ก้าวเดินเงียบเชียบไร้สรรพสำเนียงราวกับปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ ปณิธานหมัดและจิตวิญญาณแห่งหมัดล้วนถูกเก็บไว้ภายในทั้งหมด เมื่อเทียบกับตอนเฉินผิงอันปล่อยหมัดตรงริมลำคลองหลงซวีที่ปณิธานหมัดไหลรินไปทั่วร่างแล้ว ก็เรียกได้ว่าแตกต่างราวฟ้ากับเหว
ทุกวันนี้เวลาเฉินผิงอันฝึกหมัดสามารถแบ่งสมาธิไปคิดเรื่องอื่นได้แล้ว
ตามคำบอกในตำราหมัดเขย่าภูเขา หลังจากเดินนิ่งกับยืนนิ่งแล้ว อันที่จริงยังมี ‘เชียนชิว’ นอนนิ่งอีก เฉินผิงอันรู้หลักและกระบวนท่าของมันมานานแล้ว และหลังจากที่เขาเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ก็ไม่คิดว่าการฝึกท่านี้เป็นเรื่องยากอีกต่อไป ประเด็นสำคัญคือแก่นของนอนนิ่งดันไปอยู่ที่คำกล่าวสี่ประโยคว่า ‘นอนหลับเหมือนตาย’ ซึ่งจะทำให้จิตวิญญาณของคนเป็นดั่งน้ำตายในบ่อ ถือเป็นการฝึกตนอย่างเต็มที่ แต่เฉินผิงอันออกจากบ้านมาสองครั้ง แต่ละครั้งล้วนเดินทางไกลยิ่งกว่าเก่า เฉินผิงอันไม่กล้านอนหลับสนิทเกินไปนัก ดังนั้นการฝึกท่านี้จึงถูกถ่วงรั้งเอาไว้ตลอดเวลา ต้องรอให้กลับไปถึงหลงเฉวียนก่อนค่อยว่ากันอีกที
ครั้งนี้ออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวอย่างฉุกละหุกเกินไป
หาไม่แล้วเฉินผิงอันก็จะต้องพยายามรวบรวมวิชายุทธ์ชั้นสูงของใต้หล้าแห่งนั้นมาให้ได้มากที่สุด ตอนนี้ลองมาย้อนนึกดูแล้ว เส้นทางการเรียนวรยุทธ์ของติงอิงไม่ได้ผิดเลย เขาได้ยืนอยู่บนยอดเขาของกลุ่มภูเขาอย่างแท้จริง แทบจะเรียกได้ว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดแห่งการเรียนวรยุทธ์ของพื้นที่มงคลดอกบัว คิดจะเดินไปให้ถึงก้าวนั้น นอกจากต้องตระหนักรู้ได้ด้วยตัวเองแล้ว ยังจำเป็นต้องมองทัศนียภาพของยอดเขาแห่งอื่นที่เตี้ยกว่าแล้วเอามาเปรียบเทียบกัน ชดเชยส่วนที่ขาดหาย สุดท้ายกลายมาเป็นปณิธานหมัดของตัวเอง นั่นต่างหากถึงจะเป็นหมัดสูงนอกฟ้าอย่างแท้จริง
นี่ก็คล้ายคลึงกับการเรียนหนังสือและหลักการเหตุผลไม่ใช่หรือ?
