กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 341

บทที่ 341.2 ตวัดพู่กันมีเทพช่วย
ProjectZyphon
ที่แท้เผยเฉียนกับจงขุยนั่งอยู่บนโต๊ะตัวเดียวกัน จงขุยจิบเหล้าคำเล็กๆ กำลังตั้งหน้าตั้งตาสั่งสอน เผยเฉียนก็รับฟังอย่างตั้งใจ สีหน้าเหมือนคนถูกเปิดสติปัญญาให้โล่งกว้าง

จงขุยถาม “รู้หรือไม่ว่าทำไมถึงต้องกล่าวว่า วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ?”

เผยเฉียนตอบ “ก็บัณฑิตต่อยตีกับคนอื่นไม่เป็นอย่างไรล่ะ”

จงขุยกดเสียงลงต่ำ พูดด้วยท่าทางลึกลับ “ความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้ก็คือ ขอแค่วิญญูชนขยับปาก อีกฝ่ายก็ซี้แหงแก๋ไปแล้ว”

เผยเฉียนสงสัย “วิญญูชนทะเลาะกับคนเก่งขนาดนี้เชียว ถึงขั้นด่าคนให้ตายได้เลยหรือ?”

จงขุยยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเหยียบบนม้านั่งตัวยาว ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ เขาเลิกคิ้วสูงบอกเป็นนัยให้เด็กหญิงรินเหล้าให้ตนก่อน ตนถึงจะบอกคำตอบ

เผยเฉียนเหลือกตาใส่อย่างรังเกียจ ชำเลืองตามองจงขุย บนใบหน้าเล็กๆ ที่ดำเกรียมของนางเขียนคำว่า ‘เจ้าคือหอมต้นไหน’ ไว้อย่างชัดเจน

จงขุยเองก็ไม่ขุ่นเคือง ยื่นนิ้วมาชี้หน้าเด็กหญิงที่ผิวดำเกรียมราวกับถ่านแล้วหัวเราะฮ่าๆ “เจ้านี่ไม่ยอมเสียเปรียบใครเลยจริงๆ”

เผยเฉียนกลับเป็นฝ่ายโมโหเสียเอง นางลุกขึ้นยืน เอื้อมตัวมาตีนิ้วข้างนั้นของจงขุย

จงขุยขยับตัวหลบเลี่ยง ยังคงชี้นิ้วใส่เผยเฉียน ส่วนเผยเฉียนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งก็ปัดตบฝ่ามือข้างนั้นอยู่ตลอดเวลา

จิ่วเหนียงที่อยู่ตรงโต๊ะคิดเงินมองจงขุย ไม่ได้รู้สึกว่าการที่บุรุษตัวโตๆ คนหนึ่งมีจิตใจเป็นเด็กจะมีค่าพอให้สตรีหันมามองข้อดีของเขา

แต่ในเมื่อจงขุยเป็นแบบนี้ได้ ก็น่าจะไม่ใช่คนเลวร้ายสักเท่าไหร่

เผยเฉียนไม่เคยเจอบัณฑิตคนไหนไร้ยางอายเท่านี้มาก่อน นางเหนื่อยจนหอบดังฮักๆ กลับไปนั่งที่เดิม พูดเหน็บแนมว่า “ในเมื่อวิญญูชนร้ายกาจขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงยังพูดว่ายินดีล่วงเกินวิญญูชน แต่ไม่คิดล่วงเกินคนถ่อยเล่า?!”

จงขุยยิ้มบางๆ ตอบว่า “นั่นเป็นเพราะไม่ได้เจอกับข้า”

เผยเฉียนกระตุกมุมปาก “เจ้าแต่งเรื่องโกหกแล้วกระมัง หนังสือที่เจ้าอ่านจะมากกว่าท่านพ่อข้าได้หรือ?”

