กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 333

บทที่ 333 พบเจอโดยบังเอิญ
ProjectZyphon
ก่อนจะเข้าไปในเมืองเล็กริมชายแดนได้ผ่านโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว นอกร้านแขวนป้ายกระดาษชื่อร้านที่ยับย่นและเก่าขาด

เฉินผิงอันแกว่งน้ำเต้าบรรจุเหล้าของตัวเองแล้วตัดสินใจว่าจะไปเติมเหล้า รสชาติของเหล้าดีหรือเลว เฉินผิงอันแค่ดื่มก็รู้ได้ เหล้าลืมทุกข์ของพื้นที่มงคลหวงเหลียง เหล้าหมักของเกาะกุ้ยฮวา เขาล้วนเคยดื่มมาก่อน เหล้าในร้านเหล้าข้างถนนก็ยิ่งเคยซื้อมาไม่น้อย เขาจึงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไรขนาดนั้น

ด้านนอกโรงเตี๊ยมมีสุนัขพันธ์พื้นบ้านที่ผอมแห้งราวกับท่อนไม้ตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่กลางแดด พอเห็นพวกเฉินผิงอันสามคนก็ลุกขึ้นวิ่งกลับไปกลับมา แยกเขี้ยวเห่าใส่

นี่คือการรับแขกแบบใดกัน?

เด็กหนุ่มขาเป๋คนหนึ่งถือมีดวิ่งออกมา ใช้ปลายมีดชี้ไปที่สุนัขตัวนั้น พูดขู่อย่างดุดัน “หากยังเสียงดังอีก ข้าจะตัดหัวสุนัขของเจ้าซะ!”

สุนัขพันธ์พื้นบ้านกลับลงไปนอนหมอบอยู่บนพื้นอย่างอ่อนระโหยโรยแรงอีกครั้ง

เด็กขาเป๋เงยหน้าขึ้นก็เห็นแขกสามคนที่พบเห็นได้ยาก จึงรีบซ่อนมีดไว้ด้านหลัง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ลูกค้าอย่าได้กลัว พวกเราไม่ใช่ร้านเถื่อน รับรองว่าทำการค้าตรงไปตรงมาอย่างที่คนบริสุทธิ์โปร่งใสทั่วไปทำ!”

ราวกับกังวลว่าลูกค้าจะหนีไป เด็กหนุ่มร่างผอมแห้งที่ขาพิการจึงชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ เขาหันหน้าตะโกนไปทางห้องโถงใหญ่ “เถ้าแก่เนี้ยะ ลูกค้ามาแล้ว รีบเช็ดโต๊ะให้สะอาด มีคุณชายหล่อเหลาแบบที่ท่านชอบที่สุดด้วย แถมยังเป็นบัณฑิตด้วยนะ!”

หลังจากลูกจ้างร้านแจ้งข่าวที่น่ายินดีแก่เถ้าแก่เนี้ยะแล้วก็รีบหันหน้ากลับมา โค้งตัวผายมือเชื้อเชิญ “เชิญลูกค้าเข้าไปนั่งข้างในก่อน เหล้าบ๊วยที่สืบทอดวิธีต้มมาจากบรรพบุรุษของเถ้าแก่เนี้ยะ และแกะย่างที่อาจารย์ของข้าปรุงเองล้วนอร่อยที่สุด ในเขตชายแดนพันลี้นี้มีแค่ร้านเราร้านเดียวเท่านั้น!”

เฉินผิงอันสามคนเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม

ห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ดื่มเหล้ากินข้าวมีโต๊ะไม่มากนัก คิดดูแล้วสาเหตุคงเป็นเพราะกิจการซบเซา ส่วนชั้นที่สองเป็นห้องพัก เวลานี้ในห้องโถงใหญ่ไร้ลูกค้า มีสตรีแต่งงานแล้วอยู่คนเดียว เท้าข้างหนึ่งของนางเหยียบอยู่บนม้านั่งตัวยาว กำลังแทะเมล็ดแตงโม นางชำเลืองตามามองบัณฑิตที่เจ้าเป๋น้อยพูดถึง ตอนแรกนางก็ไม่ได้หวังอะไรมาก เพราะเดิมทีเจ้าเป๋น้อยก็เป็นพวกหนอนน้อยในฟองใหญ่ของหลุมขี้อยู่แล้ว จะมีความรู้ประสบการณ์อะไรมากนัก ชั่วชีวิตนี้เขาคงไม่มีทางรู้เลยว่าสองคำว่าหล่อเหลานั้นเขียนอย่างไร

