ผู้เฒ่ารู้สึกละอายใจ
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้าตอบรับ
สามารถคุ้มครองผู้เฒ่าสกุลเหยาเดินทางไปส่งถึงเมืองหลวง เฉินผิงอันก็จะสบายใจด้วย
อันที่จริงประโยคแรกของผู้เฒ่าไม่ค่อยสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของวงการขุนนางเท่าใดนัก เข้าเมืองหลวงไปรับตำแหน่งเจ้ากรมกลาโหมคือการโยกย้ายในระดับที่เสมอกัน ไม่ใช่การลดขั้นอะไร เพราะเจ้ากรมกลาโหมของราชวงศ์ต้าเฉวียนคือตำแหน่งขุนนางสำคัญที่แท้จริงในราชสำนัก คือเก้าอี้ที่แม่ทัพใหญ่หลายคนฝันใฝ่ว่าจะได้ครอบครอง เพียงแต่ว่าสำหรับเหยาเจิ้นแล้ว วันใดที่ต้องถอดเสื้อเกราะลงจากหลังม้าก็คือวันที่เขาปลดประจำการและพักผ่อนในชีวิตบั้นปลายแล้ว
อีกอย่างการที่ต้องไปจากชายแดนใต้ซึ่งเป็นสถานที่ที่ตระกูลเหยาลงหลักปักฐานมาหลายรุ่นหลายสมัย ไปอาศัยอยู่เมืองเซิ่นจิ่งที่เป็นเมืองหลวงก็ถือเป็นการพลัดที่นาคาที่อยู่ ด้วยอายุของเหยาเจิ้น รวมไปถึงสถานะเสาเทพค้ำมหาสมุทร (เปรียบเปรยถึงคนสำคัญ คนที่เป็นที่พึ่งให้กับผู้อื่น) ทางทิศใต้ของต้าเฉวียน การกระทำนี้ของหลิวเจินฮ่องเต้ต้าเฉวียนจึงทำให้ทุกคนในราชสำนักต้องขบคิดกันอย่างหนัก
แต่ก็มีอยู่ข้อหนึ่งที่สามารถแน่ใจได้ ราชสำนักมีคำสั่งให้คุ้มครองคนตระกูลเหยา หรือควรจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่าฮ่องเต้ตัดสินใจแล้วว่าจะกระชากตระกูลเหยาออกจากน้ำวนลูกนี้ ประทานรางวัลโดยการให้เหยาเจิ้นได้รักษาตัวรอด มีโอกาสบำรุงรักษาสุขภาพยามชราก็ถือว่าเป็นจุดจบที่ไม่เลว
แม้ว่าระดับความดุเดือดในการแข่งขันระหว่างองค์ชายสกุลหลิวของต้าเฉวียนรุ่นนี้จะผิดไปจากปกติ ทว่าองค์ชายสามท่านในปัจจุบันนี้ ต่อให้จะเป็นองค์ชายใหญ่ที่อายุยังน้อยก็สามารถปกครองพื้นที่ทางเหนือได้แล้ว ก็ยังให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของตัวเองในราชสำนักอย่างมาก พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย เหยาเจิ้นที่อยู่ชายแดนจะแก่ตาย ป่วยตาย รบตายในสนามรบหรือตายอย่างเฉียบพลันก็ล้วนไม่ใช่เรื่องแปลก มีเพียงอย่างเดียวคือไม่สามารถตายอยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งที่อยู่ใต้ฝ่าพระบาทของโอรสสวรรค์ได้
เพราะมีข่าวลือว่าวิญญูชนคนหนึ่งของสำนักศึกษาต้าฝูที่มีประสบการณ์และความรู้เลิศล้ำ หลังจากออกจากสำนักศึกษาแล้วก็ได้ไปสอนหนังสืออยู่ที่เมืองเซิ่นจิ่งนานหลายปี
เหยาเจิ้นไม่ต้องการให้เฉินผิงอันคิดว่าการที่ทั้งสองฝ่ายเดินทางไปยังเมืองเซิ่นจิ่งด้วยกัน เพราะพวกเขาต้องการให้กลุ่มของเฉินผิงอันปกป้องตระกูลเหยาเดินทางขึ้นเหนือ จึงช่วยไล่เรียงเหตุการณ์ในราชสำนักต้าเฉวียน อธิบายถึงสภาพการณ์ของตระกูลเหยาในทุกวันนี้ให้เฉินผิงอันฟังอย่างละเอียด บอกให้เขารู้ว่าเหตุใดการเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ถึงเท่ากับว่าตระกูลเหยาได้หลุดพ้นจากสถานการณ์อันตราย และสาเหตุหนึ่งในนั้นก็มีทั้งความดีความชอบของวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาที่อยู่ในเมืองหลวงท่านนั้น และทั้งจากบารมีที่มองไม่เห็นของวิญญูชนหนุ่มที่อยู่ในโรงเตี๊ยม
