จูเหลี่ยนไม่เคยพบจ้าวซื่ออาจารย์ผู้เฒ่าที่ได้รับเชิญให้มาสอนหนังสือที่สำนักศึกษามาก่อน แต่กวางขาวที่สะดุดตาอย่างถึงที่สุดตัวนั้น หลี่เป่าผิงเคยพูดถึง
จ้าวซื่อที่สวมกวานสูงรัดเข็มขัดเส้นใหญ่ ลมหายใจและฝีเท้าเวลาเดินเชื่องช้าอย่างถึงที่สุด ไม่แตกต่างจากคนแก่ปกติทั่วไป
ต่อให้เป็นจูเหลี่ยนก็ยังมองความผิดปกติไม่ออก ทว่าครั้งแรกที่ได้เห็นเขา หัวใจของจูเหลี่ยนกลับหดรัดตัว
ทุกคนที่มาปรากฏตัวในบริเวณใกล้เคียงกับเรือนหลังนี้เวลานี้ มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าจะเป็นนักรบเดนตายของต้าสุย
วิชาตระกูลเซียนเปลี่ยนแปลงได้นับพันนับหมื่น ยากที่จะป้องกัน
การประชันอาคมตระกูลเซียนเป็นทั้งการประชันสติปัญญาและประชันความกล้า จูเหลี่ยนเคยประมือกับชุยตงซานอยู่สองครั้ง รู้ดีถึงความมหัศจรรย์ของการที่ผู้ฝึกตนมีสมบัติอาคมติดตัวมากมาย ทำให้อดีตบุคคลอันดับหนึ่งของพื้นที่มงคลดอกบัวอย่างเขาได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่
หากไม่ได้ติดตามเฉินผิงอัน อีกทั้งสำมะโนครัวยังเป็นของราชวงศ์ต้าหลี ด้วยนิสัยของจูเหลี่ยน หากยังอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ป่านนี้คงลงมือไปนานแล้ว นี่เรียกว่ายินดีฆ่าผิดคน แต่ไม่ยินดีปล่อยคนผิดตัว
ทว่าการที่ฝืนนิสัยตัวเองไม่เข่นฆ่าผู้คนก็ไม่ได้หมายความว่าจูเหลี่ยนไม่มีวิธีในการหยั่งเชิงความตื้นลึกของอีกฝ่าย
จูเหลี่ยนชำเลืองตามองต้นอู๋ถงต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่ริมทางของถนน ก้านของใบอู๋ถงเขียวชอุ่มใบหนึ่งหักลงมาอย่างเงียบเชียบแล้วพุ่งดิ่งตรงเข้าหาจ้าวซื่ออาจารย์ผู้เฒ่าที่มีกวางขาวเคียงข้าง
จ้าวซื่อไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ยังเอาแต่เดินหน้ามาอย่างเดียว
ในขณะที่ใบอู๋ถงกำลังจะปาดคอผู้เฒ่า มันก็พลันเสียการควบคุม เปลี่ยนมาเป็นใบไม้ธรรมดาที่ลอยพลิ้วร่วงลงสู่พื้นดิน
จูเหลี่ยนเคยเดินทางผ่านสองทวีป รู้ดีถึงน้ำหนักของเจ้าขุนเขาในสำนักศึกษาแห่งหนึ่งของลัทธิขงจื๊อ ต่อให้ไม่ใช่เจ็ดสิบสองสำนักศึกษา แต่เป็นสำนักศึกษาที่ผู้รอบรู้ของแต่ละแคว้นก่อตั้งขึ้นเป็นการส่วนตัว ทว่านั่นก็คือยันต์คุ้มกันกายที่ดีที่สุดแผ่นหนึ่ง
สถานะเช่นนี้ไม่ต่างจากกษัตริย์และอ๋องเชื้อพระวงศ์ในโลกมนุษย์เท่าใดนัก พวกเขาต่างก็ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากลัทธิขงจื๊อ
หากผู้ฝึกตนกล้าลอบฆ่าพวกเขา สำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อก็จะส่งคนมาไล่จับตัว ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลล้วนมีลัทธิขงจื๊อเป็นผู้บัญชาการณ์ จะหนีไปไหนได้? หากไม่อาศัยช่องทางลับหลบเข้าไปในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่ปริแตกและไม่มีชื่อเสียง ก็ได้แต่ต้องหนีไปให้ห่างจากโลกใบนี้ แต่หากเป็นขุนนางกังฉินขันทีฉ้อโกง หรือพวกแม่ทัพแคว้นใต้อาณัติญาติฝ่ายนอกคิดทำร้ายกษัตริย์ จะช่วงชิงบัลลังก์ก็ดี หรือจับเป็นหุ่นเชิดก็ช่าง เจ็ดสิบสองสำนักศึกษาจะไม่ยื่นมือเข้าแทรก
หากจูเหลี่ยนปาดคอเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาส่วนตัวผู้นี้ แล้วถ้าจ้าวซื่อไม่ใช่นักรบเดนตายอะไร แต่เป็นผู้เฒ่าคนหนึ่งที่วันนี้แค่เกิดความสนใจอยากจะมาเยี่ยมพบชุยตงซานจริงๆ ถ้าอย่างนั้นคนที่ต้องซวยก็คือเขาจูเหลี่ยน
แต่จูเหลี่ยนยังคงไม่ยอมเลิกรา เขาใช้ปลายเท้าเตะหินไข่ห่านก้อนหนึ่งที่อยู่ข้างทางโจมตีไปที่น่องเล็กของจ้าวซื่อ
ควบคุมแรงให้อยู่ในตบะขอบเขตเจ็ดร่างทองอย่างพอเหมาะพอดี
อาจารย์ผู้เฒ่าที่น่าสงสารร้องโอ้ย ก้มหน้าลงมองก็เห็นว่าเนื้อด้านข้างน่องเล็กฉีกเป็นรอยเลือด เขาพลันเหงื่อแตกเต็มศีรษะ
จ้าวซื่อเงยหน้าขึ้นพูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้าเป็นใคร?! เหตุใดต้องลงมือทำร้ายคนอื่น? รู้หรือไม่ว่าที่นี่คือสำนักศึกษาซานหยา!”
