ชุยตงซานมองดวงตาที่สุกใสคู่นั้นของเฉินผิงอัน ตอนที่กุมมือคารวะก็คลี่ยิ้มกล่าวว่า “แลกเปลี่ยนความรู้ ฝึกวินัยขัดเกลาตน”
เผยเฉียนที่นั่งอยู่ด้านข้างฟังแล้วปวดหัวแปลบ
แล้วอยู่ๆ ชุยตงซานก็เปลี่ยนหัวข้อพูดคุยไปไกลจากเดิมหนึ่งแสนแปดพันลี้ โดยยิ้มกล่าวว่า “แคว้นชิงหลวนมีของอยู่สองอย่าง หากอาจารย์มีโอกาสต้องลองชิมดูให้ได้ อย่างแรกคือพระกระโดดกำแพง อีกอย่างหนึ่งก็คือหลูจู่ (คืออาหารข้างทางขึ้นชื่ออย่างหนึ่งของปักกิ่ง ประกอบด้วยเนื้อหมู ลำไส้หมู ปอดหมู ตับหมูในน้ำซุปที่ใส่ซอสหรือเต้าเจี้ยวคล้ายพะโล้) ของร้านเก่าแก่ในตรอกลึกข้างทาง หนึ่งแพงหนึ่งถูก ล้วนเป็นอาหารเลิศรสของโลกมนุษย์”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตกลง”
ชุยตงซานพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “อาจารย์ ข้ามีคำพูดบางอย่างที่อยากจะพูดให้เผยเฉียนซึ่งเป็นสหายร่วมสำนักฟัง ได้หรือไม่? และพอคุยเสร็จแล้วก็อาจจะพาเว่ยเซี่ยนจากไปทันที อาจารย์ไม่จำเป็นต้องไปส่ง หลังจากนี้ก็มีแค่สือโหรวและจูเหลี่ยนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามของท่านแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ หันหน้าไปมองเผยเฉียน นางก็ลุกพรวดขึ้นยืน “ใครกลัวกันเล่า!”
ชุยตงซานยิ้มเดินออกจากห้อง เผยเฉียนตามไปด้านหลังติดๆ ตอนที่เดินข้ามธรณีประตูนางหันมายิ้มให้เฉินผิงอัน ชูหมัดเพื่อเพิ่มความกล้าให้กับตัวเอง
เพียงแต่ว่าพอมาเดินอยู่ในระเบียง ไม่เห็นเฉินผิงอันแล้ว เผยเฉียนก็รีบหยิบยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจมาแปะไว้บนหน้าผาก แล้วถึงได้เดินตามไปด้านหลังเจ้าหมอนั่น
มาถึงห้องของชุยตงซานก็รีบปิดประตูห้องให้ชุยตงซานอย่างว่องไว นั่งอยู่ข้างโต๊ะด้วยรอยยิ้มประจบประแจงเต็มใบหน้า ยื่นมือไปคว้าสาลี่มาลูกหนึ่ง “เจ้าคือศิษย์พี่ของข้า ข้าช่วยเช็ดให้ เจ้าจะได้กินแก้กระหาย”
ชุยตงซานตวัดค้อนใส่ “เจ้าจะช่วยให้เสียเรื่องน่ะสิ ยังจะมาเรียกว่าศิษย์พี่อีก ข้าเรียกเจ้าว่าศิษย์พี่หญิงดีไหม?”
เผยเฉียนรีบโบกมือ “ไม่ได้ๆ พวกเราอยู่ในสำนักเดียวกันต้องดูด้วยว่าใครมาก่อนใครมาหลัง”
ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด “ดูความไม่เอาถ่านของเจ้านี่สิ”
เผยเฉียนพยักหน้ารับรัวๆ ราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “ใช่ๆๆ ตอนนี้ข้าอายุน้อยเกินไป ยังไม่เอาถ่านสักเท่าไหร่”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน หยิบภาพม้าวิ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลาม้วนนั้นออกมา แต่กลับไม่ได้เปิดมันออกในทันที เอ่ยถามว่า “เจ้าคิดว่าตอนเด็กๆ อาจารย์ของเจ้ามีชีวิตอย่างไร?”
