เผยเฉียนวางก้อนเงินก้อนนั้นไว้บนโต๊ะ มองซ้ายมองขวา มองแนวตั้งมองแนวนอน มองกี่รอบก็ไม่เบื่อ ขณะที่กำลังใคร่ครวญว่าจะหาวิธีเอาก้อนเงินนี้มาเป็นของตัวเองได้อย่างไร นางพลันเบิกตากว้าง เห็นเพียงว่า ‘ก้อนเงิน’ เริ่มกระดุกกระดิกได้เอง จากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นตั๊กแตกสีขาวหิมะตัวหนึ่งที่กระโดดไปทางหน้าต่าง แผล็บเดียวก็หายวับไปไม่เหลือเงา รอจนเผยเฉียนคืนสติก็รีบปีนขึ้นไปบนหน้าต่าง กระโดดลงไปแล้วเริ่มตามหา ‘ก้อนเงิน’ อยู่ในเรือนด้านหลังอย่างยากลำบาก หาตามพุ่มไม้ มุมกำแพง ร่องหินอยู่นานถึงครึ่งชั่วยาม สุดท้ายยังเริ่มใช้มือขุดพื้นดิน แต่ก็ยังไม่อาจดึงตัวก้อนเงินที่จำแลงร่างกลายเป็น ‘แมลง’ ก้อนนั้นมาได้ เผยเฉียนที่หมดเรี่ยวหมดแรงได้แต่นั่งเหม่ออยู่ท่ามกลางกองดิน คราวนี้แม้แต่จะร้องไห้ก็ยังไม่เหลือแรงแล้ว
รอจนเฉินผิงอันที่ไปเยือนแถวศาลบุ๋นย้อนกลับมายังโรงเตี๊ยมก็เห็นแผ่นหลังผอมบางที่หม่นหมองเศร้าซึมของเผยเฉียน มือทั้งสองข้างของนางยังกำชายแขนเสื้อไว้แน่น
เฉินผิงอันถอนหายใจ เดินไปหาชุยตงซานโดยตรง เพียงไม่นานก็มายืนตรงหน้าต่าง ตะโกนพูดกับเผยเฉียน “เงินเหรียญทองแดงเจ็ดเหรียญ เจ้ามีความสามารถก็คว้าชัยชนะเอากลับคืนมาให้ได้ ชนะไม่ได้ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ แต่เงินก้อนที่ชื่อว่า ‘แมลงเงิน’ ก้อนนี้ของชุยตงซาน เจ้าสามารถเอาไปเล่นได้ เขาต้องการจะเอากลับคืนไปเมื่อไหร่ เจ้าก็แค่คืนให้เขาไป”
แม้ว่าเผยเฉียนจะยังเสียใจอยู่มาก แต่ก็ลุกขึ้นยืนอย่างว่องไว ปีนขึ้นไปบนหน้าต่าง กระโดดลงบนพื้น ประคองสองมือไปรับ ‘แมลงเงิน’ ที่กลับคืนสภาพมาเป็นก้อนเงินอีกครั้งอย่างระมัดระวัง
เฉินผิงอันดึงหูเผยเฉียนลากนางไปที่ข้างโต๊ะ “เอาใหญ่แล้วนะ รู้จักพนันขันต่อกับคนอื่นแล้วรึ?”
เผยเฉียนนั่งลงข้างโต๊ะอย่างกล้าๆ กลัวๆ สองมือกำแมลงเงินเอาไว้แน่น
เฉินผิงอันถาม “ชอบพนันขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเอากล่องเก็บสมบัติในหีบไม้ไผ่ออกมาให้เจ้า ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็มีทรัพย์สินมากมายอยู่แล้วนี่นา เจ้าสามารถเดิมพันกับชุยตงซานได้อีกหลายครั้ง จะให้ข้าไปเอามาให้เจ้า หรือเจ้าจะไปเอามาเอง?”
