กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 366

เบื้องใต้ทะเลเมฆ ทางทิศตะวันตกของแท่นมังกร ทางทิศเหนือของท่าเรือเกาะโดดเดี่ยว ตลอดทั้งนครมังกรเฒ่าตกอยู่ในสภาพที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาหยุดชะงักไม่เดินหน้า

วินาทีที่ฟ่านจวิ้นเม่ามองเห็นเงาร่างสีขาวหิมะนั้นพุ่งทะยานลงมายังผืนดินราวกับสายรุ้ง บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยความคิดถึงอย่างไร้ที่สิ้นสุด สุดท้ายน้ำตาร้อนๆ เอ่อคลอดวงตา นางลุกขึ้นยืน ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด ก่อนจะใช้ท่า ‘นั่งสงบ’ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนั่งอย่างสำรวมอยู่บนทะเลเมฆ ท่านั่งสงบสำรวมดุจศพดุจองค์เทพที่วิญญูชนลัทธิขงจื๊อในรุ่นหลังปฏิบัติตามอย่างพิถีพิถันก็เป็นท่าเดียวกันนี้

ทางฝั่งของร้านยาฮุยเฉิน เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ กำลังร่ายวิชากระบี่อันบ้าคลั่งอยู่ในตรอกนอกร้านยา ไม่รับรู้ถึงความผิดปกติของฟ้าดินเลยแม้แต่น้อย ทว่าเทพหยินแซ่จ้าวกลับแน่นิ่งไม่กระดุกกระดิก

นอกเมืองมีเศรษฐีผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยคนหนึ่งกำลังย่างเท้าข้างหนึ่งออกมา ทว่ากลับขมวดคิ้วแล้วหดเท้ากลับคืนไป ยืนนิ่งเฉย แต่กลับกลอกตาไปมาด้วยท่าทางครุ่นคิด จากนั้นก็ให้จิตหยินที่ถูกอำพรางตนอย่างดีออกจากช่องโพรงไปท่องเที่ยวดุจปลาได้น้ำ ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ

นอกประตูตะวันออกของนครมังกรเฒ่า หมัวมัวผู้อบรมมารยาทของสกุลเจียงอวิ๋นหลินหน้าแดงก่ำ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตส่งเสียงร้องอื้ออึงอยู่ในช่องโพรงลมปราณ เป็นเหตุให้นางที่พยายามจนสุดความสามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ที่พร่าเลือนบางอย่าง

บรรพบุรุษแซ่ตู้ผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ให้แก่สำนักใบถงหรี่ตาลง มองไปทางช่องโพรงบนกำแพงเมือง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอย่างเรือกลืนกระบี่หยุดลอยนิ่งอยู่ข้างกาย

ใน ‘โพรงประตู’ บนกำแพงที่ถูกทะลุทะลวงออกไปมีหญิงสาวร่างสูงใหญ่สวมชุดขาวราวหิมะ ชายแขนเสื้อใหญ่สองข้างโบกสะบัดนั่งอยู่บนกองหินปรักหักพัง โอบกอดคนหนุ่มที่ชุดคลุมอาคมจินหลี่แทบจะแหลกสลายไว้ด้วยท่าทางอ่อนโยน เนื่องจากได้รับบาดเจ็บหนักเกินไป คนหนุ่มจึงหมดสติไปแล้ว นางยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาลูบหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของคนหนุ่มให้คลายลง

