หลังจากที่สี่ขาของวัวดินสีเหลืองเหยียบลงบนพื้น ในกรอบดวงตาก็เอ่อคลอด้วยน้ำตา จ้องมองนิ่งไปยังคนหนุ่มที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวตรงหน้าผู้นี้ “เซียนซือมีคุณธรรมสูงส่ง จะตอบแทนอย่างไร?”
มันกล่าวอย่างละอายใจ “ข้าฝึกตนอยู่ที่นี่มาสองร้อยกว่าปี แค่คอยเฝ้าพิทักษ์อยู่ในเส้นทางมังกรเส้นนี้ ก่อนหน้านั้นบังเอิญเจออาวุธวิเศษและสมบัติอาคมสองชิ้น ล้วนเอามาหล่อหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตหมดแล้ว นอกจากนี้ก็ไม่มีสมบัติวิเศษอย่างอื่นอีก เซียนซือทั้งมีพระคุณช่วยชีวิตข้า ทั้งยังแสดงน้ำใจและคุณธรรมต่อข้าอีก…”
เผยเฉียนถอนหายใจหนึ่งที
ต้องโทษข้า
เหตุใดเพิ่งออกจากนครมังกรเฒ่า ตนก็กลายเป็นตัวขาดทุนอีกแล้วเล่า? ตอนอยู่ท่าเรือหางผึ้งก็เกือบจะต้องเสียเงินเกล็ดหิมะไปสองเหรียญ มาอยู่ที่ภูเขาลูกนี้ก็ยิ่งขาดทุนไปถึงบ้านยาย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว่า “ไม่เป็นไร หากเจ้ามีใจอยากตอบแทนจริงๆ รอให้บาดแผลของเจ้าหายดี และสร้างโอสถทองได้สำเร็จ สามารถใช้ร่างของคนเดินทางไปทั่วสี่ทิศได้แล้ว วันหน้าสามารถไปที่บ้านเกิดของข้าได้ ที่นั่นมีภูเขาเขียวขจีน้ำใสสะอาด เปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณ ยินดีต้อนรับเจ้ามาเป็นแขก…”
เมื่อเฉินผิงอันพูดถึงตรงนี้ สวีหย่วนเสียก็กล่าวอย่างแฝงความนัยลึกซึ้ง “เหตุใดต้องรอให้เป็นโอสถทองก่อนแล้วค่อยไป รักษาบาดแผลหายแล้วก็ไปที่บ้านเกิดเจ้าเลยเถอะ ไม่แน่ว่าอาจจะสร้างโอสถอยู่ที่นั่นได้โดยตรง มีอริยะเฝ้าพิทักษ์โชคชะตาขุนเขาและแม่น้ำ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะชักนำให้เกิดเหตุการณ์วัวดินพลิกตัวอีก”
วัวดินสีเหลืองสีหน้าเลื่อนลอยคล้ายไม่เข้าใจ
ขณะที่เฉินผิงอันตั้งใจใคร่ครวญว่าจะทำเช่นนี้ได้จริงหรือไม่ สวีหย่วนเสียกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มเสียก่อน “ไม่ต้องรีบร้อน ยังต้องเดินทางกันไปอีกช่วงหนึ่ง ดูก่อนว่านิสัยใจคอเข้ากันได้หรือไม่ แล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย หากนิสัยเข้ากันไม่ได้ ไม่สู้เก็บความทรงจำที่ดีไว้จะดีกว่า วันหน้าเมื่อมีวาสนาค่อยกลับมาพบกันใหม่ ย่อมดีกว่าอยู่ด้วยกันนานวันเข้าแล้วสุดท้ายกลายเป็นความขัดแย้ง โชควาสนาดีๆ ครั้งหนึ่งจะเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์”
จางซานเฟิงเอ่ยคล้อยตาม “ใช่แล้ว”
เฉินผิงอันจึงไม่มีความเห็นต่างอีก
คนทั้งกลุ่มเดินกันไปช้าๆ ออกจากหุบเขามุ่งหน้าไปยังกองบัญชาการทหารสูงสุดที่มีชื่อเสียงสยบไปทั้งแคว้นชิงหลวน
