กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 369

สรุปบท บทที่ 369.1 ความทุกข์ยากบนโลกมนุษย์ มิอาจเอื้อนเอ่ย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

อ่านสรุป บทที่ 369.1 ความทุกข์ยากบนโลกมนุษย์ มิอาจเอื้อนเอ่ย จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บทที่ บทที่ 369.1 ความทุกข์ยากบนโลกมนุษย์ มิอาจเอื้อนเอ่ย คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

รออยู่ครู่หนึ่ง ตู้เม่าก็ยังไม่เผยตัว

จั่วโย่วมองไปทางภูเขาบรรพบุรุษลูกนั้น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พูดขนาดนี้ก็ยังไม่ออกมา? ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกลมปราณที่เคยไปเยือนขอบเขตบินทะยาน หนังหน้าหนาเช่นนี้ คาดว่ากระบี่บินของข้าคงจะแทงไม่เข้าเลยกระมัง”

เพียงแต่ว่าจั่วโย่วพลันค้นพบความผิดปกติบางอย่าง ตรงกลางภูเขาบรรพบุรุษ แถบดินแดนเซียนที่มีเทือกเขาสลับสล้างมีหอเทพเซียนแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ตรงนั้นมีผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งที่ทำท่าทางคล้ายปกป้องเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งมีฐานกระดูกไม่เลว อีกทั้งเวลานี้ทุกคนต่างก็พากันหันไปมองเด็กสาวด้วยสายตาแปลกพิกล นางคือผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่ยังเด็กมากคนหนึ่ง

หลังจากนางสังเกตเห็นว่าจั่วโย่วกำลังมองนางอยู่ก็รีบก้มหน้าลงด้วยความตกใจทันที

จั่วโย่วขมวดคิ้ว

เพราะสำนักใบถงมีลูกศิษย์อยู่ไม่น้อย ทว่าทุกคนต่างพากันหันมามองทางกึ่งกลางภูเขาของยอดเขาบรรพบุรุษแทบจะเวลาเดียวกันคล้ายกำลังมองหานางอยู่

ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบที่อยู่ข้างกายเด็กสาวซึ่งเหมือนจะมีสถานะเป็นผู้ปกป้องมรรคาของนางสีหน้าเขียวคล้ำ แต่กลับไม่กล้าเป็นฝ่ายท้าทายผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังสังหารไร้ที่สิ้นสุดผู้นี้โดยพลการ

เด็กสาวมีนิสัยขี้ขลาด อีกทั้งยังได้รับอยุติธรรมที่ใหญ่เทียมฟ้า เวลานี้ถึงกับหลั่งน้ำตาเงียบๆ

สำนักบนภูเขาแห่งหนึ่ง คิดจะหยัดยืนได้อย่างมั่นคง หรือถึงขั้นสามารถเชิดหน้ามองกลุ่มขุนเขาได้นั้น อันที่จริงง่ายดายมาก ก็คือต้องมีคนที่ต่อสู้เป็น

ในอดีตมี ก่อร่างสร้างกิจการ สืบทอดควันธูป มีวิชาอภินิหารที่ทอดตรงไปสู่ห้าขอบเขตบน หยั่งรากลงลึก หลังจากนั้นก็แตกกิ่งก้านสาขา

ปัจจุบันมี ไปหาเรื่องในถิ่นคนอื่น ตีให้ถอยร่น อย่างน้อยก็ต้องให้คนอื่นเอ่ยปากยอมแพ้ สร้างร่มเงาให้แก่สำนัก ปกป้องคนรุ่นหลัง

อนาคตมี อย่าให้การสืบทอดต้องขาดลงกลางคัน ถ้าอย่างนั้นยิ่งตอนนี้กำเริบเสิบสานมากเท่าไหร่ ถึงเวลานั้นเมื่อลมและน้ำพลิกผันจะทำอย่างไร? ยังจะเก็บศาลบรรพชนไว้อยู่ไหม? ถึงอย่างไรการฝึกตนบนภูเขา การแก้แค้นก็ไม่เคยพิถีพิถันเรื่องวิญญาณชนแก้แค้นสิบปีก็ยังไม่สายอะไรนั่น เพราะมีคนไม่น้อยที่คิดจะอดใจรอหนึ่งร้อยปี หลายร้อยปี หรือแม้แต่หลายพันปีก็ยังมี

