ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับ ห่อไหล่สองข้าง เอาฝ่ามือทั้งสองวางทับซ้อนกันบนหัวเข่า พูดอย่างหมดอาลัยตายอยากว่า “พูดจบแล้ว เดินทางมาไกลขนาดนี้ แถมยังต้องปกปิดลมปราณของเจ้ามาตลอดทาง มาถึงยังต้องพูดพล่ามไร้สาระอีกตั้งมากมาย ไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว ปรมาจารย์มหาปราชญ์ หลี่เซิ่ง เหล่าซาน หลักการเหตุผลดีๆ ทั้งหลายที่พวกเขาศึกษาใคร่ครวญออกมาอย่างยากลำบาก ข้าว่าคงต้องเอากลับคืนให้แก่ฟ้าดินแห่งนี้ อย่าไปแตะต้องจะดีกว่า”
สตรีชุดขาวร่างสูงใหญ่วางร่างเฉินผิงอันลงเบาๆ ลุกขึ้นยืน เดินเอื่อยเฉื่อยมาหยุดอยู่ข้างกายซิ่วไฉเฒ่า “ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลาที่ข้าต้องพูดเหตุผลของข้าบ้างแล้ว บอกไว้ก่อนว่า หากเจ้ากล้าขัดขวาง แม้แต่เจ้าข้าก็จะ…”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “ไม่ขวางหรอก เป็นเพราะตาแก่อย่างข้าไร้ความสามารถ ถึงทำร้ายให้เสี่ยวฉีต้องร่างมอดม้วยมรรคาสลาย ถึงทำร้ายให้ผิงอันน้อยต้องประสบเคราะห์กรรมครั้งนี้ เป็นข้าที่ผิดต่อลูกศิษย์ทั้งสองคน คนบางคนอยากจะกินอาจม ข้าขวางไว้ไม่อยู่ แล้วข้าจะต้องขวางเจ้าที่มีเหตุผลไปทำไม?”
ตู้เม่าที่ยืนมองเรื่องสนุกอยู่ที่เดิมตลอดเวลาพูดด้วยรอยยิ้ม “ทำไม เจ้าก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เก็บตัวอย่างสันโดษเหมือนกันหรือ? ขอบเขตเซียนเหริน? คงไม่ใช่ขอบเขตบินทะยานที่วิ่งมาจากภูเขาห้อยหัวหรอกกระมัง?”
บุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนมีสีหน้าประหลาด ชำเลืองตามองผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่อยู่ทางทิศใต้แวบหนึ่ง ฝ่ายหลังมีสีหน้าเครียดขรึม เห็นได้ชัดว่าเมื่อเผชิญหน้ากับนาง เขารู้สึกกดดันยิ่งกว่าตอนเผชิญหน้าซิ่วไฉเฒ่าอดีตเหวินเซิ่งมากนัก
สตรีชุดขาวหาวหวอด เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทะยานดิ่งเป็นเส้นตรงลงมาด้านล่างของกำแพงแล้วเดินมาข้างหน้าอย่างเชื่องช้า
ตรงเอวห้อยกระบี่โบราณที่ไร้ฝักและไร้ด้าม สนิมขึ้นเกรอะกรัง มีเพียงส่วนปลายกระบี่ที่แหลมคมเพราะถูกขัดเกลาให้เกิดประกายเจิดจ้า
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อพูดเสียงหนัก “หากเจ้ากล้าลงมือก็เท่ากับทำลายกฎของฟ้าดินแห่งนี้!”