เฉินผิงอันเล่าประสบการณ์การเดินทางบางเรื่องที่เล่าได้ให้จางซานเฟิงกับสวีหย่วนเสียฟัง
คนทั้งสองก็เล่าเรื่องราวในยุทธภพของพวกเขาหลังจากแยกกันที่หอชิงฝูให้เฉินผิงอันฟังเช่นกัน
……
เชื้อพระวงศ์สกุลถังแคว้นชิงหลวนส่วนใหญ่เมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องล้วนไม่ได้ไปอยู่พื้นที่ศักดินา ไม่ว่าจะเป็นชินอ๋องหรือจวิ้นอ๋องก็ล้วนมีจวนของตัวเองอยู่ในเมืองหลวง อีกทั้งจวนเหล่านั้นเป็นเพียงที่พักอาศัยซึ่งไม่มีอำนาจใดๆ หากสูญเสียตำแหน่งบรรดาศักดิ์ไปก็จะถูกริบกลับคืน
แคว้นชิงหลวนมีกองบัญชาการทหารสูงสุดอยู่ห้าแห่ง นอกจากสี่แห่งที่อยู่สี่ทิศแล้ว พื้นที่ใจกลางยังมีอีกแห่งหนึ่ง มีอำนาจอย่างถึงที่สุด รับผิดชอบเรื่องสำคัญหลายอย่างที่เป็นดั่งเส้นชีพจรชีวิตของแคว้นเช่นการขนส่ง การค้าเกลือและเหล็ก เป็นต้น กษัตริย์ทั่วไปพยายามจะหลีกเลี่ยง ‘ภัยจากการที่ขุนนางเป็นผู้กุมอำนาจ ความกังวลจากการแบ่งแยกดินแดน’ ในประวัติศาสตร์หลายร้อยปีของแคว้นชิงหลวน ผ่านลมฟ้าลมฝนมาได้อย่างราบรื่น แคว้นร่มเย็นประชาชนเป็นสุข อีกทั้งเหล่าขุนนางยังปรองดอง คนนอกคิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออก หรือว่าขุนนางใหญ่ผู้มีอำนาจในท้องถิ่นซึ่งอยู่ห่างไกลจากฮ่องเต้ทั้งหลายไม่มีใครที่เกิดใจทะเยอทะยานบ้างเลยหรือ? แต่ละคนตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย อุทิศตนทุ่มเทชีวิตให้แก่ฮ่องเต้สกุลถังและลูกหลานของเขาเท่านั้นหรือ?
ไม่ว่าจะอย่างไร แคว้นชิงหลวนที่ตั้งอยู่บนทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ก็เป็นประหนึ่งแดนสุขาวดีนอกโลก มีแต่ความสงบร่มเย็น โดยเฉพาะหลังจากที่สงครามในภาคกลางลุกลามไปดุจไฟลามทุ่ง ชักนำให้เกิดกระแสปัญญาชนเดินทางลงใต้ ทอดทิ้งบ้านเกิดทางเหนืออยู่หลายระลอก และในสามแคว้นอย่างชิงหลวน ชิ่งซานและอวิ๋นเซียวนี้ก็ดึงดูดลูกหลานชนชั้นสูงที่เดินทางย้ายจากใต้มาได้เป็นจำนวนนับหมื่น ซึ่งแคว้นชิงหลวนมีจำนวนคนไปเยือนมากที่สุด
ผู้บัญชาการห้าคนของแคว้นชิงหลวนในปัจจุบัน สี่คนที่ประจำการอยู่ใกล้กับชายแดนต่างก็เป็นแม่ทัพที่อาศัยคุณความชอบบนสนามรบหรือไม่ก็อาศัยสถานะของพระญาติฝั่งภรรยาฮ่องเต้ มีเพียงจวนผู้บัญชาการที่ตั้งอยู่ใจกลางเท่านั้นที่ใช้แซ่เหวยมาโดยตลอด เจ้านายคนปัจจุบันอาศัยการสืบทอดจากร่มเงาบรรพบุรุษสืบเนื่องกันมาหลายยุคหลายสมัย อีกทั้งเกือบสามร้อยปีที่ผ่านมานี้ ควันธูปของตระกูลล้วนอาศัยต้นกล้าต้นเดียวประคับประคองมาโดยตลอด มองดูเหมือนง่อนแง่นคลอนแคลน แต่กลับไม่เคยล้มลง เป็นผู้บัญชาการใหญ่ ‘พืชไร่ก้านเหล็ก’ (เปรียบเปรยถึงคนที่ไม่ทำงานแต่ก็มีเงินเดือน) มาถึงสามร้อยกว่าปี