ถ้าเช่นนั้นเด็กสาวที่กลับมาจุติใหม่ซึ่งในอดีตเคยเป็นขอบเขตหยกดิบผู้นี้ หลังจากที่ผู้ฝึกตนซึ่งเชี่ยวชาญการคำนวณและอนุมานของสำนักใบถงบอกให้รู้ถึงทิศทางคร่าวๆ แล้ว ทางสำนักก็ใช้เวลาเกือบสามสิบปีถึงจะตามหาสถานที่แห่งนั้นเจออย่างยากลำบาก จากนั้นก็มีคนจงใจปิดบังชื่อแซ่รอคอย ‘นาง’ มาหลายสิบปี รอจนนางถือกำเนิดมาได้หลายปี ผ่านการเข่นฆ่าสังหารครั้งหนึ่งถึงได้พานางกลับมาที่ภูเขาได้สำเร็จ

ดังนั้นเด็กสาวที่ถูกนำตัวกลับมาสำนักใบถงผู้นี้จึงถือเป็นคนที่สู้เป็นในอนาคต

คล้ายคลึงกับหวงถิงนักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิง เพียงแต่ว่าตอนนี้ตบะและพลังอำนาจของนางยังอยู่ห่างชั้นเกินกว่าจะเทียบกับหวงถิงได้ โดยเฉพาะอย่างหลังที่สำคัญมากเป็นพิเศษเพราะเกี่ยวพันไปถึงต้นกำเนิดของมหามรรคา

แม้ปากของเทียนจวินผู้เฒ่าและเจ้าสำนักซ่งเหมาแห่งภูเขาไท่ผิงจะพร่ำตำหนิสั่งสอนหวงถิงว่าช่างหาเรื่อง ไม่รู้จักอดทนข่มกลั้น แต่ลึกๆ ในใจย่อมต้องเบิกบานราวกับมีดอกไม้ผลิ

ส่วนเด็กสาวที่สำนักใบถงฝากความหวังไว้มากผู้นี้ มีเรื่องเดียวที่น่าเสียดายก็คือ ถึงแม้เด็กสาวจะมีพรสวรรค์ดี แต่นิสัยกลับอ่อนแอมากเกินไป ลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์ขัดเกลาจิตแห่งเต๋าอยู่หลายครั้ง คำวิจารณ์ของสำนักล้วนเป็นคำว่า พรสวรรค์โดดเด่น เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ฯลฯ มีคำชื่นชมมากมายหลายร้อยคำ แต่ทุกครั้งมักจะลงท้ายด้วยประโยคทำนองว่า นิสัยซื่อสัตย์อ่อนโยน ขาดความเด็ดขาดในการเข่นฆ่าสังหารไปบ้าง ฯลฯ อยู่เสมอ

เพียงแต่เพราะสถานะที่พิเศษของนางทำให้ไม่มีใครกล้าพูดจารุนแรงใส่ ตระกูลตู้ที่ใหญ่ที่สุดในสำนักใบถงก็ยิ่งเห็นนางเป็นดั่งดวงใจ

เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก นอกจากชาติก่อนเด็กสาวจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบแล้ว นางยังมีสถานะที่สำคัญอีกขั้นหนึ่ง นางเคยเป็นมารดาของตู้เม่าบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์จริงๆ

ตามหาคนที่มาจุติเกิดใหม่ ผูกบุญสัมพันธ์กันอีกครั้ง

โดยทั่วไปแล้วมีเพียงตระกูลเซียนบนภูเขาที่มีในชื่อมีคำว่าสำนักเท่านั้นถึงจะมีรากฐานและวิธีการเช่นนี้ได้