ห่างออกไปไม่ไกลคือผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่สวมชุดเขียวมอซอคนหนึ่ง กำลังยืนเอามือปาดเหงื่อบนหน้าผาก “เจ้าเองก็บุ่มบ่ามเกินไปแล้ว ความเคลื่อนไหวรุนแรงขนาดนี้ รู้หรือไม่ว่าเพื่อปกปิดร่องรอยของเจ้า แม้แต่เรี่ยวแรงตอนกินนมข้าก็ดึงออกมาใช้หมดแล้ว (มนุษย์เราแรกเริ่มดื่มนมเป็นอาหารเพื่อให้เติบโต ภายหลังหย่านม หันมากินข้าวเพื่อให้มีเรี่ยวแรง หากแม้แต่เรี่ยวแรงหลังจากกินข้าวยังเอามาใช้ไม่พอ ต้องเอาเรี่ยวแรงตอนสมัยยังกินนมมาใช้เพิ่มด้วย ประโยคนี้จึงเป็นการเปรียบเปรยว่าใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ทุ่มสุดกำลัง) หากไม่เป็นเพราะเทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานยังจะพอมีน้ำใจอยู่บ้าง ยอมให้ข้ากระโดดมาถึงทางเหนือของแจกันสมบัติทวีปโดยตรง ป่านนี้ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงตัวตนของเจ้าหมดแล้ว ถึงเวลานั้นเฉินผิงอันจะยังฝึกตนอย่างสงบอีกได้อย่างไร?”

เห็นว่าสตรีผู้นั้นไม่พูดไม่จา ซิ่วไฉเฒ่าก็ยิ่งรู้สึกร้อนตัว เขาถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อยครั้งหนึ่ง ไม่มองบุคคลอันดับสองของตระกูลเซียนในอาณาเขตใบถงทวีปผู้นั้น แต่เดินมาหยุดอยู่ริมกำแพง สะกดกลั้นโทสะที่อยู่ในใจเอาไว้ “ทำไม ในเมื่อพวกเจ้าสองคนชอบดูเรื่องสนุกขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่กล้าโผล่หน้าออกมาเล่า?”

ทางทิศเหนือปรากฏเรือนกายเลือนรางเรือนกายหนึ่ง พอจะมองเห็นได้รางๆ ว่าเป็นคนของลัทธิขงจื๊อวัยกลางคน ตรงเอวห้อยหยกประดับสีทองหนึ่งแผ่น สลักอักษรคำว่า ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’

ส่วนทางฝั่งทิศใต้ก็เป็นชาวลัทธิขงจื๊อที่เรือนกายล่องลอยไม่อยู่นิ่งอีกคนหนึ่ง เพียงแต่ดูลักษณะแล้วเป็นชายชราอายุประมาณเจ็ดสิบปี ตรงเอวห้อยหยกประดับสีทองเช่นกัน แต่สลักคำว่า ‘ผู้มีคุณธรรมได้รับความช่วยเหลือมากมาย’

บุรุษจากลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนประสานมือคารวะ “คารวะท่านอาจารย์”

ทว่าชาวลัทธิขงจื๊อวัยชราที่อยู่ทางทิศใต้ผู้นั้น พอเห็นซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่งแล้วกลับเฉยเมย หนังตาไม่กระตุกสักครั้ง

ซิ่วไฉเฒ่าสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ชี้ไปยังบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ให้แก่สำนักใบถงผู้นั้น มองผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่ตรงเอวห้อยหยก ‘ผู้มีคุณธรรม’ แล้วถามว่า “ในฐานะอริยะผู้รับผิดชอบดูแลทางเหนือของใบถงทวีป หากถามถึงผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบและสิบเอ็ดที่เดินไปเดินมาในใต้หล้า เจ้าสามารถผลักภาระรับผิดชอบบอกว่าโลกมนุษย์มีเรื่องวุ่นวายมากมาย แสงตะเกียงนับหมื่นดวงดุจแสงดาวที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า เจ้าอยู่บนฟ้าไม่มีเวลาพอมาจับตามองทุกคน แต่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตบินทะยานเช่นนี้ เจ้าตาบอดไปแล้วหรือไร? โคมไฟดวงใหญ่ลอยผ่านหน้าเจ้าไป เจ้ายังมองไม่เห็นอีกหรือ?”

ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อเงียบงันไม่ตอบโต้

บุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนถอนหายใจหนึ่งที อันที่จริงก่อนจะเกิดเรื่องมีคนมาแจ้งเขาแล้ว บอกว่าตู้เม่าแห่งสำนักใบถงจะลงจากเขามาเยือนนครมังกรเฒ่าแห่งแจกันสมบัติทวีปซึ่งอยู่ในเขตการปกครองของเขา นี่คือหนึ่งในแผนการของสกุลซ่งต้าหลีที่อยู่ทางเหนือ อีกทั้งยังเกี่ยวพันไปถึงเรื่องราวภายในของปีศาจใหญ่ที่ก่อความวุ่นวายในสำนักฝูจีและภูเขาไท่ผิง ดังนั้นก่อนหน้าที่ตู้เม่าจะออกจากสำนักจึงได้รายงานเรื่องนี้แก่ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อแล้ว เพียงแต่เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน ยังไม่ทันยื่นขอป้ายจากสถานศึกษา ดังนั้นบุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนจึงทำได้เพียงหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งเท่านั้น

สำหรับพันธนาการที่มีต่อผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานทั้งหลาย คือกฎเหล็กข้อหนึ่งที่หลี่เซิ่งตั้งเอาไว้ หลายปีที่ผ่านมาใช่ว่าจะไม่ถูกคัดค้าน แม้แต่ผู้ฝึกตนใหญ่ยังพูดเย้ยหยันอย่างเปิดเผยว่า นายท่านผู้เฒ่าหลี่เซิ่งช่างมีภราดรภาพ เลี้ยงเผ่าปีศาจไว้ในใต้หล้าไพศาลมากมายถึงเพียงนั้น ไม่ยอมเข่นฆ่าสังหารให้หมดสิ้นเป็นการตัดรากถอนโคน ไม่เพียงแต่เลี้ยงเสือเลี้ยงตะเข้ไว้ให้เป็นภัยร้ายที่อาจตามมาเบื้องหลัง กลับยังใช้กฎเข้มงวดกับคนกันเอง แค่จะยืดแขนยืดขาออกมายังต้องได้รับคำอนุญาตจากสถานศึกษาเสียก่อน ลองดูใต้หล้ามืดสลัวที่สามสายของลัทธิเต๋าเป็นผู้ปกครองบ้างสิ ขอบเขตบินทะยานอยากจะอยู่ในหอป๋ายอวี้จิงแห่งนั้นก็อยู่ไป เบื่อเมื่อไหร่ก็ออกท่องไปทั่วใต้หล้าอย่างกำเริบเสิบสาน เหตุใดมีเพียงใต้หล้าไพศาลที่แค่จะจามสักทีก็ยังต้องทำตามกฎ?

ตู้เม่าแห่งสำนักใบถงเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว มือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งเกาหัว เงยหน้ามองซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้น “เจ้าก็คือเหวินเซิ่ง?”

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ซิ่วไฉเฒ่ายังไม่ปรายตามองคนผู้นี้แม้แต่น้อย เขาหันไปพูดกับหนึ่งในเจ็ดสิบสองปราชญ์ที่มีรูปปั้นตั้งวางอยู่ในศาลบุ๋นของลัทธิขงจื๊อซึ่งทำหน้าที่พิทักษ์อยู่บนแผ่นฟ้าทั้งสองท่านคนละประโยคว่า “พวกเจ้าสองคนต่างก็เป็นศิษย์ที่ภาคภูมิใจของเหล่าซาน คืออริยะ เหล่าซานควรจะสอนพวกเจ้ามาก่อน พวกเจ้าก็ยิ่งควรจะจดจำเอาไว้ ความเห็นอกเห็นใจคือสิ่งที่ทุกคนควรมี!”

“ละอายต่อความผิดบาป คือสิ่งที่ทุกคนควรมี!”

ประโยคแรกพูดกับบุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนที่เป็นผู้บัญชาการทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป

ส่วนประโยคหลังพูดกับผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่ปล่อยให้ตู้เม่าลงจากภูเขาข้ามทวีปมายังนครมังกรเฒ่า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!