กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 345

บทที่ 345.2 อริยะมาเยือนจวนปี้โหยว
ProjectZyphon
หลังจากอิ่นเมี่ยวเฟิงกล่าวถึงเป้าหมายการมาเยือนจวนปี้โหยวยามค่ำคืนในครั้งนี้แล้ว จงขุยที่ค้นพบว่าเทพวารีลำคลองหมายเหอทำท่าวางตัวอยู่เหนือเรื่องราว เขาก็ทั้งโมโหทั้งขำ เพียงแต่ว่าคืนนี้เขามาที่ลำคลองหมายเหอ เดิมทีก็เพราะเรื่องนี้อยู่แล้ว บวกกับเรื่องที่ปีศาจลำคลองติดสินบนเมืองเซิ่นจิ่ง ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ถือว่าละเมิดข้อห้ามของเขา ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสพูดกับอิ่นเมี่ยวเฟิงว่า “เรื่องหนังสือที่จะเอามาตั้งบูชาในจวนปี้โหยว ข้าจะเป็นคนเกลี้ยกล่อมเจ้าแม่เทพวารีเอง พวกเจ้าเอาไปรายงานทางเมืองเซิ่นจิ่งได้อย่างสบายใจ แน่นอนว่าต้องเลือกใช้คำที่ฉลาดหน่อย เมื่อเรื่องนี้สำเร็จ พวกเจ้าก็จะมีคุณความชอบ แต่หากไม่สำเร็จ พวกเจ้าก็ไม่ต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดครั้งนี้ข้าถึงยอมช่วยพวกเจ้า นั่นก็ย่อมต้องมีต้นสายปลายเหตุอยู่แล้ว แต่พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องคิดส่งเดชให้วุ่นวาย”

อิ่นเมี่ยวเฟิงซาบซึ้งใจอย่างถึงที่สุด ครั้นจึงบอกลาไปพร้อมกับลูกศิษย์เส้ายวนหราน

พ่อบ้านผู้เฒ่าเดินนำทางพาเจ้าแม่เทพวารีของตนและแขกหนุ่มคนนั้นที่เหมือนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่กว่าไปยังห้องโถงใหญ่ของจวนที่ใช้รับรองแขก

เฉินผิงอันเดินอยู่ข้างกายจงขุย สายตาก็คอยมองทัศนียภาพของจวนปี้โหยวไปด้วย บนผนังบังตาวาดภาพมีชีวิตของศาลเทพวารีและลำคลองหมายเหอที่ไหลรินเอาไว้ ควันธูปลอยหมุนเป็นเกลียวอ้อยอิ่ง น้ำในแม่น้ำซัดโถม และยังมีเสียงน้ำดังมาให้ได้ยิน

มีเพียงเทพวารีเท่านั้นที่มองเห็นจิตหยินของเฉินผิงอัน อาจารย์และลูกศิษย์ของลัทธิเต๋าสองคนนั้นต่างก็ไม่อาจมองเห็น นี่เป็นเพราะว่าศาลเทพวารีและจวนปี้โหยวที่เฉินผิงอันอยู่ในเวลานี้ล้วนอยู่ในอาณาเขตของลำคลองหมายเหอ ส่วนปีศาจลำคลองกับผีพราย ฝ่ายแรกขอแค่อยู่ในแม่น้ำลำคลองและทะเลสาบ ตบะก็จะลึกล้ำ โดยเฉพาะในลำคลองหมายเหอที่มันเลือกเดินลงมา อันที่จริงมันได้รับวิชาอภินิหารที่ใกล้เคียงกับเทพวารีมาอย่างหนึ่งแล้วด้วย ดังนั้นจึงมองเห็นเฉินผิงอันเช่นกัน ส่วนพวกผีพรายทั้งหลายกลับเหมือนเวลาที่ผีขี้เหล้า ‘ได้กลิ่นหอมของเหล้า’ ถึงได้ถูกดึงดูดมาตามธรรมชาติมากว่า