สตรีชุดขาวเดินมาข้างหน้าเนิบช้า ยกมือตบปากตัวเองเบาๆ ราวกับคนที่เพิ่งตื่นนอน
กระบี่โบราณเล่มนั้นถูกผูกไว้ตรงเอวไม่แน่นหนานัก เมื่อนางเยื้องย่างก้าวเดิน ปลายกระบี่ก็แกว่งไกวเบาๆ แสงกระบี่สีขาวหิมะเปล่งวูบวาบไม่หยุดนิ่ง
ตู้เม่าใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว หดมือไว้ในชายแขนเสื้อ คิดจะอนุมานความลับสวรรค์ แต่พลันค้นพบว่าฟ้าดินแถบนี้ถูกคนร่ายตราผนึกเอาไว้ ไม่อาจอนุมานประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของสตรีร่างสูงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าได้อีก
ระหว่างที่นางเดินมาข้างหน้าก็หันไปพูดกับบุรุษวัยกลางคนว่า “เห็นแก่ไม่กี่ประโยคที่เจ้าพูดมา ออกไปซะ!”
บุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนขมวดคิ้วน้อยๆ แต่กลับสังเกตเห็นว่าซิ่วไฉเฒ่ากำลังโบกมือให้เขา หลังจากลังเลเล็กน้อยก็สลายร่างไปจาก ‘ฟ้าดินขนาดเล็ก’ ที่เป็นดั่งเสากลางแม่น้ำแห่งกาลเวลา
สายตาของนางเหลือบมองไปทางทิศใต้เล็กน้อย ชำเลืองตามองผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบปีผู้นั้น “ไสหัวออกไป”
คราวนี้ซิ่วไฉเฒ่าไม่ทำท่าทางใดๆ อีก
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อซักถาม “เจ้าคิดจะงัดข้อกับมหามรรคาของใต้หล้าแห่งนี้จริงๆ หรือ?”
สตรีร่างสูงใหญ่เอียงศีรษะ ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมากดลงบนปลายกระบี่โบราณเบาๆ “ขัดเกลามาได้เล็กน้อยแค่นี้ แต่หากคิดจะผ่าภูเขาห้อยหัวทั้งลูกก็น่าจะได้อยู่ ถ้าอย่างนั้นให้ข้าเป็นคนเปิดประตูระหว่างใต้หล้าไพศาลกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้วกัน”
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง “ไม่ได้นะ!”
นางมีอารมณ์มาสนใจเจ้าหมอนี่เสียที่ไหน
ผลักกระบี่โบราณออกมาเบาๆ หนึ่งที
แสงหนึ่งพุ่งวูบออกไป
ม่านฟ้าของฟ้าดินที่เป็นดั่งเสาหินกลางแม่น้ำแห่งนี้ถูกฟันให้เกิดช่องโพรงขนาดใหญ่ กระบี่บินพุ่งตรงไปยังภูเขาห้อยหัว พริบตาเดียวก็ห่างไปหมื่นลี้และอีกหมื่นลี้
ซิ่วไฉเฒ่าไม่แยแสแม้แต่น้อย
ถึงอย่างไรเขาก็คือบัณฑิตผู้ไม่เคยสนใจสิ่งใด ซึ่งปีนั้นก่อนจะได้เป็นอริยะก็วิ่งไปบนม่านฟ้า ตะโกนคอยืดคอยาวบอกให้เต๋าเหล่าเอ้อร์ฟันกระบี่ลงมาที่นี่
บนน่านน้ำมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ระหว่างนาตยทวีปกับใบถงทวีป ผู้ฝึกกระบี่ผู้หนึ่งที่ตีตัวออกห่างจากโลกมนุษย์พลันเงยหน้าขึ้นมอง
พริบตานั้นเห็นเพียงว่าทะเลใหญ่ห่างออกไปพันลี้เบื้องหน้าคล้ายถูกกระบี่บินเล่มหนึ่งฟันออกเป็นสองท่อน คลื่นยักษ์สูงราวขุนเขาที่กำลังกดทับลงมาหาเขาอย่างรวดเร็ว
ผู้ฝึกกระบี่ท่านนี้ไม่เป็นกังวลกับพลังอำนาจของคลื่นเหล่านี้แม้แต่น้อย เพียงพวกมันขยับเข้ามาใกล้ร่างเขาในรัศมีร้อยลี้ก็ระเบิดแตกด้วยตัวเอง ทว่าพลังอำนาจของกระบี่บินเล่มนั้นต่างหากที่ทำให้เขาอกสั่นขวัญผวาเล็กน้อย
ใต้หล้าไพศาลมีผู้ฝึกกระบี่แบบนี้ด้วยหรือ?
