หลังจากชุยตงซานจากไปได้ประมาณครึ่งชั่วยามก็บอกให้ชายฉกรรจ์หน้าตาธรรมดาคนหนึ่งมาหาเฉินผิงอันที่โรงเตี๊ยม เขาแสดงแผ่นป้ายสงบสุขปลอดภัยที่มีเพียงสายลับตระกูลเซียนของต้าหลีเท่านั้นถึงจะสามารถพกพาให้เฉินผิงอันดู
สีหน้าเฉินผิงอันเป็นปกติ แต่ในใจกลับเกือบจะระเบิดไฟโทสะ ต้องรู้ว่าครั้งที่ถูกคนเล่นงานอย่างอำมหิตมากที่สุดตอนอยู่ในใบถงทวีปก็คือครั้งที่ได้รับแผ่นหยกผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิง โดนงูกัดครั้งเดียวก็กลัวเชือกไปสิบปี อีกทั้งบนแผ่นหยกทั้งสองชิ้นต่างก็มีคำว่า ‘ไท่ผิง’ (สงบสุข) เหมือนกันอีกด้วย เฉินผิงอันจึงรู้สึกหวาดผวาอย่างเลี่ยงไม่ได้
สายลับต้าหลีที่แฝงตัวอยู่ในแคว้นชิงหลวนมานานหลายปีผู้นี้สามารถรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้ ต้องมีครบถ้วนทั้งสามอย่าง ความสามารถสูง สามารถฆ่าคนแล้วก็สามารถหนีเอาชีวิต มีสติปัญญาแข็งแกร่ง อดทนต่อความเงียบเหงา แต่ขณะเดียวกันก็สามารถรักษาความตั้งใจเดิมเอาไว้ได้ ต้องซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อต้าหลีหลายปีหรืออาจหลายสิบปี อีกอย่างหนึ่งก็คือจำเป็นต้องเชี่ยวชาญการสังเกตสีหน้าท่าทางคนอื่น ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นหมากตายที่ไม่มีกลิ่นอายของความมีชีวิตชีวา ความหมายย่อมไม่มาก
ดังนั้นชายฉกรรจ์จึงจับอารมณ์ประหลาดเล็กๆ น้อยๆ ของเซียนซือหนุ่มผู้นี้ได้ทันที เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา ครั้งนี้เขาปรากฏตัวและเดินเข้ามาในสวนร้อยบุปผาอย่างโจ่งแจ้ง หลังจบเรื่องก็ต้องคลี่คลายปัญหาอีกไม่น้อย ช่วยไม่ได้ สถานะของใต้เท้าผู้นั้นน่าตกใจเกินไป เข้ามาในเมืองที่อยู่ภายใต้เปลือกตาของฮ่องเต้แคว้นชิงหลวนแห่งนี้ ไม่เพียงแต่ตรงดิ่งมาหาเขาถึงที่ ยังแสดงตราพยัคฆ์ซิ่วหู่ที่ระดับขั้นสูงสุดให้เขาดู นั่นคือตราที่สามารถเรียกใช้สายลับและนักรบเดนตายทุกคนที่อยู่นอกราชวงศ์ต้าหลีได้
องค์กรสายลับของต้าหลี ช่วงแรกเริ่มสุดมีสามกองกำลังที่เป็นดั่งกระถางสามขา (เปรียบเปรยถึงกองกำลังสามฝ่ายที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน) หนิวหม่าหลัน ถงเหรินเผิ่งลู่ไถ ศาลาคลื่นมรกต ราชครูซิ่วหู่ อ๋องเจ้าเมืองซ่งจ่างจิ้ง และเหนียงเนียงในวังหลังท่านนั้น ต่างคนต่างยึดครองพื้นที่แถบหนึ่ง เมื่อไม่กี่ปีก่อนเหนียงเนียงผู้ดูแลศาลาคลื่นมรกตไปสร้างกระท่อมฝึกตนบนภูเขาเซียนที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงกะทันหัน ถอยออกไปจากจุดศูนย์กลางของต้าหลี ศาลาคลื่นมรกตตกเป็นของราชครู ภายหลังเมื่อได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ แม้แต่เผิ่งลู่ไถของซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองก็ยังยกให้ราชครูเป็นผู้ดูแลไปพร้อมกันด้วย ตอนนี้ซิ่วหู่ชุยฉานจึงเรียกได้ว่ากุมอำนาจใหญ่เพียงลำพัง
ชายฉกรรจ์ใช้ภาษาทางการต้าหลีที่ไม่ได้พูดมานานบอกกล่าวคำสั่งที่ใต้เท้าคนนั้นฝากเขามาบอกแก่เฉินผิงอัน
ที่แท้วัวดินสีเหลืองที่ซ่อนตัวอยู่นอกเมืองตัวนั้นตัดสินใจจะติดตามชุยตงซานเดินทางไกล และชุยตงซานก็จะมอบโชควาสนาครั้งหนึ่งให้กับปีศาจขอบเขตชมมหาสมุทรตัวนี้ ช่วยให้มันสร้างโอสถทองได้อย่างราบรื่น ซึ่งมีความหวังสูงมาก
เฉินผิงอันผ่อนลมหายใจโล่งอกเบาๆ เอ่ยถามว่า “ขอถามท่านหน่อยว่าป้ายปลอดภัยบนมือท่านแผ่นนี้มีขอบเขตเท่าใด?”