จงขุยตบหน้าตัวเอง ไร้คำพูดให้ตอบโต้ ท่าทางราวกับว่าไม่มีหน้าไปเจอเหล่าอาจารย์อริยะปราชญ์ที่รูปปั้นถูกตั้งบูชาบนแท่นบูชาอีกแล้ว “ถือว่าข้าแพ้แล้ว”

เฉินผิงอันเดินไปหาจิ่วเหนียง หยิบเงินที่เตรียมมาไว้นานแล้วออกมา คราวนี้จิ่วเหนียงไม่ได้ปฏิเสธ เงินเล็กน้อยแค่ยี่สิบสามสิบตำลึง ในเมื่อผู้มีพระคุณของสกุลเหยาตรงหน้าผู้นี้ยินดีมอบให้ นางก็ได้แต่รับเอาไว้ นางยิ้มจืดเจื่อนกล่าวว่า “คุณชายเฉิน เข้าเมืองหลวงคราวนี้ หวังว่าเจ้าจะช่วยข้าดูแลหลิ่งจือสักหน่อย นางมีนิสัยหยิ่งผยอง ไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นเท่าใดนัก ขอคุณชายช่วยโอนอ่อนผ่อนตาม ถือซะว่าข้าได้คืบจะเอาศอกแล้วกัน”

เฉินผิงอันพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็ยิ้มพลางยื่นมือออกมา

จิ่วเหนียงไม่เข้าใจ

เฉินผิงอันจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ค่าตอบแทนในการดูแลแม่นางเหยา หากไม่ถึงยี่สิบสามสิบตำลึงก็คงพูดยากแล้ว”

จิ่วเหนียงไม่เคยอารมณ์ดีอย่างนี้มาหลายปีแล้ว นางตบเงินลงบนฝ่ามือของเฉินผิงอันหนักๆ สตรีแต่งงานแล้วหัวเราะอย่างขำขันสุดขีด “โอ้โห คิดไม่ถึงเลยว่าคุณชายจะเป็นคนทำการค้าที่ชาญฉลาดด้วย!”

เฉินผิงอันเก็บเงินไปจริงๆ เขาเอ่ยสัพยอกนางว่า “ออกเดินทางอยู่ข้างนอก จำเป็นต้องรู้จักคิดวิธีหาเงิน”

จงขุยหันหน้าไปมองจิ่วเหนียงกับเฉินผิงอันที่พูดคุยกันอย่างถูกคอ แล้วตะโกนใส่ทางห้องครัวเสียงดัง “เดี๋ยวพอยกอาหารเช้าขึ้นโต๊ะ อย่าลืมเอาน้ำส้มสายชูมาให้ข้าถ้วยหนึ่ง ต้องถ้วยใหญ่ด้วย!” (น้ำส้มสายชูในภาษาจีนมีความหมายอีกอย่างคือความหึงหวง ในภาษาจีนคำว่าหึงจะพูดว่าชือชู่ที่แปลว่ากินน้ำส้ม)

ทุกคนกินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย เสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้นบนทางหลวงนอกโรงเตี๊ยม ยิ่งนานยิ่งชัดเจน

การจากลากำลังจะมาถึง

เฉินผิงอันพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามหยั่งเชิงจงขุย “ช่วยเขียนโคลงคู่ให้ข้าสักแผ่นได้ไหม?”

เฉินผิงอันคิดว่าจะดีจะชั่วบัณฑิตตรงหน้าก็เป็นวิญญูชนคนหนึ่งของสำนักศึกษา คิดดูแล้วลายมือของอีกฝ่ายน่าจะงดงามมาก ให้อีกฝ่ายเขียนกลอนคู่ถือว่าเป็นสัญญาณการเริ่มต้นอันดีสำหรับเขา

ดวงตาจงขุยเป็นประกาย “จ่ายเงินไหม?”

จิ่วเหนียงหัวเราะอย่างฉุนๆ “ในสายตาเจ้ามีแต่เงินหรือไง?!”

จงขุยจึงวิ่งตุปัดตุเป๋ไปทางโต๊ะคิดเงิน ถูมือกล่าวอย่างขลาดๆ “จิ่วเหนียง พู่กันกับหมึกอยู่ไหนหรือ?”

จิ่วเหนียงตวัดค้อนใส่ “เจ้าเป็นคนคิดบัญชี หาเองไม่เจอรึไง?”

