกลๆ ให้เห็นกับตาตัวเองสักครั้ง ทว่าตอนนี้กลับไม่เหลือความคิดนี้อยู่เลย บวกกับที่เขาเองก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มเจ๋อเซียนอย่างโจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ ลู่ฝ่างแห่งภูเขาเหนี่ยวคั่นและจอมยุทธ์พเนจรเฝิงชิงป๋าย ตอนนี้จึงคิดแต่จะหาท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งแล้วมุ่งหน้ากลับแจกันสมบัติทวีปไปโดยตรง
แม้ตอนนั้นที่จากบ้านเกิดมา หยางเหล่าโถวจะเคยเตือนว่าภายในห้าปีห้ามกลับไปเมืองเล็ก แต่ไม่ได้กลับบ้านเกิดก็ยังมีสถานที่มากมายที่สามารถไปเยือนได้ ยกตัวอย่างเช่นนครมังกรเฒ่าที่ฟ่านเอ้อร์อยู่ แคว้นชิงหลวนที่จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียเดินทางไปหาประสบการณ์ แคว้นซูสุ่ยของอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งอวี่เซา ทะเลสาบเจี่ยนซูของกู้ช่าน สำนักศึกษาต้าสุยที่พวกหลี่เป่าผิงไปเล่าเรียนวิชา มีสถานที่ไม่น้อยเลยจริงๆ
สรุปก็คือใบถงทวีปไม่ใช่สถานที่ที่ควรรั้งอยู่นาน
เฉินผิงอันเก็บร่มกระดาษน้ำมันที่หยิบติดมือมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว คนทั้งสองเดินไปข้างถนนทางหลวง เด็กหญิงผอมแห้งคอยเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความใคร่รู้อยู่ตลอดเวลา “ที่นี่คือที่ไหน? ไม่ใช่แคว้นหนันเยวี่ยนของพวกเรากระมัง?”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันสอบถามผู้อื่น นางฟังไม่ออกสักประโยคเดียว
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ต้องลากขวดน้ำมันน้อย (เปรียบเปรยถึงตัวภาระ) นี้มาด้วยก็คือเหตุผลที่เฉินผิงอันอยากจะออกไปจากใบถงทวีปโดยเร็ว พานางมาด้วยไม่เหมือนตอนที่เดินทางหาประสบการณ์ร่วมกับลู่ไถ หากเจอกับพวกผู้ฝึกตนอิสระบนภูเขาดักปล้นกลางทาง ย่อมต้องลำบากมาก แต่พอนึกถึงลู่ไถ พยับเมฆในใจของเฉินผิงอันก็ยิ่งหนาชั้นมากกว่าเดิม ชายฉกรรจ์ขายถังหูลู่คนนั้น
ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนดินแล้ว ส่วนใหญ่มักจะสามารถใช้วิชาฝ่ามือเทพมองภูเขาและแม่น้ำ แม้จะรอบรู้เทียบกับนักพรตเฒ่าที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก สำหรับวิชาเซียนอันเป็นวิชาอภินิหารนี้ ในอนาคตเมื่อกลับไปถึงบ้านเกิด เขาจะต้องสอบถามจากผู้เฒ่าแซ่ชุยหรือไม่ก็เว่ยป้อให้ละเอียดว่ามีความรู้เรื่องใดบ้าง มีส่วนไหนที่ต้องพิถีพิถัน หรือมีข้อห้ามและพันธนาการอะไรบ้าง
เผยเฉียนถามต่อ “คือบ้านเกิดของเจ้า? สถานที่อยู่อาศัยของเทพเซียนหรือ?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ส่ายหน้าตอบ “ไม่ใช่บ้านเกิดของข้า แล้วก็ไม่ใช่ดินแดนเซียนอะไร”
เผยเฉียนเห็นว่าเขาไม่เต็มใจจะพูดมากจึงไม่ซักถามอะไรอีก
นางยกสองมือขึ้นขยี้ตา
เฉินผิงอันถาม “เป็นอะไร?”
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น ยิ้มสดใส “รู้สึกแปลกๆ แต่กลับจำอะไรไม่ได้สักอย่าง เมื่อครู่นี้ยังเก็บกวาดบ้านให้เฉาฉิงหล่างอยู่เลย แต่ฟิ้วทีเดียวก็มาอยู่นี่แล้ว”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองนางหนึ่งที
เผยเฉียนรีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “เก็บกวาดเมล็ดแตงที่แทะไว้บนม้านั่งในลานน่ะ”
คนทั้งสองเดินมาได้ประมาณยี่สิบกว่าลี้ เด็กหญิงก็เหนื่อยจนหอบเป็นวัว นางยู่หน้าพูดอย่างน่าสงสารว่าฝ่าเท้าถูกเสียดสีจนเป็นตุ่มพองหมดแล้ว