เฉินผิงอันแทบไม่ได้พูดอะไร ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเขาที่ตั้งใจรับฟังคำอธิบายจากแม่ทัพผู้เฒ่า
เขาถามไปเพียงครั้งเดียว คือถามเรื่องเกี่ยวกับนักโทษที่องค์ชายสามคุมตัวไป
เดิมทีเหยาเจิ้นเป็นคนเข้มงวดจริงจัง ยึดมั่นในหลักปฏิบัติของบิดาและของขุนนางที่ซื่อสัตย์ยิ่งกว่าบัณฑิตที่คร่ำครึเสียอีก เพียงแต่ว่าเมื่อผ่านหายนะครั้งนี้มา เขาเสียความรู้สึกอย่างสุดซึ้ง ความคิดและการกระทำหลายอย่างจึงเปลี่ยนไป เรื่องวงในของต้าเฉวียนที่หากเป็นเมื่อก่อนต่อให้ตายก็คงไม่มีทางปริปากบอกใคร เวลานี้กลับหลุดจากปากเขาอย่างง่ายดาย คิดดูแล้วนอกจากความเสียใจแล้ว อันที่จริงผู้เฒ่าคงรู้สึกวางใจแล้วด้วย วางใจว่าจะสงบใจใช้ชีวิตในบั้นปลายแล้ว
การต่อสู้ระหว่างเจ้าเมืองจินหวงแห่งเป่ยจิ้นและเทพวารีทะเลสาบซงเจินในครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็บาดเจ็บและล้มตาย ทำลายรากฐานชะตาแคว้นของเป่ยจิ้น ตอนนั้นในรถนักโทษสิบกว่าคันก็มีคันหนึ่งที่คุมขังเทพภูเขาอันดับหนึ่งแห่งเป่ยจิ้นที่มีระดับรองลงมาจากทวยเทพแห่งห้าขุนเขา องค์ชายสามวางแผนเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานถึงเจ็ดแปดปี ใช้กองกำลังลับของราชวงศ์ต้าเฉวียนไปเป็นจำนวนมาก ขอแค่คุมตัวเจ้าเมืองเทพภูเขากลับไปได้สำเร็จ ในสายตาของคนเมืองเซิ่นจิ่ง นี่ถือเป็นคุณความชอบที่ยิ่งใหญ่ ไม่ต่างจากการที่แม่ทัพบู๊บุกเบิกพื้นที่พันลี้ น่าเสียดายก็แต่ทุกสิ่งที่ทำมาล้วนสูญเปล่า ทุกอย่างล้วนพังภินท์อยู่ในโรงเตี๊ยมของเมืองเล็กๆ ริมชายแดน หลี่หลี่ขันทีผู้ควบคุมกองทหารม้าตายไปแล้ว บุตรชายคนเดียวของเซินกั๋วกงก็ตายไปแล้ว ไปๆ มาๆ แผนการที่วางไว้อย่างยากลำบากตลอดสิบปี สุดท้ายก็แค่ได้หน้า แต่สูญเสียพลังภายใน
ท่ามกลางสีแห่งรัตติกาล คนทั้งสองเดินไปบนทางหลวงด้วยกัน เหยาเจิ้นพูดคุยไปเรื่อยเปื่อยอย่างสบายอารมณ์ เขามองเฉินผิงอันเป็นผู้มีพระคุณ และไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนเพราะอายุของเฉินผิงอัน
ในขณะที่เฉินผิงอันกับแม่ทัพผู้เฒ่าพูดคุยกันอยู่ข้างนอก
ในโรงเตี๊ยมกลับมีบรรยากาศแปลกประหลาด
จิ่วเหนียงยืนเอนพิงขอบประตู ผู้เฒ่าหลังค่อมดื่มเหล้ากาเล็กอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน บัณฑิตจงขุยนั่งอยู่บนธรณีประตู แหงนหน้ามองซีกหน้าด้านข้างของสตรีแต่งงานแล้ว
ตลอดทั้งโรงเตี๊ยมมีลูกค้าอยู่แค่โต๊ะเดียว สาวงามสะพายกระบี่ บุรุษพกดาบท่าทางน่าเกรงขาม บุรุษผอมบางที่บอกว่าตัวเองคอแข็ง แต่กลับไม่ยอมดื่มเหล้า พวกเขาสั่งอาหารสามอย่างจากทางโรงเตี๊ยม เด็กหนุ่มขาเป๋เองก็หิวมากเหมือนกัน เห็นว่ายังมีที่ว่างจึงนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับคนทั้งสาม แต่ไม่คีบกับข้าว เอาแต่ก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าวสวยในถ้วย
เด็กหนุ่มขาเป๋คอยชำเลืองตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นระยะ
หน้าตาสะสวยกว่าเถ้าแก่เนี้ยะเยอะเลย บนโลกมีสตรีที่หน้าตางดงามขนาดนี้ได้อย่างไรกันนะ?