โรงเตี๊ยมมีพู่กันกับหมึกและกระดาษสีแดงว่างเปล่าที่ตัดเป็นแถบสำหรับใช้เขียนโคลงคู่อยู่แล้ว เพราะในอดีตเวลาถึงช่วงปีใหม่ล้วนเป็นผู้เฒ่าหลังค่อมที่ลงมือเขียนตัวเอง อีกทั้งยังเขียนสวยมาก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นน้องสามของเหยาเจิ้น แม้ว่าสกุลเหยาจะเป็นทหารชายแดนตระกูลใหญ่ แต่สำหรับเรื่องการแต่งกลอนเขียนบทความ สกุลเหยาก็ไม่เคยละเลย การเคลื่อนทัพจัดขบวนรบ การวางกลยุทธ์ทำสงคราม หากลูกหลานสกุลเหยาทุกคนเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ที่หยาบกระด้างจริงๆ ก็ไม่อาจรับหน้าที่เหล่านี้ได้

เฉินผิงอันบอกว่าไม่ต้องเตรียมพู่กันกับหมึก เขามี

ก่อนจะพูดประโยคนี้เขาแอบพลิกข้อมือเบาๆ หยิบเอาเหล็กหมาดหิมะออกมาจากวัตถุฟางชุ่นแล้ว

เผยเฉียนไปรับกระดาษแดงที่ใช้เขียนคำกลอนคู่มาอย่างประจบประแจง แล้วนำมาปูวางลงบนโต๊ะ

นางยังไม่ลืมเอ่ยกำชับจงขุยที่ยืนม้วนชายแขนเสื้ออยู่หน้าโต๊ะว่า “เจ้าต้องตั้งใจให้มากนะ เขียนให้ดีหน่อย วันหน้ายังต้องเอาไปแปะไว้บนผนังบ้านของข้า!”

พวกจูเหลี่ยนสี่คนต่างก็ขยับเข้ามาดู เพราะอยากรู้อย่างยิ่งว่าวิญญูชนท่านนี้จะเขียนอะไร

ส่วนเรื่องที่ว่าเฉินผิงอันไปเอาพู่กันมาจากไหน แล้วทำไมไม่ต้องใช้หมึกก็สามารถเขียนตัวอักษรได้ จิ่วเหนียงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

หลังจากรับพู่กันมาแล้ว ลมปราณของจงขุยก็ลดตัวลงไปที่จุดตันเถียน สีหน้าเคร่งเครียด ตวาดเบาๆ หนึ่งที พู่กันที่จรดลงไปก็เหมือนมังกรว่ายวน เขียนตัวอักษรลงไปห้าตัว

ตัวอักษรที่เขาเขียนแค่เป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้น ส่วนเรื่องท่วงทำนองหรือความมีชีวิตชีวาอะไรเทือกนั้น แทบไม่มีอยู่เลย

ตัวอักษรทั้งห้ามีเนื้อความว่า ‘จรดพู่กันสะเทือนลมฝน’

เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ตัวอักษรที่ควรมีในโคลงคู่ กลับเหมือนว่าพอจงขุยคว้าโอกาสที่หาได้ยากเอาไว้ได้ก็เลยพยายามจะโอ้อวดตัวตนบัณฑิตของตนมากกว่า

จูเหลี่ยนที่หลังโก่งงอพินิจตัวอักษรทั้งห้านั้นอย่างละเอียดพลางยิ้มตาหยี

สุยโย่วเปียนหันหน้าไปมองทางประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยม อีกไม่นานคนตระกูลเหยาก็ใกล้จะถึงแล้ว

จิ่วเหนียงกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าเป๋น้อยไปหยิบไม้กวาดมา มีคนคันผิวอยากโดนฟาด”

จงขุยทำหน้าไร้เดียงสา “อย่านะ ข้าตั้งใจเขียนมากแล้วนะ หากไม่ได้จริงๆ ข้าจะเขียนอีกแผ่นแล้วกัน เงินค่ากระดาษกลอนคู่สองแผ่นนี้ เดี๋ยวข้าจ่ายให้เอง”

เฉินผิงอันพูดด้วยรอยยิ้ม “ดีมากแล้ว เอาแผ่นนี้นี่แหละ เขียนอีกแค่ห้าตัวอักษรก็ใช้ได้แล้ว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!