จั่วโย่วอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย มือหนึ่งถือกระบี่ อีกมือหนึ่งเกาหัว คงเป็นเพราะไม่อยากทำให้แม่นางน้อยที่บริสุทธิ์คนหนึ่งต้องตกใจกลัวจึงอธิบายว่า “ข้าล้อเล่น อย่าคิดเป็นจริงเป็นจัง บัณฑิตอย่างพวกเราชอบพูดคำพ้องเสียง”

ไม่พูดยังดี ถึงอย่างไรเด็กสาวก็ตกใจกลัวมานานแล้ว

แต่พอเขาอธิบายอย่างนี้

เด็กสาวที่สีหน้าซีดขาวจึงเริ่มย่นใบหน้าเล็กๆ นางที่เพิ่งลอบเช็ดคราบน้ำตาพยายามอดทนไม่ให้ตัวเองแสดงความขลาดกลัวออกมาต่อหน้าคนชั่วร้ายผู้นี้ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของนางในอดีต ป่านนี้คงร้องไห้น้ำตาร่วงเผลาะๆ ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งกว่านี้ไปแล้ว

จั่วโย่วรู้สึกลำบากใจ

แต่เขาก็ไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความ

รับมือกับสตรี เสี่ยวฉีไม่ถนัด เจ้าสารเลวชุยฉานนั่นถือว่าดีขึ้นมาหน่อย แต่เขาจั่วโย่วกลับรู้สึกมาโดยตลอดว่าความคิดของสตรียากจะทำความเข้าใจยิ่งกว่าความรู้ของอาจารย์เสียอีก สรุปก็คือยากยิ่งกว่าเรียนหนังสือ

ส่วนข้อที่ว่าความรู้ของจั่วโย่วยิ่งใหญ่หรือไม่ สูงหรือไม่

เมื่อเทียบกับความดั้งเดิมซื่อตรงของฉีจิ้งชุนและสมองที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดของชุยฉานแล้ว ก็ถือว่าด้อยกว่าไม่น้อย

เขาไม่ชอบเรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก แต่เป็นเพราะถูกซิ่วไฉเฒ่าคอยกดหัวเขาให้อ่านตำรา แน่นอนว่าย่อมมีความรู้อยู่บ้าง พวกวิญญูชนและนักปราชญ์ทั่วไปของสำนักศึกษาล้วนไม่มีคุณสมบัติพอที่จะถกปัญหาพูดคุยกับจั่วโย่วได้

ต้องรู้ว่าจั่วโย่วฝึกกระบี่ ปราณกระบี่ของเขาเอามาจากไหน?

ช่วงแรกเริ่มสุดเอามาจากในตำรา จากในรอยสลักจำนวนนับไม่ถ้วนบนหน้าผา จากในเอกสารคัดลอกป้ายศิลาจำนวนเกินจะนับ

เพื่อให้เขาฝึกกระบี่ได้อย่างราบรื่น ปีนั้นเสี่ยวฉีคอยเดินทางขึ้นเขาลงห้วยทั่วสารทิศเป็นเพื่อนเขา

จั่วโย่วถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที ทอดสายตามองไปยังทิศทางของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง

เขาดึงสายตากลับมา พบว่าข้างกายของเด็กสาวยังมีเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกกระบี่มาตั้งแต่เกิดยืนอยู่ด้วย สายตาของเขาคมกริบและดื้อรั้น กำลังจ้องเขม็งมาที่ตน ต่อให้ถูกปราณกระบี่ของตนแผดเผาจนแสบตา แต่ก็ยังไม่ยอมหันหน้าไปมองทางอื่น

จั่วโย่วเงื้อกระบี่ฟันออกไปหนึ่งที

จากนั้นก็เปลี่ยนเส้นทาง พุ่งไปยังบริเวณที่ใกล้เคียงกับภูเขาบรรพบุรุษ ฟันยอดเขาแห่งหนึ่งที่ถูกปิดเป็นพื้นที่ต้องห้ามเพราะเดิมทีต้องมอบให้แก่ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบบางคนในอนาคตไว้ใช้เป็นที่ตั้งของจวนเทพเซียนตั้งแต่ยอดเขาจรดตีนเขา หนึ่งกระบี่ที่ฟันลงมาผ่าให้เกิดหุบเขาร่องลึกขนาดใหญ่ยักษ์