เผยเฉียนอึ้งตะลึง “อาจารย์เคยเล่าให้ฟัง แล้วก็เคยได้ยินตอนคนอื่นคุยกัน ดูเหมือนว่าตอนเด็กจะยากจนมาก เติบโตมาในตรอกหนีผิงของถ้ำสวรรค์หลีจูอะไรสักอย่างนี่แหละ”
ชุยตงซานเปิดม้วนภาพวาดออกช้าๆ กวักมือกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็มาดูกัน”
บนม้วนภาพวาดนี้ ภาพแรกที่ปรากฏคือลำธารนอกเมืองเล็ก รวมไปถึงสะพานแบบคานที่สุดท้ายถูกรื้อทิ้งไป
ชุยตงซานพูดขึ้นช้าๆ ว่า “ผู้ฝึกตนบนโลกใบนี้ รังแกภูเขาไม่รังแกน้ำ นั่นก็เพราะความชื่นชอบที่เหล่าอริยะปราชญ์ของเมธีร้อยสำนักมีต่อสายน้ำเหนือกว่าภูเขาไปไกลโข อุดมธรรมดุจดั่งสายน้ำ ผู้มีปัญญาดั่งสายน้ำที่ไหลไม่หยุดนิ่ง พระพุทธเจ้าพิศดูน้ำในบาตร ส่วนความจริงอันห่างไกลที่อยู่ในเรื่องเหล่านี้ วันหน้าเจ้าก็จะได้รู้เอง”
หลังจากนั้นก็เป็นกาลเวลาช่วงที่เฉินผิงอันยังเป็นเด็ก
ขณะที่ทุกคนเล่นว่าวในสุสานเทพเซียน มีเด็กชายผิวดำเกรียมคนหนึ่งนั่งยองอยู่ห่างไปไกลเพียงลำพัง กำลังมองดูคนวัยเดียวกันก็วิ่งตะบึงอย่างสนุกสนานด้วยความอิจฉา มองว่าวกระดาษที่ล่องลอยอยู่สูงบนฟ้า
ไปซื้อยาที่ร้านยาตระกูลหยาง กลับบ้านไปต้มยา เหยียบอยู่บนม้านั่งเพื่อทำอาหาร แอบวิ่งไปที่สุสานเทพเซียนเพื่อขอพรจากเทวรูปผุพังทั้งหลาย
หลังจากนั้น ใต้ดวงตะวันร้อนแรง แบกตะกร้าไม้ไผ่ที่ใหญ่พอๆ กับตัวเขาขึ้นภูเขาไปเก็บยาสมุนไพร ผลกลับกลายเป็นว่ารู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่บ่า ต้องปลดตะกร้าลง ร้องไห้จ้าอยู่ตรงตีนเขา
เดินกลับไปกลับมาอยู่ในตรอกหนีผิงครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความหิว สุดท้ายเป็นสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งที่มาเปิดประตูให้
กาลเวลาไหลผ่านดุจสายน้ำ ภาพต่างๆ เริ่มเปลี่ยนไป
จากเด็กชายกลายเป็นเด็กหนุ่ม
สุดท้ายภาพหยุดอยู่ตรงหน้าประตูตะวันออกของเมืองเล็ก เฉินผิงอันยืนอยู่ด้านในของประตู รอเอาจดหมายไปส่งเพื่อหาเงินมาประทังชีพ
เผยเฉียนมองตาไม่กะพริบ สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปไม่หยุดนิ่ง ดูอยู่นานเกินครึ่งชั่วยาม
ระหว่างที่ดูอย่างเพลิดเพลินก็จะพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ซ่งจี๋ซินกับจื้อกุยผู้นี้ล้วนสมควรตาย ข้ามีหนึ่งดาบหนึ่งกระบี่พอดี วันหน้าใช้หนึ่งดาบฟันคอ ใช้หนึ่งกระบี่แทงทะลุหัวใจ!”
“มิน่าเล่าอาจารย์ถึงถักรองเท้าสาน ทำหีบหนังสือ ทำเป็นหมดทุกอย่างเลย”
“ฮ่าๆ อาจารย์ก็อยากกินถังหูลู่เหมือนกันหรือ เอ๊ะ? อาจารย์หนีไปทำไมล่ะ ชายฉกรรจ์ขายถังหูลู่คนนั้นก็ยกให้อาจารย์ไม้หนึ่งแล้วไม่ใช่หรือ? ไม่เข้าใจเลย”
“กะเทยในเตาเผามังกรคนนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับผู้เฒ่าที่ชื่อว่าสือโหรวนั่นเลย”
“ต้นไม้เหนือสุสานต้นนี้ก็คือต้นข่ายที่อาจารย์เคยเล่าให้เสี่ยวป๋ายฟังกระมัง?”
“ตาเฒ่าเหยาผู้นี้ทำไมถึงได้ชอบด่าอาจารย์นักนะ เขาตาบอดหรือไง”
“พี่สาวที่อยู่นอกประตูคนนี้คงไม่ใช่แม่นางที่อาจารย์ชอบหรอกนะ? ไม่เห็นจะสวยกว่าสุยโย่วเปียนเลย ดูเหมือนยังสู้นักพรตหญิงหวงถิงที่ถ่ายทอดวิชาดาบและวิชากระบี่ให้ข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ”
เสียงเพี๊ยะดังขึ้นหนึ่งที
ชุยตงซานเก็บม้วนภาพวาดไว้ในวัตถุจื่อชื่อ
เผยเฉียนนั่งเงียบๆ อยู่บนม้านั่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!