เผยเฉียนสีหน้าลนลาน ส่ายหน้าอย่างแรง
เฉินผิงอันตบโต๊ะ “ไปเอากล่องเก็บสมบัติมา วันหน้าแบกเอาเอง! “
เผยเฉียนสะบัดหน้าหนี หน้าตาบึ้งตึง ทั้งไม่ร้องไห้แล้วก็ไม่อ้อนวอน ไม่มองเฉินผิงอันแล้วก็ไม่เชื่อฟังเขาด้วย
เฉินผิงอันโมโหมาก
เผยเฉียนกัดฟัน ขว้างก้อนเงินที่อยู่ในมือออกไปนอกหน้าต่าง
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ไปเปิดหีบไม้ไผ่ที่อยู่ในห้องด้านข้าง หยิบเอากล่องเก็บสมบัติออกมา กลับมาที่ห้องเผยเฉียน วางมันไว้บนโต๊ะแล้วเดินจากไป
คิดไม่ถึงว่าครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันเพิ่งจะดื่มเหล้าดองอยู่ในห้องไปได้คำเดียว เผยเฉียนก็ถือกล่องเก็บสมบัติวิ่งพรวดเข้ามาแล้วเอามันยัดกลับเข้าไปในหีบไม้ไผ่ด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบจนคนไม่ทันยกมือป้องหู จากนั้นก็วิ่งออกไป
เฉินผิงอันหยิบกล่องเก็บสมบัติออกมาใหม่ เดินไปที่ห้องด้านข้าง คิดไม่ถึงว่าเผยเฉียนจะลั่นดาลลงกลอนประตูไว้อย่างแน่นหนา
ไฟโทสะของเฉินผิงอันลุกโชน ใจนึกอยากจะถีบประตูให้เปิดแล้วเอาตัวเจ้าเด็กนี่พร้อมกล่องเก็บสมบัตินี้จับโยนออกไปนอกโรงเตี๊ยมพร้อมกัน
เฉินผิงอันยืนอยู่นอกประตูครู่ใหญ่
ด้านในประตู เผยเฉียนที่ลงกลอนใช้แผ่นหลังดันบานประตูไว้อย่างแน่นหนา ยกแขนสองข้างที่เล็กบางขึ้น ใช้หลังมือบดบังใบหน้าเล็กๆ ที่ดำราวกับถ่าน
บนหลังคาของโรงเตี๊ยม เด็กหนุ่มชุดขาวที่เป็นตัวการของเรื่องนอนหงายหนุนแขนตัวเอง สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
……
หลูป๋ายเซี่ยงที่อยู่ในห้องตั้งใจศึกษาตำราการเล่นหมากล้อม
คือ ‘ตำราเมฆหลากสี’ ที่มีชื่อเสียงอย่างถึงที่สุดในใต้หล้าไพศาล สิบกระดานท่ามกลางเมฆหลากสี และใช้การประชันครั้งนั้นมาวิวัฒนาการเป็นตำราหมากล้อมรูปแบบต่างๆ มีคนตั้งใจ ‘ผ่าตัด’ (คำศัพท์ในวงการหมากล้อม หมายถึงการวิเคราะห์ผลได้ผลเสียในการเล่นหมากล้อม) ของการแข่งขันเมฆหลากสี บางคนก็แค่ต้องการเจาะลึกความมหัศจรรย์ของการแข่งขันเมฆหลากสีเท่านั้น ว่าการว่าตำรานี้ไม่รู้ว่าอบรมบ่มเพาะให้เกิดยอดฝีมือด้านวิชาหมากล้อมในยุทธมากน้อยเท่าไหร่
หากพูดถึงแค่การเล่นหมากล้อม เมื่ออยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว หลูป๋ายเซี่ยงถือว่าไร้เทียมทานแล้ว ตอนที่มาเยือนใต้หล้าไพศาลช่วงแรก เขามองว่าตัวเองมีฝีมือในการเล่นหมากล้อมสูงส่ง เพียงแต่ว่าเมื่อเขาได้ ‘ตำราเมฆหลากสี’ เล่มนี้มาโดยบังเอิญถึงเพิ่งจะรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ยิ่งศึกษาก็ยิ่งตระหนักได้ถึงความลึกล้ำของฝีมือการเล่นหมากล้อมของทั้งสองฝ่าย ยังไม่ต้องพูดถึงเจ้านครจักรพรรดิขาวที่ ‘ถ่อมตนแด่บรรพชนหมากล้อมทั่วหล้า’ พูดถึงแค่ยอดฝีมือที่มีคุณสมบัติประมือกับยักษ์ใหญ่แห่งลัทธิมารบนเมฆหลากสีผู้นั้น แม้ว่าจะแพ้หลายครั้ง แต่ว่าหากไม่มองช่วงที่นครจักพรรดิขาวเป็นฝ่าย ‘ถูกกระทำ’ ในแต่ละครั้ง ลำพังดูแค่การจัดวางสถานการณ์หมากบนกระดานของยอดฝีมือท่านนี้ก็จะได้เห็นว่าแต่ละก้าวของเขาช่างยอดเยี่ยมจนทำให้คนรุ่นหลังที่ศึกษาตำราการเล่นหมากล้อมรู้สึกเหมือนมีเสียงฟ้าคำรามพร้อมกับลมพายุพุ่งทะลุแผ่นกระดาษมาปะทะใบหน้า ทำให้คนหายใจแทบไม่ออก