ชายฉกรรจ์ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ พูดอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาว่า “เรียนคุณชาย คือขอบเขตสองขั้นสูง ข้าน้อยละอายใจที่รับไว้ ใจฝ่อเป็นอย่างยิ่ง”
เกี่ยวกับระดับขั้นสูงต่ำของป้ายสงบสุขปลอดภัยนี้ เดิมทีเป็นความลับที่ไม่เล็ก เพียงแต่ว่าใต้เท้าผู้นั้นบอกกับตนว่าหากอีกฝ่ายถามอะไรก็ให้ตอบไป ชายฉกรรจ์จึงไม่กล้าเพิกเฉยแม้แต่น้อย
ชายฉกรรจ์ลุกขึ้นยืน ส่งเงินถุงหนึ่งมาให้อย่างนอบน้อม “ใต้เท้าท่านนั้นยังสั่งให้ข้าน้อยมอบของสิ่งนี้ให้คุณชาย บอกว่าเป็น ‘ของแสดงความขอบคุณ’” (หมายถึงของที่ให้เป็นสินน้ำใจแทนค่าสอนของอาจารย์ในโรงเรียน หากบางครอบครัวยากจนก็จะให้ของกินแก่อาจารย์ผู้สอนแทน)
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนรับถุงเงิน…เหรียญทองแดงมา ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาเอามันวางลงบนโต๊ะ กุมหมัดพูดกับสายลับต้าหลีท่านนี้ว่า “รบกวนให้ท่านต้องเดินทางมาเองแล้ว หวังว่าจะไม่สร้างปัญหาให้กับท่าน”
ชายฉกรรจ์คลี่ยิ้ม อันที่จริงมีประโยคนี้ก็เพียงพอแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาอุทิศชีวิตทำงานรับใช้ต้าหลี เดิมทีนี่ก็เป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว จึงกุมหมัดคารวะกลับคืน “คุณชายเกรงใจแล้ว”
หลังจากที่ชายฉกรรจ์จากไป เฉินผิงอันก็เปิดถุงผ้าฝ้ายธรรมดาใบนั้นออกดู เทเหรียญทองแดงออกมา เหรียญทองแดงกองกันเป็นพะเนินเล็กๆ ไม่รู้ว่าชุยตงซานคิดจะทำอะไรกันแน่ หรือว่านี่เป็นแค่ของขวัญกราบไหว้อาจารย์ที่ศิษย์จะมอบให้ตอนเข้าเรียนจริงๆ?
เผยเฉียนบ่น “ชุยตงซานนี่ก็จริงๆ เลย หากไม่ใช่เงินร้อนร้อยก็น่าจะเป็นเงินเกล็ดหิมะก็ได้นี่นา เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ได้อย่างไร ขี้เหนียวขนาดนี้”
เฉินผิงอันเห็นว่าทั้งถุงเงินและเงินเหรียญทองแดงน่าจะไม่มีความลี้ลับอะไรจริงๆ กลับรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วน ลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายก็ไม่ได้เก็บมันลงไปในวัตถุจื่อชื่อที่มีพื้นที่มากกว่า แต่เก็บไปไว้ในวัตถุฟางชุ่นอย่างกระบี่บินสืออู่
เฉินผิงอันยกยิ้มพลางลูบศีรษะของเผยเฉียน เด็กหญิงผิวดำดุจถ่านยิ้มตาหยี
คล้ายแมวน้อยตัวหนึ่ง
หลังจากนั้นเผยเฉียนก็เริ่มคัดตัวอักษร แต่ละขีดแต่ละเส้น พิถีพิถันตั้งใจ ความเคยชินทำให้การกระทำเป็นไปตามธรรมชาติ ทุกวันนี้หากวันไหนไม่ให้นางคัดตัวอักษร นางกลับรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว
ส่วนเฉินผิงอันก็เดินวนรอบโต๊ะฝึกท่าหมัดที่ในคำอธิบายป่าวประกาศว่าจะสอนให้ฟ้าดินพลิกหมุน ต่อให้ท่วงท่าจะแปลกประหลาดสักเท่าไหร่ คนที่อยู่ข้างๆ เห็นนานวันเข้าก็ไม่รู้สึกประหลาดใจอีกต่อไป