แล้วก็มีส่วนที่เหมือนกับการสร้างสะพานซึ่งเขียนระบุไว้ในตำราของที่ว่าการกรมโยธา
โดยไม่ทันรู้ตัว ขอบฟ้านอกหน้าต่างก็เริ่มปรากฏเป็นสีขาวเหมือนสีพุงปลาแล้ว
ทุกวันนี้ต่อให้ฝึกหมัดตลอดทั้งคืน เฉินผิงอันก็ไม่เคยมีเหงื่อออก เกรงว่านี่คงเป็นความสะดวกสบายหลังจากเลื่อนสู่ขอบเขตห้าเพราะการบำรุงจิตวิญญาณประสบความสำเร็จแล้ว แต่ในเมื่อเขาสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่อยู่บนกาย จะมีเหงื่อออกหรือไม่ก็ไม่ได้มีผลอะไร
ตอนที่เฉินผิงอันฝึกหมัด คนจิ๋วดอกบัวที่หายดีแล้วนั่งหลับอยู่ตรงขอบโต๊ะ พอออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวน้อยจะมีเรื่องในใจให้ครุ่นคิด
เฉินผิงอันหยุดฝึก นั่งลงข้างโต๊ะ ศีรษะของเจ้าตัวน้อยห้อยลู่ลง
เฉินผิงอันลูบศีรษะของมันพลางคลี่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร เรื่องการปลอบใจคนไม่ใช่เรื่องที่เขาเฉินผิงอันถนัดเลยจริงๆ
เขาหยิบม้วนภาพวาดทั้งสี่ออกมาอีกครั้ง วางบนโต๊ะ เริ่มครุ่นคิดว่าควรจะ ‘วางเดิมพัน’ ดีหรือไม่
ในอดีตเฉินผิงอันกลัวเรื่องของโชคลาภเหมือนกลัวเสือ
ตอนนี้ปมในใจคลายลงไปได้ไม่น้อย อันที่จริงหลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูแตกแล้วร่วงลงมา โดยเฉพาะเมื่อถูกเจ้าลัทธิลู่เฉินเล่นงานไปครั้งหนึ่งโดยการผูกเขาเข้ากับเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพ การเดินทางไปเยือนต้าสุยของเขาจึงราบรื่น โชคดีอย่างถึงที่สุด ภายหลังเมื่อแยกทางกันเดินกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงบนเรือคุน ด้านโชคลาภของเขาก็ยังถือว่าไม่เลว
อีกอย่างตอนนี้เขาเฉินผิงอันก็มีทรัพย์สมบัติไม่น้อยแล้ว ไม่พูดถึงผลกำไรมหาศาลตอนที่เดินทางร่วมกับลู่ไถ พูดถึงแค่เทพหยินซึ่งอยู่เคียงข้างเจิ้งต้าเฟิงในนครมังกรเฒ่าตนนั้นที่ยอมจ่ายเงินฝนธัญพืชถึงสิบเหรียญเต็ม เพื่อขอซื้อแผ่นไม้ไผ่เฟิ่นหย่งเล็กๆ แผ่นหนึ่งไปจากเขา ดูเหมือนว่าเพราะอยากซื้อประโยคบนแผ่นไม้ที่ว่า ‘เทพเซียนมีความต่าง หยินหยางแยกห่าง วิญญาณทำให้ใจสงบ จิตสร้างร่างทอง’”
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่คาดหวังว่าจะสามารถเลี้ยงให้ภาพวาดสี่ภาพนี้กลับมา ‘มีชีวิต’ ได้ทั้งหมดในคราวเดียว เลือกภาพหนึ่งในนั้นมาเหมือนเป็นการเดิมพันเล็กๆ น่าจะมั่นคงกว่า
สถานการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นแล้ว เฉินผิงอันต้องการผู้ช่วยให้ช่วยดูแลครอบครัวและกิจการของเขาจริงๆ
ผู้เฒ่าแซ่ชุย เฉินผิงอันไม่กล้าคาดหวัง คนหนึ่งสอนวิชาหมัด อีกคนก็แค่เรียนวิชาหมัดเท่านั้น จะหวังอะไรมากกว่านั้นไม่ได้
ส่วนเว่ยป้อถึงอย่างไรก็เป็นทวยเทพแห่งขุนเขาใหญ่ มีหน้าที่รับผิดชอบเป็นของตัวเอง
เจ้าตัวน้อยสองคนอย่างเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูตบะยังตื้นเขิน อีกทั้งเฉินผิงอันปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนที่ชายคนโตที่ปฏิบัติต่อน้องเล็กสองคนมากกว่า นี่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตใจตามธรรมชาติ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอายุ หากเจอกับเรื่องใหญ่จริงๆ เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่ยอมให้พวกเขาเข้าไปเสี่ยงอันตราย มีแต่จะบอกให้พวกเขาอยู่ห่างๆ เข้าไว้
สำหรับคนสี่คนในภาพวาด เฉินผิงอันกลับไม่ต้องคิดเยอะขนาดนั้น
ส่วนหลังจากที่ทำความรู้จักกันแล้ว ควรจะอยู่ร่วมกันอย่างไร นั่นเป็นเรื่องที่ต้องรอให้ถึงเวลาก่อนค่อยว่ากันอีกที
ภาพวาดสี่ภาพ เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะเลือกใคร แต่แน่ใจมากว่าคนแรกที่เขาจะไม่เลือกก็คือภาพวาดของสุยโย่วเปียน
หากหลังจากนี้หนิงเหยารู้เรื่องที่ว่ามีผู้หญิงเดินออกจากภาพวาดมาอยู่ข้างกายตน อีกทั้งตนยังต้องจ่ายเงินฝนธัญพืชไปไม่น้อย แบบนั้นเขาจะทำอย่างไร?