มองห้องโถงขนาดใหญ่ที่สว่างเจิดจ้าเพราะเทียนที่ใช้จุดไฟใหญ่เท่าแขนคน บนโต๊ะยังวางบะหมี่ปลาไหลผัดฉ่าถ้วยนั้นเอาไว้

พอเห็น ‘ถ้วยใหญ่’ ใบนั้น เฉินผิงอันก็อึ้งตะลึงจนพูดไม่ออก

จงขุยสีหน้าเป็นปกติ นั่งแปะลงไปข้างโต๊ะ พูดกับเจ้าแม่เทพวารีด้วยรอยยิ้ม “ขอข้าด้วยถ้วยหนึ่ง ไม่เอาถ้วยใหญ่ขนาดนี้ แค่ใส่ถ้วยเล็กๆ มาก็พอ”

นางพยักหน้ารับ จากนั้นหันไปมองเฉินผิงอัน “คุณชายท่านนี้จะกินอาหารมื้อดึกด้วยหรือไม่?”

จิตหยินไม่หมือนจิตหยางที่เป็นดั่งร่างนอกร่างของผู้ฝึกตน ไม่อาจกินอาหารรสเลิศในโลกมนุษย์ได้ ได้แค่ใช้ปราณวิญญาณฟ้าดินมาเป็นสิ่งชดเชย

เฉินผิงอันจึงยิ้มส่ายหน้าบอกว่าไม่กิน

หนึ่งเทพวารี หนึ่งวิญญูชนนั่งร่วมโต๊ะกัน ต่างคนต่างกินบะหมี่ปลาไหลในอ่างและในถ้วยของตัวเอง

เสียงของจงขุยดังขึ้นมาในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอัน “เจ้าแม่เทพวารีผู้นี้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ ไม่รู้ว่าเจอกับโชควาสนาแบบใดถึงได้รับการสืบทอดจากยุคบรรพกาลมา สามารถใช้บทกวีขอฝนบนป้ายศิลามาเป็นคาถาในการหลอมอาวุธ ว่ากันว่าระดับขั้นของคาถานี้สูงมาก ถือเป็นรากฐานในการบรรลุมรรคาของเซียนห้าขอบเขตบนท่านนั้น ด้วยเหตุนี้คนบางคนจึงให้ความสนใจอย่างมาก เพียงแต่ติดที่ชื่อเสียง จึงได้แต่วางแผนอย่างเชื่องช้า”

ตามคำบอกของจงขุย เทพวารีลำคลองหมายเหอหลอมอาวุธมาแล้วทั้งสิ้นเก้าชิ้น สองชิ้นในนั้นได้เลื่อนขั้นเป็นสมบัติอาคม ระหว่างที่ต่อสู้กับปีศาจลำคลองทำเสียหายไปสามชิ้น นั่นคือสมบัติอาคมที่ทำให้นางสามารถกำราบปีศาจลำคลองไว้ได้อย่างอยู่หมัดตลอดเวลาสองร้อยกว่าปีที่ผ่านมา เพียงแต่ว่าจำนวนอาวุธของนางมีมากเกินไป

สตรีบนโลกเวลาออกไปท่องเที่ยวชานเมืองจะต้องเปลี่ยนชุดกระโปรง เปลี่ยนเครื่องประทินโฉม ทว่าเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอท่านนี้ ยามที่ออกตรวจตราพื้นที่ในปกครองจะเลือกอาวุธชิ้นไหนติดตัวไปด้วยก็ต้องดูที่อารมณ์ในขณะนั้น

กินอาหารมื้อดึกเรียบร้อยแล้ว เจ้าแม่เทพวารีก็พูดกับจงขุยอย่างตรงไปตรงมาว่า “รบกวนท่านวิญญูชนช่วยยืนยันให้ข้าแน่ใจสักหน่อยว่า หากข้าดึงดันจะขอตำราเล่มนั้นของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งมาให้ได้ สำนักศึกษาต้าฝูจะหาข้ออ้างมาทำลายจวนปี้โหยวของข้าให้พินาศวอดวายหรือไม่? หรือจะจงใจสร้างความลำบากใจให้แก่สกุลหลิวต้าเฉวียน ทำให้ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกเป่ยจิ้นและหนันฉีร่วมมือกันมาทำลายจนสิ้นชาติ?”