ยามสนธยาของวันนี้ จูเหลี่ยนมาที่ห้องของเฉินผิงอัน เห็นว่าเผยเฉียนนั่งอยู่ข้างโต๊ะ มือหนึ่งถือนิยายจอมยุทธ์ที่เขามอบให้นาง อีกมือหนึ่งออกกระบวนท่าตามที่บรรยายไว้ในตำรา ปากก็ร้องฮึ้ยๆ ฮ่าๆ เฉินผิงอันนั่งลงแล้ว ข้างมือเขาที่อยู่บนโต๊ะวางตำราของสำนักนิติธรรมที่ยังเปิดอ้าเอาไว้ จูเหลี่ยนยิ้มถามว่า “นายน้อยขยันขันแข็งในทุกเรื่องจริงๆ ใต้หล้าไม่มีอะไรยาก กลัวแต่จะแพ้ทางคนตั้งใจ ประโยคเก่าแก่ประโยคนี้น่าจะพูดให้นายน้อยฟังโดยเฉพาะ”
คนสี่คนในม้วนภาพวาด แม้จะบอกว่าตอนแรกที่เดินออกมา หรือแม้กระทั่งจนถึงบัดนี้ ต่างคนต่างยังมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่หากโยนเรื่องนี้ทิ้งไปไม่ต้องพูดถึง เดินทางร่วมกันมาตั้งแต่ราชวงศ์ต้าเฉวียนของใบถงทวีปจนมาถึงแคว้นชิงหลวนแจกันสมบัติทวีป ร่วมเป็นร่วมตาย รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายครั้ง ผลกลับกลายเป็นว่าวันเดียวสุยโย่วเปียน หลูป๋ายเซี่ยงและเว่ยเซี่ยนต่างก็พากันเดินทางจากไป เหลือไว้เพียงผู้เฒ่าหลังค่อมตรงหน้าผู้นี้ หากจะบอกว่าเฉินผิงอันไม่กลัดกลุ้มทุกข์ใจเลย ย่อมต้องเป็นการโกหกตัวเองอย่างแน่นอน
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเอาเหล้าหมักกุ้ยฮวาออกมาสองกา คนสองคนที่นั่งตรงข้ามกันดื่มกันไปคนละกา
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เหตุใดนายน้อยไม่เคยถามบ่าวเฒ่าว่าทำอย่างไรถึงก้าวออกไปบนวิถีวรยุทธ์ได้ถึงสองก้าวใหญ่?”
หากเป็นก่อนที่ชุยตงซานจะวาง ‘หมากนอกหมาก’ กระดานนั้นจบ เฉินผิงอันอาจจะตรึกตรองชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่ง หรือบางทีอาจจะแค่ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาไม่กี่อึกแล้วก็ไม่คิดจะสนใจวางแผนทำอุบายอะไรอีก แต่เวลานี้เขายิ้มกล่าวว่า “ใครบ้างที่จะไม่มีเรื่องในใจและความลับที่เก็บไว้ก้นกรุ ไม่ยินดีเอาออกมาตากแดดให้คนอื่นได้เห็นก็เป็นเรื่องปกติมาก ข้าเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ขอแค่ไม่มีใจคิดจะทำร้ายคนอื่น อยากเก็บไว้ก็เก็บไว้เถอะ ไม่แน่ว่าอาจจะ…เหมือนเหล้าหมักกุ้ยฮวาในมือพวกเราที่ ยิ่งเก็บไว้นานก็ยิ่งหอมหวาน”
จูเหลี่ยนแกว่งกาเหล้าในมือ ยิ้มกว้างพูดว่า “แต่ในเมื่อนายน้อยยินดีมอบเหล้ากานี้มาให้ บ่าวเฒ่าก็ยินดีเอาออกมาดื่มอย่างสบายใจ เหล้าเก่า เหล้าใหม่ ล้วนเป็นเหล้า ดื่มก่อนเพื่อเป็นการเคารพ นายน้อย เอาหน่อยไหม?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ยกกาเหล้าชนกับกาของจูเหลี่ยน แล้วต่างคนก็ต่างดื่มอีกอึกใหญ่ ทำเอาเผยเฉียนที่มองดูอยู่น้ำลายไหล นางเคยลิ้มรสเหล้าหมักกุ้ยฮวามาก่อน คราวก่อนตอนกินอาหารฉลองวันปีใหม่ในร้านยาฮุยเฉินนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันรินให้นางจอกเล็กๆ หวานมาก อร่อยสุดๆ ไปเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!