เป็นเหตุให้หลูป๋ายเซี่ยงต้องไปตามหาและรวบรวมตำราการประชันหมากล้อมส่วนใหญ่ของยอดฝีมือคนนี้มา สุดท้ายได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า วิชาหมากล้อมของคนผู้นี้ควรจะต้องเรียกว่า ‘เข้าใกล้มรรคาอย่างไร้ที่ติ’ ปรมาจารย์ด้านหมากล้อมของใต้หล้าไพศาลส่วนใหญ่ล้วนมีคำวิจารณ์ที่สูงส่งเกี่ยวกับคนผู้นี้ โดยคร่าวๆ แล้วมีอยู่สามข้อ ข้อแรกคือใช้สายตาที่เฉียบคมมาทำลายข้อสรุปเดิมที่มีอยู่แล้ว ข้อสองแม้ว่าบางครั้งที่คนผู้นี้เดินหมากจะเผยความเฉียบคม เผยวิธีการที่นองเลือด แต่โดยภาพรวมแล้วคนผู้นี้คู่ควรกับคำสรรเสริญที่ว่า ‘ท่วงทำนองบางเบา บรรลุถึงขอบเขตที่กว้างไกลที่สุดและละเอียดอ่อนที่สุด’ สามคือคนผู้นี้เป็นผู้ริเริ่มความคิดอันมหัศจรรย์มากมายอย่างเช่นรูปแบบการเดินหมากหิมะใหญ่ถล่มเลี้ยววงใน รูปแบบปลายแหลมเล็กหนึ่งในใต้หล้า ฯลฯ แม้ว่าร้อยปีให้หลัง ส่วนใหญ่จะถูกยอดฝีมือหมากล้อมแก้ได้ หรือไม่ก็ตอนที่เพิ่งปรากฎเป็นครั้งแรกในการแข่งขันเมฆหลากสีก็ถูกเจ้านครจักรพรรดิขาวมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ทว่าทุกคนที่ดูการแข่งขันผ่านตำราเมฆหลากสีกลับอดตื่นตะลึงและชื่นชมในความคิดอันบรรเจิดเลิศล้ำของคนผู้นี้ไม่ได้ ทำให้คนรู้สึกราวกับว่าคนผู้นี้กับนักเล่นหมากล้อมทุกคนบนโลกล้วนไม่ได้เล่นอยู่บนกระดานหมากเดียวกัน
การที่เขาพ่ายแพ้ให้กับเจ้านครจักรพรรดิขาว หลูป๋ายเซี่ยงก็ได้แต่พูดว่าคนผู้นี้เกิดมาไม่ถูกยุคสมัย ดันมาเจอเข้ากับตัวประหลาดที่ในอดีตไม่เคยปรากฏมาก่อน และในอนาคตก็จะไม่มีทางปรากฏเช่นกัน เนื่องจากฝ่ายหลัง ‘บรรลุมหามรรคา’ ไปแล้ว
หลูป๋ายเซี่ยงศึกษา ‘ตำราเมฆหลากสี’ ก็ใคร่ครวญไปมา คงได้แต่ใช้คำว่า ‘ไร้ความผิดพลาด ไร้ความสะเพร่า’ มาบรรยายยอดฝีมือลัทธิขงจื๊อที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่กระฉ่อนเลื่องลือผู้นี้แล้ว
หลูป๋ายเซี่ยงเคยพูดเล่นกับเฉินผิงอันว่า ความหวังที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ก็คือสามารถได้ไปเยือนนครจักรพรรดิขาว แต่ส่วนลึกในหัวใจของหลูป๋ายเซี่ยงกลับคิดว่าคนที่เขาอยากเล่นหมากล้อมด้วยมากที่สุดกลับไม่ใช่เจ้านครจักรพรรดิขาว แต่เป็น ‘ชุยฉาน’ ท่านชุยผู้ยิ่งใหญ่ อดีตลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งผู้นี้
หลูป๋ายเซี่ยงวางตำราหมากล้อมลง ถอนหายใจหนึ่งที
นครจักรพรรดิขาวน่าจะไปเยือนได้ แค่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่จะได้เล่นหมากล้อมกับชุยฉานสิบตาหรือไม่กลับเป็นความหวังที่ค่อนข้างเลื่อนลอย
แม้ว่าตอนนี้ชุยฉานจะเป็นราชครูของราชวงศ์ต้าหลีบ้านเกิดเฉินผิงอัน แต่ในฐานะคนชมการเล่นก็พอจะมองออกได้คร่าวๆ ว่าคนผู้นี้หยิ่งทระนง ต่อให้เขาหลูป๋ายเซี่ยงได้พบหน้าเขาชุยฉาน แต่ก็คงยากมากที่จะได้เล่นหมากล้อมกับอีกฝ่ายสมดั่งใจหวัง
เพราะหลูป๋ายเซี่ยงรู้ดีว่าฝีมือในการเล่นหมากล้อมของตนยังไม่ดีพอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!