สตรีแต่งงานแล้วสวมชุดคลุมยาวผ่ากลาง แขนกว้าง ด้านล่างชุดเป็นสีแดง ด้านบนเป็นลายดอกไม้สีเหลือง เนื้อผ้าของชุดคลุมนี้ไม่ธรรมดา รูปแบบก็งดงาม เพียงแต่ว่าค่อนข้างจะเก่าแก่จึงเป็นมันเลื่อมคล้ายทาน้ำมันทับลงไปหนึ่งชั้น

ใบหน้าของสตรีแต่งงานแล้วอิ่มเอิบแดงปลั่ง เรือนกายอรชร เดิมทีคนที่ผิวขาวดูอย่างไรก็ไม่อัปลักษณ์ แล้วนับประสาอะไรกับที่นางไม่ใช่คนขี้เหร่ เป็นสตรีที่อายุสามสิบกว่า แต่กลับไม่แพ้ให้เด็กสาวงดงามอายุสิบห้าสิบหกคนใดเลย

ดวงตาของนางพลันเป็นประกาย ร้องโอ๊ะโออย่างมีจริตจะก้าน โยนเปลือกเมล็ดแตงในกำมือทิ้งลงบนพื้น แล้วใช้รองเท้าปักลายดอกไม้ปัดกวาดเข้าไปใต้โต๊ะ เดินส่ายเอวอ้อนแอ้นเหมือนงูเลื้อยเข้าหาเฉินผิงอัน ยื่นฝ่ามือมาวางลงบนไหล่ของคุณชายน้อยหน้าตาหล่อเหลาที่สวมชุดขาวคนนี้เบาๆ ถือโอกาสบีบไหล่อีกฝ่ายไปด้วย มองไม่ออกเลยแหะ ไม่นึกเลยว่าข้าจะเก็บได้ของดี หนุ่มน้อยนี่ไม่เพียงหน้าตาดี นึกไม่ถึงว่าบนร่างจะมีกล้ามเนื้อหนั่นแน่น ไม่ใช่พวกหมอนปักลายบุปผาที่ท่าดีทีเหลว

เฉินผิงอันเห็นว่านางได้คืบแล้วยังจะเอาศอก ทำท่าจะตบมาที่หน้าอกของตนก็ขยับเบี่ยงไปด้านข้างหนึ่งก้าว ทำให้นางตบลงบนความว่างเปล่า เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่ ข้าต้องการซื้อเหล้าสามถึงห้าจิน ไม่กินข้าว ไม่นอนพัก ซื้อเหล้าเสร็จแล้วก็ไป ได้ยินลูกจ้างร้านบอกว่าที่นี่มีเหล้าบ๊วยที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ไม่ทราบว่าราคาเท่าไหร่?”

สตรีแต่งงานแล้วหดมือกลับอย่างไม่พอใจ “คุณชายรีบร้อนจะไปเมืองหูเอ๋อร์นั่นหรือ? ข้าไม่ได้ข่มขู่คุณชายเพราะอยากทำการค้าหรอกนะ แต่ที่นั่นมักจะมีผีและปีศาจอาละวาดอยู่เป็นประจำ พวกมันสามารถมอมเมาจิตใจผู้คน ปีนี้ก็ยิ่งร้ายกาจ พวกพ่อค้าและนักท่องเที่ยวหลายคนต่างก็โดนเล่นงาน ไม่เคยมีคนตายก็จริง แต่พวกคนที่เป็นบ้าเสียสติอยู่ในเมืองแห่งนั้น นับรวมกันสองมือยังได้ เพราะฉะนั้นคุณชายท่านพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมเราจะดีกว่า เหล้าบ๊วยต้องการกี่ไหเราก็มีให้ ไม่แพงหรอก เหล้าหมักที่ดีที่สุดคือห้าปี สองกาก็แค่ตำลึงเดียวเท่านั้น นอกจากนั้นลองสั่งแกะย่างทั้งตัวมากิน กินดื่มอิ่มหนำสำราญแล้ว ตอนกลางคืนก็พักอยู่ที่นี่ ถึงเวลานั้น…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ สตรีแต่งงานแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ เผยเสน่ห์เย้ายวนใจดุจสาวน้อยวัยแรกแย้ม “พี่สาวอย่างข้าจะยกน้ำล้างเท้าไปให้คุณชายด้วยตัวเอง”