ครั้นจึงจากไปไกลอย่างสง่างาม

จากนั้นก็เริ่มดักอยู่หน้าประตูขุดกำแพงบ้านคนอื่นต่ออีกครั้ง

ความเคลื่อนไหวใหญ่เทียมฟ้าขนาดนี้ ใต้หล้าไม่มีกำแพงใดที่ลมไม่ผ่าน ตระกูลเซียนที่ในชื่อมีคำว่าสำนักและเซียนดินก่อกำเนิดของใบถงทวีปต่างก็รู้กันนานแล้ว เพียงแต่ว่าไม่มีสำนักศึกษาออกหน้าห้ามปรามจึงไม่มีใครกล้าไปชมงิ้วหาเรื่องซวยใส่ตัว

นอกจากคนคนหนึ่ง

เจียงซ่างเจินผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบของสำนักกุยหยก เจ้าประมุขสกุลเจียงที่มีวัตถุแห่งชะตาชีวิตเป็นใบหลิ่วใบหนึ่ง

ตอนแรกที่ไปถึงคนผู้นี้โค้งตัวคำนับขออภัยจั่วโย่วอย่างจริงจังหนึ่งครั้งก่อน ตีหน้าเคร่งอยู่นาน แต่แล้วจู่ๆ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังสะเทือนฟ้าดิน

ตอนที่เร่งรุดเดินทางมาทิศเหนือและย้อนกลับไปทางทิศใต้ ทะยานลมเดินทางไกลทั้งสองครั้ง เขาจงใจชะลอความเร็ว วางท่าเดินอาดๆ ชายแขนเสื้อสองข้างสะบัดพลิ้วราวกับบิน

ผลคือเกือบถูกจั่วโย่วใช้กระบี่ฟันขาดเป็นสองท่อน

เพียงแต่ว่าตอนที่เผ่นหนีไปอย่างกระเซอะกระเซิง เจียงซ่างเจินกลับยังปล่อยเสียงหัวเราะที่สาแก่ใจอย่างถึงที่สุด

มีวันหนึ่งเด็กสาวคนหนึ่งมายืนอยู่ห่างๆ ด้วยท่าทางขลาดกลัว นางถามเสียงสั่นว่า “เหตุใดเจ้าต้องทำลายโชคชะตาของสำนักข้าอย่างไร้เหตุผล?”

ทุกวันนี้จั่วโย่วถือว่าคุ้นเคยกับสำนักใบถงดีแล้ว ถ้อยคำซุบซิบนินทาที่ลูกศิษย์สำนักใบถงบางคนคิดว่าเขาไม่ได้ยิน ล้วนได้ยินอย่างชัดเจน ดังนั้นหลังจากจั่วโย่วครุ่นคิดแล้วก็ตอบว่า “คนที่ล้างผลาญเช่นนี้ จะเป็นบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ได้อย่างไร ข้าว่าน่าจะเป็นบรรพบุรุษผู้สร้างความวอดวายให้สำนักเสียมากกว่า เพราะฉะนั้นตอนนั้นเจ้าไม่ควรคลอดตู้เม่าออกมา”

เด็กสาวหน้าตางดงามทั้งโกรธทั้งอับอาย

เด็กหนุ่มที่มาที่นี่พร้อมกับเด็กสาวก็เป็นอีกคนหนึ่งที่สำนักใบถงฝากความหวังว่าจะนำพาสำนักรุ่งเรืองไปนานนับพันปี เมื่อเทียบกับคนวัยเดียวกันที่นุ่มนิ่มเป็นข้าวเหนียวแล้ว นิสัยของเด็กหนุ่มเฉียบคมดุกร้าว เขาสะพายกระบี่ยาวที่บุรพาจารย์ตู้เม่ามอบให้เขาด้วยตัวเอง ในแววตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “สักวันหนึ่งข้าจะทำให้เจ้าต้องตายอยู่ภายใต้คมกระบี่ของข้า!”

จั่วโย่วคลี่ยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามแล้ว”

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!