จูเหลี่ยนนั่งอยู่บนม้านั่งใต้ชายคา กำลังอ่านนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญที่เขียนบรรยายได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ หวานแต่ไม่เลี่ยน พอได้ยินว่าหลูป๋ายเซี่ยงชมตนก็หัวเราะอย่างเบิกบานใจ
หลูป๋ายเซี่ยงมีความอดทนดีมาก ถามด้วยรอยยิ้มว่า “พอจะฟังเข้าใจไหม? หากไม่เข้าใจ ข้าสามารถพูดให้เจ้าฟังอย่างละเอียดได้”
เผยเฉียนพยักหน้ารับแรงๆ “ฟังเข้าใจทั้งหมด แต่ข้าไม่อยากเรียนวิธีการเดิน”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้ม “ไม่เรียนรู้ที่จะหัดเดินก่อน วันหน้าจะวิ่ง จะบินได้อย่างไร?”
เผยเฉียนชำเลืองตามองดาบแคบหยุดหิมะที่อยู่ตรงเอวของหลูป๋ายเซี่ยง “แต่ข้าอยากเรียนวิชากระบี่ที่ร้ายกาจที่สุด หากไม่ได้จริงๆ เรียนวิชาดาบก็ได้”
หลูป๋ายเซี่ยงหันหน้าไปมองเฉินผิงอันที่มานั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวอย่างเงียบเชียบ แล้วกล่าวอย่างจนใจว่า “ข้าจนปัญญาแล้ว”
พอเห็นเฉินผิงอัน เผยเฉียนก็เหมือนหนูเห็นแมว รีบเปลี่ยนมาพูดด้วยสีหน้าจริงจังทันที “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเรียนวิธีการเดินก่อนแล้วกัน!”
จูเหลี่ยนจุ๊ปาก “หญ้าบนยอดกำแพงที่แข็งแกร่ง ขับเรือตามลมสินค้าขาดทุน” (สินค้าขาดทุนภาษาจีนคือเผยเฉียนฮว่าซึ่งคล้องกับชื่อของเผยเฉียน)เผยเฉียนที่ถือไม้เท้าเดินป่าคำรามเดือดดาล “อย่านึกว่าตัวเองทำกับข้าวอร่อยแล้วจะร้ายกาจนะ! แน่จริงก็ออกมาสู้กันเลย!”
จูเหลี่ยนร้องโอ้โหหนึ่งที ปิดหนังสือลง ร่างที่หลังงองุ้มลุกขึ้นยืน “ข้าไม่เชื่อหรอก วันนี้จะต้องประลองฝีมือกับเจ้าดูสักครั้งให้จงได้ อย่างนั้นเจ้าก็คงไม่รู้เสียทีว่าข้าที่อยู่ในร้านยาฮุยเฉิน คือพ่อครัวที่ต่อสู้ได้เก่งที่สุด”
เผยเฉียนไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย “ได้ งั้นพวกเรามาแข่งคัดตัวอักษรกัน!”
จูเหลี่ยนนั่งกลับลงไปบนม้านั่งตัวเล็ก อ่านหนังสือของตัวเองต่ออีกครั้ง
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจการทะเลาะโต้เถียงของพวกเขา
ในเรื่องพวกนี้ เฉินผิงอันไม่เคยบังคับควบคุมเผยเฉียนมาก่อน
เฉินผิงอันยิ้มพลางลุกขึ้นยืน น้อยครั้งที่จะรู้สึกผ่อนคลายสบายใจอย่างในตอนนี้ จึงก้าวเบาๆ หนึ่งก้าวเข้าไปยังใจกลางของลานบ้าน
สีหน้ายังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่อารมณ์ความรู้สึกของเฉินผิงอันในเวลานี้กลับไม่แย่
เดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าด้วยท่าเดินนิ่งหกก้าว แต่มือกลับตั้งกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า
กระบวนท่าหมัดเดินนิ่งไม่เกี่ยวข้องกับตบะและขอบเขต
หากจะพูดถึงความรู้สึกที่ปณิธานหมัดมอบให้แก่ผู้คนก็มีแค่สี่คำว่า เป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้น
เผยเฉียนรู้สึกเพียงว่าท่าเดินนิ่งที่เหมือนกัน แต่เมื่อเฉินผิงอันเอาจริงเอาจังขึ้นมา ต่อให้แค่มองอย่างเดียวก็ยังรู้สึกสบายตาอย่างยิ่ง
จูเหลี่ยนเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มตกตะลึง “ค่อนข้างจะน่าสนใจแล้ว”
หลูป๋ายเซี่ยงพยักหน้ารับ “ข้าอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบติด”
หลังจากที่เฉินผิงอันเก็บหมัดยืนตัวตรง เหลียวซ้ายแลขวาแล้วก็ยิ้มตาหยีพูดว่า “สุยโย่วเปียน เว่ยเซี่ยน ถึงตาพวกเจ้าแล้ว”
สุยโย่วเปียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างเงียบๆ หมุนตัวกลับไปนั่งข้างโต๊ะโดยตรง
เสียงอู้อี้ของเว่ยเซี่ยนดังมาจากในห้อง “ความเผด็จการมิอาจสู้ได้”
เผยเฉียนนั่งยองอยู่บนพื้นกุมท้องหัวเราะก๊าก เจ้าพวกนี้ยังมีหน้ามาพูดว่าข้าเป็นหญ้าบนยอดกำแพงอีกรึ?