จูเหลี่ยนทำสีหน้าประหลาดใจแฝงไว้ด้วยความตระหนกเล็กน้อย เขาสบถกับตัวเองเบาๆ ว่า “ไหนบอกว่าเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาต่างก็เป็นผู้ฝึกลมปราณฝีมือสูงส่งที่ปากอมกฎสวรรค์อย่างไรเล่า ในเมื่อมีสัตว์วิเศษอย่างกวางขาวตัวนี้อยู่เคียงข้าง เหตุใดถึงทนรับการโจมตีไม่ได้ขนาดนี้ เศษสวะแท้ๆ น่าอนาถ น่าอนาถนัก…”
จากนั้นจ้าวซื่อก็มองเห็นคนผู้นั้นวิ่งเหยาะๆ มาหา ยิ้มขออภัยเอ่ยว่า “ขอโทษด้วย ขอโทษด้วย เมื่อครู่นี้ข้ากำลังเตะก้อนหินเล่นอย่างใจลอย ไม่ทันระวังเลยไปโดนท่านเจ้าขุนเขาจ้าว ช่างสมควรตายจริงๆ …”
จ้าวซื่อเจ็บปวดจนต้องค้อมเอวลง สีหน้าซีดขาว เหงื่อแตกเต็มใบหน้า คงเป็นเพราะไม่กล้ามองบาดแผลที่เลือดสดไหลนองจึงได้แต่หันมาถลึงตาใส่ผู้เฒ่าหลังค่อมที่มีท่าทางหวาดหวั่นคนนั้นแทน
จูเหลี่ยนเดินมาหยุดอยู่ข้างกายจ้าวซื่อ ยื่นมือมาประคองเขา “เจ้าขุนเขาจ้าว ข้าจะประคองเจ้าไปรักษาบาดแผลที่เรือน”
จ้าวซื่อปล่อยให้จูเหลี่ยนจับแขนตัวเอง ปากก็พูดทอดถอนใจไปด้วยว่า “มีคนฝึกยุทธที่ไหนวู่วามอารมณ์ร้อนอย่างเจ้า ในเมื่อพอจะเป็นวิชาการต่อสู้อยู่บ้างก็ควรหัดควบคุมตัวเอง เทียบเด็กน้อยงอแงกลิ้งไปตามพื้นกับต่อยตีกับบุรุษชายฉกรรจ์จะเหมือนกันได้หรือ? คำกล่าวที่ว่าพวกจอมยุทธชอบใช้กำลังละเมิดกฎ ก็พูดถึงคนอย่างพวกเจ้านี่แหละ!”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับปากก็พูดติดๆ กันว่าใช่
เวลาเพียงชั่วประกายไฟแลบ
จูเหลี่ยนที่เดิมทีเคยชินกับการอยู่ในท่าค้อมเอวหลังค่อมพลันหดตัวจนร่างเหมือนวานรตัวหนึ่ง ขยับตัวเบี่ยงไปด้านข้าง กระทืบเท้าลงพื้นหนักๆ หนึ่งทีแล้วกระแทกชนเข้าที่หน้าอกของจ้าวซื่ออย่างอำมหิต
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งที่เดิมทีควรแทงเข้าที่หว่างคิ้วของจูเหลี่ยน พอจูเหลี่ยนกลายร่างมาเป็นวานรก็ได้แต่แทงทะลุไหล่เขาไปเท่านั้น
จ้าวซื่อถูกพละกำลังอันหนักหน่วงของจูเหลี่ยนพุ่งชนจนร่างกระเด็นหวือออกไป ชนเอากวางขาวที่อยู่ด้านหลังให้ลอยคว้างตามไปด้วย
จ้าวซื่อพลันพลิกตัวหมุนตัวกลับ พลิ้วกายลงพื้นอย่างมั่นคง อารมณ์เสียสุดขีด
เหตุใดในสำนักศึกษาถึงยังมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่งแฝงตัวอยู่ที่นี่!