เฉินผิงอันจึงเช่ารถม้าคันหนึ่งจากจุดพักม้าข้างทาง เมื่อตกลงราคาได้เรียบร้อยก็เดินทางมุ่งหน้าขึ้นเหนือต่ออีกครั้ง ตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่ารถม้าจะหยุดจอดในเมืองริมชายแดนแคว้นเป่ยจิ้น ซึ่งระยะทางนี้ใช้เวลาประมาณสองวัน เป่ยจิ้นของใบถงทวีปไม่เหมือนกับเป่ยจิ้นของพื้นที่มงคลดอกบัว สถานที่แห่งนี้ไม่มีสงครามมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการของที่พักม้าหรือเรื่องเอกสารผ่านทางล้วนหละหลวมอย่างมาก ขอแค่ในกระเป๋ามีเงิน ต่อให้ไม่ใช่ขุนนางก็ล้วนมาพักแรมที่จุดพักม้าได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เผยเฉียนได้นั่งรถม้า นางรู้สึกแปลกใหม่อย่างยิ่ง นั่งอยู่ในห้องโดยสารที่ส่ายโคลงเคลง ไม่ต้องเดินเองช่างสบายยิ่งนัก คอยเลิกผ้าม่านมองไปยังทิวทัศน์ด้านนอกอยู่เป็นระยะ หลังเข้าช่วงฤดูใบไม้ร่วงมา ห่างจากถนนทางหลวงไปไม่ไกลมักจะมองเห็นต้นลูกพลับสีทองอร่ามเป็นแถบๆ ทำเอานางน้ำลายไหลด้วยความอยากกิน ใจหวังยิ่งนักว่าเฉินผิงอันจะบอกให้สารถีหยุดรถ นางจะได้ลงจากรถม้าไปขโมยกลับมาสักแปดจินสิบจิน
เฉินผิงอันฉวยโอกาสตอนที่นางมองออกไปข้างนอกหยิบม้วนภาพสี่ภาพออกมา แกนของม้วนภาพทั้งสี่นี้ไม่เหมือนกัน แกนหนึ่งทำมาจากไม้จื่อถานที่สามารถป้องกันมอดแทะ แกนหนึ่งคือหยกขาว อีกสองแกนทำมาจากวัสดุบางอย่างที่เขาไม่รู้จัก คนทั้งสี่ในม้วนภาพมีชีวิตชีวาเสมือนจริง
เว่ยเซี่ยนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนอยู่ในท่านั่งเหมือนในภาพแขวนของฮ่องเต้ทั่วไป เขาสวมชุดคลุมมังกรสีทอง แต่เรือนกายไม่ถือว่ากำยำล่ำสันนัก กลับค่อนข้างจะตัวเล็กผอมบาง พอมาสวมชุดคลุมมังกรตัวใหญ่จึงดูไม่เข้ากันอย่างเห็นได้ชัด
สุยโย่วเปียนที่ล้มเหลวในการบินทะยานอยู่ในท่าสะพายกระบี่ ท่วงท่าองอาจผึ่งผาย คนในภาพวาดสบตากับคนที่มองภาพวาด
หลูป่ายเซี่ยงผู้นำแห่งลัทธิมารสวมเสื้อเกราะสีแดงสด มือทั้งคู่ยันด้ามดาบที่ปึกตรึงอยู่เบื้องหน้า เมื่อเทียบกับเว่ยเซี่ยนแล้ว เขากลับดูเหมือนจักรพรรดิในโลกมนุษย์มากกว่า
จูเหลี่ยนคนบ้าวรยุทธ์ที่ตายด้วยน้ำมือของติงอิงมีสันหลังโก่งงอ ยืนสองมือไพล่หลัง หรี่ตาลงคล้ายผู้เฒ่าตัวเล็กในหมู่ชาวบ้านทั่วไป
ภาพวาดทั้งสี่นี้กินแค่เงินฝนธัญพืชเท่านั้น? ปัญหาอยู่ที่ว่าหากให้พวกเขาคนใดคนหนึ่งในภาพวาดเหล่านี้เดินออกมาจะต้องกินเงินฝนธัญพืชไปกี่เหรียญกันแน่? อีกอย่างคำว่าจงรักภักดี ก็จำเป็นต้องผ่านการพิสูจน์ก่อนถึงจะบอกได้ ถอยไปพูดหมื่นก้าว เฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง ขนาดชุดคลุมอาคมจินหลี่ ชือซินและหยุดหิมะยังถูกเขามองเป็นของนอกกายทั้งหมด
ยังดีที่คราวนี้อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวได้ถูกนักพรตเฒ่าพาท่องไปทั่วใต้หล้า เฉินผิงอันจึงเข้าใจเรื่องราวในโลกมนุษย์เพิ่มขึ้นเยอะมาก โดยไม่รู้ตัวเขาก็ใช้สายตาอีกแบบหนึ่งไปมอง ‘สถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า’ ของแจกันสมบัติทวีป รวมไปถึงสภาพการณ์และฐานะของถ้ำสวรรค์หลีจูที่อยู่บนอาณาเขตของต้าหลีแล้ว สำหรับเรื่อง ‘ของนอกกาย’ เขาก็ไม่มองอย่างสุดโต่งอีกต่อไป ไม่อย่างนั้นหากอิงตามนิสัยเดิมของเขา ม้วนภาพทั้งสี่นี้อาจจะถูกเฉินผิงอันเอาออกไปขายในราคาที่สูงเทียมฟ้าแล้วก็เป็นได้
เผยเฉียนยื่นคอมามองภาพวาดของสุยโย่วเปียน พูดเสียงเบาว่า “พี่สาวคนนี้สวยมากจริงๆ”
เฉินผิงอันไม่สนใจ เขาม้วนภาพวาดทั้งสี่เก็บเบาๆ ไม่ได้เอาเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่นต่อหน้าเผยเฉียน แต่เอาวางไว้ข้างเท้าชั่วคราว ในใจทอดถอนใจไม่หยุด บรรพบุรุษสี่ท่านนี้เลี้ยงยากเหลือเกิน ไหนเลยจะดีเหมือนชูอีกับสืออู่ แค่มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็ได้แล้ว อย่าว่าแต่เงินฝนธัญพืชเลย มีชีวิตพึ่งพากันและกันมานานขนาดนี้ สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายครั้ง เขาไม่เคยต้องจ่ายเงินเกล็ดหิมะแม้แต่เหรียญเดียว หลอมกระบี่ เลี้ยงกระบี่ ล้วนไม่จำเป็นต้องให้เฉินผิงอันคอยเป็นกังวล
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!