เผยเฉียนที่อยู่ข้างๆ น้ำลายไหล พอได้ยินคำว่าแกะย่างทั้งตัวก็เดินไปไหนไม่ไหวอีก

นางเช็ดปาก กระตุกชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันเบาๆ

เฉินผิงอันคิดแล้วก็หันไปถามเว่ยเซี่ยน “ดื่มเหล้าได้ไหม?”

เว่ยเซี่ยนพยักหน้ารับ “คอแข็งมาก”

เฉินผิงอันจึงหันหน้าไปส่งยิ้มให้เถ้าแก่เนี้ยะคนนั้น “คงไม่พักค้างคืนแล้ว แต่จะกินข้าวมื้อหนึ่งที่โรงเตี๊ยม นอกจากเหล้าที่ยกมาบนโต๊ะแล้ว เตรียมเหล้าบ๊วยไว้ให้ข้าต่างหากอีกห้าจิน ข้าจะเอาไปด้วย”

สตรีแต่งงานแล้วหันไปโบกมือให้เด็กหนุ่มขาเป๋คนนั้น “ไปเลือกแกะให้ตาเฒ่าหลังค่อมอาจารย์ของเจ้าตัวหนึ่ง จำไว้ว่าต้องเลือกตัวที่อ้วนๆ ตั้งใจหน่อย วันๆ อย่าเอาแต่คิดว่าอาจารย์ที่หล่นมาจากฟ้าของเจ้าจะถ่ายทอดสุดยอดวิชายุทธ์ให้แก่เจ้า เรื่องดีๆ แบบนี้ไม่หล่นลงมาบนหัวเจ้าหรอก รีบไสหัวไป”

เด็กหนุ่มตะโกนรับคำแล้ววิ่งปรู๊ดจากไป

คนทั้งสามเดินไปนั่งบนโต๊ะซึ่งเป็นม้านั่งยาวตัวหนึ่งที่ว่างอยู่พอดี ส่วนสตรีแต่งงานแล้วเดินไปทางโต๊ะคิดเงิน หยิบกับแกล้มกินเล่นสองสามจานมาวางให้บนโต๊ะ จากนั้นก็นั่งลงตรงข้ามกับเฉินผิงอัน “ฟังจากสำเนียงของคุณชายแล้ว ไม่เหมือนคนต้าเฉวียนพวกเรา? คือบัณฑิตที่ทัศนาจรผ่านมากระมัง? มาจากทางเป่ยจิ้นหรือ?”

เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ขยับไปทางใต้ยิ่งกว่านั้น”

สตรีแต่งงานแล้วโน้มตัวมาด้านหน้า เอื้อมมือมาหยิบผลไม้แห้งที่ซื้อมาจากเมืองหูเอ๋อร์ หน้าอกหนักล้นของนางจึงกดทับลงบนโต๊ะ สังเกตเห็นว่าคุณชายผู้นั้นคลี่ยิ้มมองใบหน้าของตนตลอดเวลา ดวงตาใสกระจ่าง นี่ทำให้สตรีแต่งงานแล้วประหลาดใจเล็กน้อย ใต้หล้านี้ยังมีแมวที่ไม่กินของคาวอยู่อีกหรือ? นางพลันคลี่ยิ้มหวานถามว่า “พวกเรามาดื่มเหล้าระหว่างรออาหารกันก่อนดีไหม? ข้าสามารถดื่มเหล้าเป็นเพื่อนคุณชายได้เล็กน้อย รอจนแกะย่างถูกยกมาแล้ว พวกเราก็กำลังกรึ่มๆ พอดี ถึงเวลานั้นฉีกน่องแกะเหลืองกรอบมันเยิ้มออกมากิน รสชาตินั้นยอดเยี่ยมนักล่ะ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับตอบตกลง

สตรีแต่งงานแล้วจึงไปหยิบเหล้าหนึ่งไหและถ้วยขาวใบใหญ่สี่ใบที่วางทับซ้อนกันออกมา แกะผนึกดินออก เทเหล้าลงในชาม เหล้าบ๊วยเป็นสีอำพัน ใสสะอาดเป็นพิเศษ ไม่มีความขุ่นมัวเลยแม้แต่น้อย หากมองปราดๆ ต่อให้เป็นคนที่ดื่มเหล้าเก่งก็น่าจะเมามายได้เลย สตรีแต่งงานแล้วค่อนข้างภูมิใจในตัวเอง นางยิ้มพลางอธิบายถึงเหล้าบ๊วยที่สืบทอดวิธีทำมาจากบรรพบุรุษนี้ บอกว่าเหล้าบ๊วยแบ่งเป็นเหล้าที่หมักครึ่งปี หมักสามปี หมักห้าปี ที่แย่ที่สุดคือหมักครึ่งปี เคยมีจอมยุทธ์จากเมืองหลวงคนหนึ่งเดินทางมาเที่ยวที่นี่ เขาจูงม้าตัวใหญ่มาด้วย พอดื่มเหล้าไปแล้วก็ยกนิ้วโป้งให้พร้อมเอ่ยชมไม่หยุด บอกว่าขนาดเมืองหลวงต้าเฉวียนก็ยังไม่เคยมีเหล้ารสเลิศขนาดนี้

เผยเฉียนถามด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “คนที่มาจากเมืองหลวงดื่มเหล้าที่หมักแค่ครึ่งปีน่ะหรือ?”

สตรีแต่งงานแล้วสะอึกอึ้ง ก่อนจะรีบแก้ไขคำพูดเสียใหม่ “ตอนแรกจอมยุทธ์ท่านนั้นแค่ลองชิมรสชาติดูก่อน ทว่าภายหลังก็ทำเหมือนคุณชายคือซื้อเหล้าบ๊วยหมักห้าปีไปหลายจิน”

เผยเฉียนหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม แสร้งทำเป็นว่าเข้าใจกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง คนเมืองหลวงต้าเฉวียนขี้เหนียวซะจริง ซื้อเหล้าแค่นิดหน่อยยังต้องขอชิมก่อนด้วย ไม่เหมือน…พ่อของข้า ถ้าจะซื้อก็ซื้อเหล้าหมักห้าปีที่แพงที่สุดไปเลย…”

เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่นาง ทำเอาเผยเฉียนต้องยกสองมือกุมหัว

เฉินผิงอันขยับถ้วยเหล้าบ๊วยใบใหญ่ที่วางตรงหน้าเผยเฉียนไปให้เว่ยเซี่ยนที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ให้ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนที่บอกว่าตัวเอง ‘คอแข็งมาก’ คนนี้ดื่มคนเดียวสองชาม แค่สองชามเท่านั้น คิดดูแล้วน่าจะถือว่าเล็กน้อยสำหรับเขา

เผยเฉียนนวดคลึงศีรษะตัวเอง พูดอย่างน้อยใจ “ขอข้าดื่มแค่คำเล็กๆ ไม่ได้หรือ? เดินทางมาไกลขนาดนี้ ข้ากระหายน้ำ แทบจะมีควันผุดออกมาจากคออยู่แล้ว!”

เด็กหญิงริมฝีปากแห้งผากจนแทบจะมีเลือดซึมออกมา หากไม่เป็นเพราะบนหน้าผากแปะยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจเอาไว้ นางจึงแสดงพละกำลังกายที่น่าตะลึงออกมาได้ นางก็คงไม่สามารถทนเดินมาจนถึงโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นแน่

มีเงินก็จ้างผีให้โม่แป้งได้ มียันต์ช่วยให้นางเดินทางได้เร็ว สรุปแล้วก็ยังคงเป็นเพราะเงิน

เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ใครบอกเจ้าว่าดื่มเหล้าสามารถแก้กระหายได้? ขอน้ำเปล่าถ้วยหนึ่งจากเถ้าแก่เนี้ยะเองสิ”

เผยเฉียนชำเลืองตามองสตรีที่แต่งกายเฉิดฉันแล้วแค่นเสียงเย็นในลำคอ ยกสองแขนกอดอก สะบัดหน้าไปทางอื่น ไม่มองสตรีแต่งงานแล้วคนนั้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!