เฉินผิงอันรู้สึกว่าต้องหันมามองนางเสียใหม่แล้ว

จงขุยส่ายหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สำนักศึกษาต้าฝูไม่ได้ป่าเถื่อนเผด็จการขนาดนั้น อย่างมากก็แค่ปล่อยให้จวนปี้โหยวทำลายอนาคตของตัวเองไป วันหน้าไม่ว่าเจ้าและราชวงศ์ต้าเฉวียนจะสร้างคุณความชอบมากแค่ไหนก็ไม่มีหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นตำหนักอีกแล้ว ข้อนี้เจ้าต้องคิดให้ดี วันนี้ไม่ว่าจะเป็นเพราะลึกๆ ในใจเจ้ารู้สึกว่าการเลื่อนขั้นเป็นตำหนักปี้โหยวเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือเป็นเพราะเลื่อมใสในบทความอันมีคุณธรรมของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งผู้นั้นจริงๆ สรุปแล้วก็คือเจ้ายืนยันจะปฏิเสธความหวังดีจากสำนักศึกษาต้าฝู นับจากนี้ไปย่อมถูกสำนักศึกษาจดจำความแค้น เรื่องในวันนี้จะถูกจดลงในเอกสารคดีของสำนักศึกษา วันหน้าต่อให้เจ้าสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ทำให้ปวงประชาผาสุก มีคุณความชอบต่อแผ่นดินมากแค่ไหน ก็ยังได้แค่แขวนป้ายคำว่าจวนปี้โหยวเท่านั้น ถึงเวลานั้นเจ้าอาจจะรู้สึกว่าสำนักศึกษาทำไม่ถูก เช่นนั้นก็ไม่สู้ลองพิจารณาการเลือกในวันนี้ดูให้ดี”

นางพยักหน้ารับ “ข้าจำไว้แล้ว ถึงเวลานั้นจะไม่มีทางตำหนิสำนักศึกษาต้าฝูของพวกเจ้าเด็ดขาด ทำสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้นตอบแทน อันที่จริงจะว่าไปแล้วก็ต้องบอกว่าข้าดูหมิ่นอำนาจของสำนักศึกษาต้าฝูพวกเจ้าถึงจะถูก”

จงขุยหัวเราะเสียงเย็น “เจ้ารู้ด้วยหรือ?”

เทพวารีตัวเล็กๆ ของจวนปี้โหยวกล้าปฏิเสธการแต่งตั้งจากสำนักศึกษาต้าฝู หากสำนักศึกษาอีกสามแห่งในใบถงทวีปมาเห็นเข้า นี่ไม่ใช่เรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้าหรอกหรือ?

‘ข้อสรุป’ เหล่านี้ของจงขุยมองดูเหมือนเรียบง่ายผ่อนคลาย แต่แท้จริงแล้วเขากลับต้องแบกรับความเสี่ยงและแรงกดดันที่สูงมาก

บัณฑิตให้ความสำคัญกับหน้าตามากที่สุด แม้บางครั้งต้องอัดอั้นตันใจ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าหากถูกตบหน้าต่อหน้าคนมากมาย มีความเป็นไปได้มากว่าจะยกพู่กันขึ้นมาสังหารคน

ดังนั้นคำพูดเหล่านี้ของจงขุยในคืนนี้ก็คือยันต์คุ้มกันกายแผ่นที่ใหญ่ที่สุดสำหรับจวนปี้โหยวและศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอ

ถึงอย่างไรจงขุยก็ต้องเป็นเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝูคนต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงขั้นมีคนเคยกล่าวไว้ว่า ชีวิตนี้จงขุยมีหวังว่าจะได้เป็นผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่ง

นางยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “เอาบะหมี่อีกสักชามไหม?”