ผู้บัญชาการเหวยท่านนี้ก็คือชนชั้นสูงผู้กุมอำนาจของแคว้นชิงหลวนที่รีดไถกระบี่เจินอู่และมีดสั้นไปจากจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสีย หลังจากได้รับสืบทอดบรรดาศักดิ์มา เขาก็ไม่เอาแต่เที่ยวเล่นไปตามป่าเขาลำเนาไพรอีก แต่เก็บตัวอยู่ในจวนอย่างสันโดษ ทว่าอาศัยเรื่องเล่าลือหลากหลายในอดีตจึงพอจะมีชื่อเสียงเล็กๆ อยู่ระหว่างแคว้นชิงหลวนสามแคว้น เชี่ยวชาญด้านการเขียนคำเขียว อักษรฉ่าวซู อรรถาธิบายพระไตรปิฎก รวมไปถึงการวาดภาพคัมภีร์พุทธ โดยเฉพาะอย่างหลังที่ได้รับการขนานนามว่า ‘โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์’ ตลอดทั้งบนและล่างราชสำนัก ภาพวาดของเขายากจะได้มาครอบครอง เกี่ยวกับผู้บัญชาการเหวยที่อยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ผู้นี้ คำวิจารณ์เกี่ยวกับเขาท่ามกลางกลุ่มปัญญาชนและนักประพันธ์นั้นดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด ถูกขนานนามให้เป็นผู้ที่มีท่วงทำนองงดงามเป็นหนึ่ง สง่างามและผ่อนคลาย พลิ้วไหวประหนึ่งต้นสนไหวเอนไปตามสายลม…ท่ามกลางกลุ่มสตรีชนชั้นสูงและกลุ่มหญิงสาวในห้องหอก็ยิ่งได้รับความนิยม เล่าลือกันว่าตอนที่ผู้บัญชาการใหญ่ท่านนี้แบกหีบหนังสือออกทัศนาจร ได้ขึ้นเขาไปเยี่ยมเยียนเซียนกับสหายสนิทหลายคน เขาถูกนายพรานคนหนึ่งเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเจ๋อเซียนจึงโขกหัวคำนับ ร้องอุทานเรียกเขาว่าเทพเซียน
งานโต้วาทีพุทธเต๋าที่มีชื่อเสียงโด่งดังซึ่งจะจัดขึ้นในเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนครั้งนี้ ผู้บัญชาการเหวยจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยของเมืองหลวง จึงได้รับอนุญาตให้นำพากองทัพทหารฝีมือดีหกพันนายเดินทางขึ้นเหนือไปปักหลักอยู่ในสถานที่สำคัญอย่างเมืองหลวง!
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้สกุลถังให้ความไว้ใจและให้ความสำคัญต่อคนผู้นี้อย่างมาก
เป็นเหตุให้ในยุทธภพมีข่าวลือเล็กๆ ที่ไม่อาจหาที่มา บอกว่ากษัตริย์และขุนนางมีความสัมพันธ์เป็นต้วนซิ่ว (ตัดแขนเสื้อ หรือหมายถึงชายรักชาย) ต้องรู้ว่างานโต้วาทีพุทธเต๋าครั้งนี้ กษัตริย์สองพระองค์อย่างสกุลเหลียนแคว้นอวิ๋นเซียวและสกุลเหอแคว้นชิ่งซานต่างก็จะเดินทางมาเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน และการที่ฮ่องเต้สองแคว้นมองเรื่องที่ผู้บัญชาการเหวยนำทัพขึ้นเหนือเป็นเรื่องปกติ โดยไม่คิดจะเปลี่ยนใจ กลับเป็นเรื่องที่น่าประหลาดยิ่งกว่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!