กลับเป็นเจิ้งต้าเฟิงที่เดินมาหน้าประตูของห้องหลัก เอามือยันกรอบประตู เงยหน้ามองดวงอาทิตย์แวบหนึ่งแล้วหรี่ตาลง “ในที่สุดวิญญาณก็กลับเข้าร่างแล้ว หากยังนอนต่อไป มีหวังต้องขึ้นราแน่ๆ”
เผยเฉียนกล่าวอย่างประหลาดใจ “เจิ้งต้าเฟิง เจ้าลงจากเตียงมาเดินได้แล้วรึ? อย่าฝืนตัวเองเด็ดขาดเชียว ล้มหน้าทิ่มขี้หมาขึ้นมา เดี๋ยวก็ต้องกลับไปนอนอีกสิบวันครึ่งเดือน”
เจิ้งต้าเฟิงโมโหจัดจนกลายเป็นขำ “กูไหน่ไนน้อย (กูไหน่ไนคือคำที่บุคคลในครอบครัวของแม่เรียกลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้ว) ของข้า ช่วยเห็นข้อดีของข้าบ้างได้ไหม!”เผยเฉียนตวัดตามองค้อน “ความหวังดีถูกมองเป็นประสงค์ร้าย”
หลังจากที่เฉินผิงอันผงกศีรษะทักทายเจิ้งต้าเฟิงก็กลับไปนั่งลงบนม้านั่งยาว เผยเฉียนวิ่งไปหยิบเมล็ดแตงมาอย่างคล่องแคล่ว หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาว นางแบมือเล็กๆ ที่มีเมล็ดแตงอยู่เต็มฝ่ามือวางไว้เบื้องหน้าเฉินผิงอันตลอดเวลา
เจิ้งต้าเฟิงเดินได้ช้ามาก ย่างก้าวก็สั้น เขาเพียงเดินเล่นอยู่ใต้ชายคาของห้องหลัก ไม่ได้ทำอะไรตามอารมณ์ ฝืนพาตัวเองลุกขึ้นมาจากเตียง
เพียงแต่บุรุษผู้นี้หลังค่อมอยู่ตลอดเวลา
ทุกคนต่างทำเป็นมองไม่เห็นภาพนี้ ต่างคนต่างทำธุระของตัวเองไป หลูป๋ายเซี่ยงหยิบโต๊ะและกล่องหมากล้อมไปเล่นกับสุยโย่วเปียน จูเหลี่ยนอ่านหนังสือ เว่ยเซี่ยนนอนหลับ เผยเฉียนแทะเมล็ดแตงกับเฉินผิงอัน
ในร้านยาเล็กๆ เริ่มมีบรรยากาศของช่วงตรุษจีนขึ้นมาบ้างแล้ว
ตอนกลางวันของวันหนึ่ง ร้านยาฮุยเฉินได้ต้อนรับแขกที่ไม่ใช่สองพี่น้องฟ่านจวิ้นเม่าและฟ่านเอ้อร์
คือแขกอย่างแท้จริง
เขาคือชายชราคนหนึ่งที่มีสำเนียงต่างถิ่น มาซื้อยาสมุนไพรจำนวนไม่น้อยจากที่ร้าน เพียงแต่บ่นว่าราคาออกจะแพงไปหน่อย
เทพหยินแซ่จ้าวได้แต่ใช้เสียงในใจบอกเฉินผิงอันว่า เขาแค่มองออกว่าคนผู้นี้มีตบะขอบเขตประตูมังกรที่ค่อนข้างมั่นคง
เฉินผิงอันกลับมีจิตใจที่สงบนิ่ง ขนาดตู้เม่าที่เป็นขอบเขตบินทะยานยังประมือด้วยมาแล้ว จะดีจะชั่วก็เคยเห็นคลื่นใหญ่ลมแรงมาก่อน ความหนักแน่นน้อยนิดแค่นี้ย่อมต้องมี
คำพูดประโยคหนึ่งที่วิญญาณกระบี่ถ่ายทอดให้แก่ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งทำให้เฉินผิงอันคิดเรื่องบางอย่างได้กระจ่างแจ้ง
หลักการและเหตุผลบนโลกใบนี้ อันที่จริงดำรงอยู่ตลอดเวลา บางคนหยิบขึ้นมาบูชา มองเป็นของล้ำค่า บางคนดูแคลน บางคนถึงขั้นเหยียบย่ำไว้ใต้ฝ่าเท้า
นี่ไม่ใช่ว่าหลักการและเหตุผลไม่ถูกต้อง ไม่ดี
แต่เป็นเพราะใจคนมีปัญหา
วิญญาณกระบี่ยังพูดถึงผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่พิทักษ์ม่านฟ้าทางเหนือของใบถงทวีปเป็นพิเศษ บอกว่าจุดจบของเขาไม่ถือว่าดี ตามคำบอกของซิ่วไฉเฒ่า มีความเป็นไปได้มากว่าจะสูญเสียสิทธิ์ในการกินหัวหมูเย็นๆ ไป
เฉินผิงอันใคร่ครวญดูแล้วก็อดปลงอนิจจังกับความซับซ้อนของการช่วงชิงบนมหามรรคาไม่ได้
แม้แต่เหวินเซิ่งก็จำต้องยอมรับว่า ขนาด ‘นักปราชญ์’ ที่มีรูปปั้นตั้งวางอยู่ในศาลบุ๋นซึ่ง ‘เขียนบทความแห่งคุณธรรมได้ดี ความรู้ในท้องไม่แย่’ ก็ยังประพฤติตัวอย่าง ‘ไร้เหตุผล ไร้มารยาท’ ได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
แต่เอาเข้าจริงแล้ว หลักการและความรู้ของหนึ่งในเจ็ดสิบสองปราชญ์ในศาลบุ๋นท่านนี้ไม่เคยมีคุณความชอบในด้านการอบรมสั่งสอนผู้คนบ้างเลยหรือ?
ย่อมต้องมีอยู่แล้ว อีกทั้งยังไม่น้อยด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!