จงขุยจุ๊ปากพูด “บะหมี่หนึ่งชาม ปกป้องคนทั้งจวนปี้โหยว บะหมี่หนึ่งชาม ปกป้องคนทั้งราชวงศ์ต้าเฉวียน เจ้าแม่เทพวารี เจ้าช่างดีดลูกคิดไว้ได้ถี่ถ้วนยิ่งนัก”

แม้ปากของจงขุยจะไม่ละเว้นคน แต่ก็ยังขอบะหมี่เพิ่มอีกหนึ่งชาม เพราะว่าอร่อยมากจริงๆ นางยังบอกให้คนยกเหล้าชั้นดีมาอีกสองไห กลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก ขนาดเฉินผิงอันที่ดื่มเหล้ามานักต่อนักแล้ว หากไม่นับรวมเหล้าลืมทุกข์หวงเหลียนของภูเขาห้อยหัว คิดว่าคงมีแต่เหล้าหมักกุ้ยฮวาเท่านั้นที่พอจะทัดเทียมได้ เพียงแต่ว่าทั้งดื่มเหล้า ทั้งกินบะหมี่ เขาล้วนไม่อาจมีส่วนร่วมด้วยได้เลย

ก่อนจะดื่มเหล้า เจ้าแม่เทพวารีพูดย้ำแล้วย้ำอีกว่านี่คือเหล้าหมักร้อยปี ห้ามดื่มมากเด็ดขาด คนหนึ่งดื่มมากสุดได้แค่สามถ้วยใหญ่เท่านั้น หากดื่มมากกว่านี้ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็เมาล้มได้

แต่เฉินผิงอันกลับเห็นว่าทั้งนางและจงขุยต่างก็ดื่มกันคนละสี่ถ้วยใหญ่ เหล้าไหหนึ่งถูกดื่มจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว เจ้าแม่เทพวารียังบอกให้บ่าวในจวนไปหยิบมาเพิ่มอีกไห

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงได้เห็นผีขี้เหล้าสองคนที่คออ่อนยิ่ง

จงขุยคร่ำครวญเรียกหาจิ่วเหนียง

ส่วนเทพวารีก็ตะเบ็งเสียงพูดจาภาษาคนเมา บางครั้งยังยกมือตบโต๊ะช่วยเพิ่มความฮึกเหิมให้กับตัวเอง เวลานี้นางยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาเหยียบบนเก้าอี้ ใช้นิ้วโป้งชี้ไปที่ตัวเอง ถามจงขุยที่นางเพิ่งรับเป็นพี่น้องว่า “อยู่ในยุทธภพ ต้องอาศัยอะไร?!”

จงขุยยังคงพร่ำเพ้อถึงจิ่วเหนียงของเขา

นางจึงถามเองตอบเองว่า “ความหยิ่งในศักดิ์ศรี! กระดูกสันหลังต้องยืดตรง หมัดต้องแข็ง คำพูดคำจาและการวางตัวต่างก็ต้องผ่าเผยกว้างขวาง! พี่น้องจงขุย ข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นคนที่ไม่เลวเลยทีเดียว มีความรับผิดชอบเหมือนชายชาตรี! ข้าเลยรับเจ้าเป็นพี่น้อง วันหน้าจะบุกน้ำลุยไฟ เจ้าแค่พูดมาคำเดียว!”