อาเหลียงถูกเต๋าเหล่าเอ้อร์ต่อยกลับลงมาอีกหรือไร?
ทว่าตอนนี้อาเหลียงยังไม่มีกระบี่แบบนี้กระมัง? และในความเป็นจริงแล้วตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเขาก็ไม่เคยได้ครอบครองกระบี่เช่นนี้
กระบี่สี่เล่มที่ดีที่สุดในใต้หล้าทั้งสี่แห่ง เล่มหนึ่งอยู่ในมือของเทียนซือใหญ่แต่ละสมัยของจวนเทียนซือทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เล่มหนึ่งห้อยอยู่ตรงเอวของบัณฑิตที่บอกว่าตัวเอง ‘โง่เขลาไร้พรสวรรค์ ไม่อาจได้ครอบครองความรู้อันเลิศล้ำของลัทธิเต๋า’ ทว่าหนึ่งกระบี่ของเขากลับฟันผ่าแม่น้ำหวงเหอพุ่งตรงสู่ชั้นฟ้า เล่มหนึ่งอยู่ในมือของเต๋าเหล่าเอ้อร์ หลังจากที่อาเหลียงไปจากภูเขาห้อยหัว ว่ากันว่าไปตามหากระบี่เล่มสุดท้ายที่ ‘พลังพิฆาตสูงเหนือนอกฟ้า’ เล่มนั้น! เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด อาเหลียงที่คู่ควรกับกระบี่เล่มนั้นมากที่สุดในใต้หล้า ถึงท้ายที่สุดแล้วกลับต้องกลับมามือเปล่า บินทะยานไปยังฟ้านอกฟ้า
เขาไม่ได้ไล่ตามกระบี่บินที่พลังสังหารไร้ที่สิ้นสุดนั้นไป แต่พลันสะดุ้งคืนสติ รีบมุ่งหน้าตรงไปยังทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปทันที
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อชี้หน้าหญิงสาวร่างสูงใหญ่ พูดอย่างเดือดดาล “เจ้าบ้าไปแล้ว!”
นางยังคงเดินหน้าไปอย่างเชื่องช้า
ตู้เม่ากลืนน้ำลาย “ในเมื่อเจ้าโยนกระบี่ทิ้งไปแล้ว ยังจะต่อสู้สุดชีวิตกับข้าอีกจริงๆ หรือ?”
นางคล้ายได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในใต้หล้า “สู้สุดชีวิต? เจ้าคงไม่รู้เรื่องเก่าแก่ปีมะโว้เรื่องหนึ่ง ถึงอย่างไรเจ้าก็อายุยังน้อย ข้าไม่โทษเจ้าหรอก”
ซิ่วไฉเฒ่าพลันหัวเราะก๊าก เรียกได้ว่าหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง “ปลาวาฬกลืนสมบัติตัวที่ใหญ่ที่สุดในยุคบรรพกาลตัวนั้นถูกใครฆ่า เจ้ารู้หรือไม่?! ข้ารู้ แต่ข้าไม่บอกเจ้าหรอก”
นางเดินเป็นแนวเส้นตรงอย่างนี้จนกระทั่งไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเทพเซียนขอบเขตบินทะยาน ระยะห่างพอๆ กับตำแหน่งที่ตู้เม่ายืนอยู่หน้าเจิ้งต้าเฟิงก่อนหน้านี้
เพียงแต่เพราะสตรีชุดขาวร่างสูงใหญ่ ดังนั้นนางจึงต้องหลุบตาลงต่ำ มองตาแก่หนังเหนียวสมควรตายผู้นี้ด้วยสายตาเย็นชา “ไม่สู้เจ้าลองบังคับอาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตชิ้นนี้ของเจ้าดู? ข้าจะยืนอยู่นิ่งๆ ไม่โกหกเจ้าหรอก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!