จูเหลี่ยนไม่สนใจบาดแผลตรงไหล่ที่เลือดสดไหลนองเลยแม้แต่น้อย ดวงตาเขาฉายประกายร้อนแรง แสยะยิ้มกว้างกล่าวว่า “ในที่สุดก็ได้สัมผัสกับความสามารถของผู้ฝึกกระบี่เซียนดินคนหนึ่งเสียที สะใจนัก!”
ในลานบ้าน อวี๋ลู่กระโดดขึ้นมาบนกำแพงสูง เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “มาแล้ว”
เซี่ยเซี่ยเอ่ยเตือน “เป่าผิง หลี่ไหว เผยเฉียน พวกเจ้าสามคนเข้าไปหลบในห้องหนังสือของห้องหลักก่อน จำไว้ว่าปิดประตูให้ดี เว้นเสียจากว่าข้าเป็นคนเปิดประตู ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าก็ห้ามออกมาจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว!”
เด็กทั้งสามวิ่งฉิวเข้าไปในห้องโดยไม่ถามอะไรแม้แต่ครึ่งคำ
หลินโส่วอีเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าในตอนนี้อาจจะยังช่วยอะไรได้ไม่มากนัก”
อวี๋ลู่จ้องอาจารย์ผู้เฒ่าจ้าวซื่อที่คุมเชิงกับจูเหลี่ยนอยู่บนถนนเขม็ง “หาโอกาสเอาเองแล้วกัน”
เซี่ยเซี่ยเดินมาที่ลานบ้าน ในใจท่องคาถา สองมือทำมุทรา ก้าวเท้ารวดเร็วปานลมกรด เริ่มเข้าควบคุมปราณวิญญาณในเรือนเล็กโดยใช้เวทคาถาที่ชุยตงซานถ่ายทอดให้ สร้างสถานที่แห่งนี้ให้เป็นฟ้าดินขนาดเล็กจิ๋วชั่วคราว ส่วนนางเองก็มีโอกาสลิ้มรสชาติของการควบคุมแม่น้ำแห่งกาลเวลาดั่ง ‘อริยะของพื้นที่หนึ่ง’ หากจะบอกว่ากาลเวลาที่เหมาเสี่ยวตงบังคับคือแม่น้ำสายหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นเซี่ยเซี่ยก็ได้แต่บังคับลำธารเส้นหนึ่ง
โชคดีที่บริเวณของเรือนแห่งนี้ไม่กว้างนัก จึงไม่ง่ายที่จะเกิดช่องโหว่ที่ใหญ่เกินไป
อาจารย์ผู้เฒ่าที่อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นนักฆ่าคนนั้นไม่ได้บังคับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมาต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับจูเหลี่ยน
รุ้งยาวแต่ละเส้นที่กระบี่บินวาดออกมากลางอากาศพากันพุ่งเข้าหาเรือนหลังนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ทุกครั้งที่กระบี่บินพยายามจะบุกเข้าไปในเรือน จะต้องถูกม่านฟ้าของฟ้าดินขนาดเล็กกางกั้น ระเบิดประกายแสงพร่างพราวประหนึ่งแก้วหลากสีหลายเม็ดที่ปริแตก
อวี๋ลู่ถอยกลับเข้าไปในลานบ้านแล้ว เขาถามเบาๆ ว่า “สามารถประคองตัวอยู่ได้นานแค่ไหน?”
หน้าผากของเซี่ยเซี่ยมีเหงื่อเม็ดเล็กซึมออกมา เสียงของนางสั่นสะท้านน้อยๆ ยิ้มขื่นตอบว่า “ต่อให้จูเหลี่ยนสามารถถ่วงเวลาผู้ฝึกกระบี่คนนี้ไว้ได้ ไม่ปล่อยให้เขาบังคับกระบี่บินได้อย่างเต็มกำลัง อย่างมากสุดข้าก็ยังได้แค่ประคองตัวไว้ครึ่งก้านธูปเท่านั้น…กระบี่บินจู่โจมแรงเกินไป ปราณวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในเรือนเล็กแห่งนี้ถูกเผาผลาญเร็วเกินไป!”
เดิมทีผู้ฝึกกระบี่ก็คือสิ่งมีชีวิตที่เชี่ยวชาญการทำลายสิ่งกีดขวางนานัปการในโลกที่สุดอยู่แล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!