เฉินผิงอันนั่งอยู่ด้านข้างด้วยความเบื่อหน่าย

ในใจคิดว่าหากเด็กชายชุดเขียวงูน้ำแห่งแม่น้ำอวี้เจียงอยู่ที่นี่ด้วย คงต้องพูดอะไรที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมน้ำมิตร แถมยังตบอกเสียงดังสะเทือนไปถึงชั้นฟ้าแน่ๆ

จงขุยชี้นิ้วไปยังฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ ทว่าตำแหน่งที่ชี้ห่างจากเทพวารีไปไกลโข พูดด้วยดวงตาปรือปรอยว่า “ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพไม่ใช่เรื่องของผู้ฝึกยุทธ์หรอกหรือ เจ้าเป็นเทพวารีคนหนึ่ง…ไม่ถูกสิ ดูเหมือนการพูดว่าเทพวารีอยู่ในยุทธภพ (แปลอีกอย่างได้ว่าแม่น้ำและทะเลสาบ) จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมที่สุดแล้ว ก็ได้ ถือว่าเจ้าพูดถูกแล้ว เพียงแต่ว่าความหยิ่งในศักดิ์ศรีไม่อาจเอามากินแทนข้าวได้…”

เทพวารีเลิกคิ้ว กรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ พูดลิ้นพันกัน “เวลาปกติก็มีข้าวกิน! กินอิ่มมากเลยล่ะ เนื้องูตุ๋น บะหมี่ปลาไหลผัดฉ่า พ่อครัวของข้าบอกว่าเมื่อก่อนเคยทำอาหารให้ฮ่องเต้กิน ฝีมือจึงยอดเยี่ยมที่สุด ดังนั้น…คนเราจึงยังต้องมีความหยิ่งในศักดิ์ศรี!”

จงขุยโคลงศีรษะ “เจ้ามีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของเจ้า เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ข้าต้องการแค่จิ่วเหนียง…”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เตรียมจะไปชมทิวทัศน์ที่หน้าประตูห้องโถง

เหล้ารสดีอยู่ใกล้ในระยะประชิดแต่ดื่มไม่ได้ ได้แต่มองอย่างเดียวย่อมชวนให้คนหงุดหงิดใจ

และเวลานี้เอง จงขุยก็ลุกพรวดขึ้นนั่งตัวตรง ชุดเขียวสั่นสะเทือน ความเมามายหายเป็นปลิดทิ้ง

ส่วนเทพวารีกลับหัวกระแทกโต๊ะดังโป้กแล้วหลับสนิทไปทันที

เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมอง

เห็นเพียงแผ่นหลังของคนที่มีความสูงในระดับปานกลาง สวมใส่ชุดลัทธิขงจื๊อ

จงขุยกุมมือคารวะ “ลูกศิษย์จงขุยคารวะท่านอาจารย์”

คนผู้นั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มหนักเนิบช้า “ช่วงก่อนหน้านี้ลูกศิษย์นักการฝ่ายนอกคนหนึ่งของสำนักฝูจีไปเจอเข้ากับหายนะใหญ่เทียมฟ้าครั้งหนึ่งโดยบังเอิญ ตอนที่ข่าวส่งมาถึงสำนักศึกษา ยังไม่ทันรอให้พวกเราวางแผนเสร็จสิ้น ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะรู้เสียก่อนว่าท่าไม่ดี นั่นคือปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนตนหนึ่ง ภูเขาของสำนักฝูจีถูกมันทำลายไปเกือบครึ่ง ขอบเขตหยกดิบสองคนของสำนักฝูจี คนหนึ่งตาย คนหนึ่งบาดเจ็บ ปีศาจใหญ่เองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส พยายามจะหนีไปทางทะเลตะวันตก ยังดีที่เจ้าสำนักภูเขาไท่ผิงขวางเอาไว้ ทว่าพวกภูตผีปีศาจที่ภูเขาไท่ผิงกำราบไว้ใต้บ่อมานานหลายพันปีกลับหนีไปเกินครึ่งในช่วงเวลานี้พอดี ตอนนี้ภาคกลางของใบถงทวีปจึงโกลาหลไม่หยุด”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!