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเอาภาพวาดนี้ใส่ไว้ในกระบี่บินสืออู่ก่อนภาพอื่น
จากนั้นก็เก็บภาพของหลูป๋ายเซี่ยงบรรพบุรุษผู้เปิดภูเขาของลัทธิมารใส่ตามไป แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกพยศยากจะกำราบ อีกทั้งยังเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งกองกำลังในท้องถิ่นของพื้นที่มงคลดอกบัวที่ใหญ่ที่สุด หลังจากเฉินผิงอันเชื้อเชิญอีกฝ่ายออกมาได้อย่างยากลำบากแล้ว หากอีกฝ่ายเป็นพวกมารร้ายโหดเหี้ยมอย่างโจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ มองข้ามหลักจริยธรรม ทรยศเนรคุณ แบบนั้นเขาจะยังต้องหาวิธีจับอีกฝ่ายกลับไปขังไว้ในภาพวาดอีกหรือ?
ไม่มีเหตุผลใดในใต้หล้าที่บอกให้คนไม่เห็นค่าของเงินถึงขนาดนี้
เงินฝนธัญพืชไม่ใช่เงินเกล็ดหิมะ แล้วนับประสาอะไรกับที่ว่า ต่อให้เป็นเงินเกล็ดหิมะก็ไม่ได้เหมือนกัน
เก็บม้วนภาพที่สองไปแล้วก็เหลืออยู่แค่บรรพบุรุษของเว่ยเหลียงและจูเหลี่ยนผู้บ้าคลั่งวรยุทธ์ที่มองดูเหมือนมีเมตตาปราณี ฝ่ายหลังเคยเป็นเจ้าของกวานดอกบัวสีเงิน นี่ทำให้ในใจเฉินผิงอันเต้นระทึกเล็กน้อย การต่อสู้กับติงอิง เขาเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่ภูเขากู่หนิว นั่นคือศึกที่อันตรายที่สุดในชีวิตของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันจ้องมองภาพสองภาพอย่างลังเลใจ
คนจิ๋วดอกบัวขยับมานั่งอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันเงียบๆ แล้วก็มองประเมินภาพทั้งสองอย่างตั้งใจไม่ต่างกัน
เฉินผิงอันตัดสินใจไม่ได้จึงถามมันด้วยรอยยิ้ม “เจ้ารู้สึกว่าถูกชะตากับใครมากกว่า?”
คนจิ๋วดอกบัวหันหน้ากลับมา เจ้าตัวน้อยที่มีแค่แขนเดียวชี้ไปที่ภาพวาด จากนั้นก็ชี้มาที่ตัวเองคล้ายกำลังถามเฉินผิงอันว่าต้องการให้มันเป็นคนเลือกจริงๆ หรือ?
เฉินผิงอันยิ้มตาหยีพลางพยักหน้ารับ
เจ้าตัวน้อยลุกขึ้นยืนว่องไว ขยับเดินไปตามริมขอบของภาพวาดทั้งสอง เบิกตากว้าง วิ่งไปวิ่งมา แถมยังฟุบตัวลงบนผิวโต๊ะเพื่อมองคนที่อยู่ในภาพวาด จริงจังและน่ารักอย่างมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!