นางสะพายกระบี่ คงจะเป็นจอมยุทธ์หญิงในยุทธภพกระมัง
ไม่รู้ว่าวันหน้านางจะเดินทางผ่านโรงเตี๊ยมอีกหรือไม่ ถึงเวลานั้นเขาน่าจะเป็นพ่อครัวใหญ่แล้ว ไม่ต้องคอยกวาดพื้น เช็ดโต๊ะและยกน้ำชายกสุราอีกแล้ว
พอคิดถึงเรื่องนี้ เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าข้าวสวยในถ้วยไม่แย่ไปกว่าอาหารเลิศรสที่บัณฑิตจงขุยกล่าวถึงเลย
ตอนที่เฉินผิงอันกลับมาถึงโรงเตี๊ยม โรงเตี๊ยมก็ปิดแล้ว ชั้นหนึ่งเหลือแค่จงขุยที่รอปิดประตู
ปิดประตูเรียบร้อย จงขุยก็เป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้เฉินผิงอันดื่มเหล้า แต่กลับไม่ชวนคุยอะไร ต่างคนต่างดื่ม ดื่มเสร็จแล้วจงขุยก็ปูผ้านอนหลังโต๊ะคิดเงิน เฉินผิงอันขึ้นไปพักบนชั้นสอง ก่อนจะจากกันจงขุยพูดกลั้วหัวเราะว่าเงินค่าเหล้าจะจดลงในบัญชี ตอนนั้นเฉินผิงอันรู้สึกระอาใจเล็กน้อย ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดวิญญูชนแห่งลัทธิขงจื๊อที่มีตบะเลิศล้ำค้ำฟ้าถึงต้องมายืมจมูกคนอื่นหายใจ ใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นถึงขนาดนี้ เฉินผิงอันพบเห็นอะไรหลายอย่างตลอดการเดินทาง คนที่ถูกเรียกว่ายอดฝีมือ เขาเองก็รู้จักมาไม่น้อย แต่ไม่มีใครที่ไม่พิถีพิถันได้ถึงขนาดนี้ กุ้ยฮูหยินที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำ ชายฉกรรจ์กอดกระบี่คนเฝ้าประตูภูเขาห้อยหัว ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าโอสถทองที่ตอนนั้นทำหน้าที่เป็นสารถีให้เขากับฟ่านเอ้อร์ อันที่จริงคนเหล่านี้ล้วนไม่มีนิสัยเรียบง่ายเป็นกันเองสักเท่าไหร่
และประโยคสุดท้ายที่จงขุยทิ้งไว้ก็คือ “เดินทางท่องอยู่ในยุทธภพ เงินหายาก ขี้กินยาก ขอแค่ไม่ใช่ใช้เงินกับกินขี้ ชีวิตก็สบายแล้ว”
ทางฝั่งของถนนทางหลวง คนตระกูลเหยาเดินห่างจากโรงเตี๊ยมไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ
มีม้าตัวหนึ่งเหยาะย่างอยู่เคียงข้างกับม้าของเหยาเจิ้น คือสตรีที่สวมผ้าคลุมหน้าคนนั้น เวลานี้นางเลิกผ้าคลุมหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงหน้างดงามมีเสน่ห์มาตั้งแต่กำเนิด น่าจะเป็นต้นตอหายนะของตระกูลเหยาที่จงขุยเคยพูดถึง แม้ว่าโฉมหน้าของนางจะงามเพริศพริ้ง ดวงตาดอกท้อคู่นั้นมีประกายแห่งวสันตฤดูที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาตลอดทั้งปี แต่บุคลิกกลับเย็นชา
เพราะบาดเจ็บ ผู้เฒ่าจึงไม่ได้ควบม้าห้อทะยาน แม่ทัพผู้เฒ่าที่อยู่บนหลังม้ามาทั้งชีวิตผู้นี้เริ่มศิโรราบให้แก่ความชราขึ้นทุกทีแล้ว
หญิงสาวถามเสียงเบา “ท่านปู่ ทำไมถึงไม่เข้าไปเยี่ยมท่านน้าเก้าสักหน่อย? เวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว ครั้งนี้ยังต้องเดินทางไปเมืองหลวง ไม่คิดจะพบหน้ากันสักครั้งเลยหรือ?”
เหยาเจิ้นส่ายหน้า “ช่างเถอะ”
หญิงสาวหันหน้ามองไปทางเด็กสาวพกดาบและเด็กหนุ่มที่เงียบงัน “ตอนนี้สภาพจิตใจของหลิ่งจือกับเซียนจือไม่ค่อยดีนัก”
เหยาเจิ้นยิ้มบางๆ กล่าวว่า “พวกเขาจะได้ไม่ต้องคอยคิดว่าตัวเองฝีมือเลิศล้ำเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไงล่ะ นี่เป็นเรื่องดี รอจนพวกเขาไปถึงเมืองเซิ่นจิ่งแล้วยังต้องลำบากอีกมาก”
หญิงสาวทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!