ชุยตงซานพลันนั่งลง ชายแขนเสื้อของเขาพลิกตลบ ไม่รู้ไปเสกเครื่องดนตรีมาจากไหน จากนั้นก็เริ่มตีเครื่องดนตรีพลางร้องเพลง
เป็นเพลงพื้นบ้านกินเต้าหู้เหม็นที่เฉินผิงอันกับเผยเฉียนดัดแปลงมาจากเพลงพื้นบ้านเพลงหนึ่งของเขตการปกครองหลงเฉวียน
ชุยตงซานร้องเพลงเสียงดัง “เสี่ยวเอ้อร์ของร้าน ข้าอ่านหนังสือมามาก รู้จักตัวอักษรมาก สะสมความรู้ไว้เต็มท้อง แต่เอามาขายได้ไม่กี่อีแปะ”
เผยเฉียนเก็บน้ำเต้าจิ๋วไปแล้ว นางยืดอกตั้ง เชิดศีรษะขึ้นสูง เดินวนรอบตัวชุยตงซาน “เต้าหู้เหม็นอร่อย ซื้อไม่ไหวหรือไร!”
“บนภูเขามีภูตผีปีศาจ ในแม่น้ำลำธารมีผีพราย ตกใจหันหน้ากลับไป ที่แท้ก็จากบ้านมาหลายปีแล้ว”
“ตกใจจนข้าต้องรีบกินเต้าหู้เหม็นระงับความตกใจ!”
“แม่นางน้อยจากบ้านไหน บนร่างหอมกลิ่นกล้วยไม้ เหตุใดร้องไห้จนหน้าลายพร้อย เจ้าว่าน่าสงสารหรือไม่?”
“กินเต้าหู้เหม็นเถอะ เต้าหู้เหม็นหอมเหมือนดอกกล้วยไม้!”
“ขอถามอาจารย์ว่าจะทำอย่างไร ว่าวกระดาษอันน้อยตากแดดห้อยอยู่บนกิ่งไม้”
“ปีนต้นไม้ปลดว่าวน้อยลงมา แล้วกลับบ้านไปกินเต้าหู้เหม็น!”
“เทพเซียนจุดธูปหน้าหลุมศพดุจเด็กหนุ่ม ลูกหลานในหลุมกลับกระดูกขาวมาร้อยปีแล้ว เจ้าว่าน่าหัวเราะหรือไม่?”
นี่เป็นท่อนที่ชุยตงซานพูดเหลวไหลเลื่อนเปื้อนไปเอง เผยเฉียนเลยอึ้งตะลึง แต่ก็ไม่มีเวลามามัวสนใจ รีบพูดคล้อยตามไปอย่างส่งเดช “เอ๊ะ? ใครกินเต้าหูเหม็นไปกันแน่?”
“เจ้าพูดเหตุผลของเจ้า ข้ามีหมัดของข้า ยุทธภพวุ่นวายสับสน บุญคุณความแค้นจะมีไปถึงเมื่อไหร่?”
ชุยตงซานยังคงเปลี่ยนบทเพลงไปอย่างมั่วซั่ว เผยเฉียนจึงแสร้งทำเป็นผีขี้เหล้าตัวน้อยอีกครั้ง เดินเอียงไปซ้ายทีขวาที “เต้าหู้เหม็นกินแกล้มเหล้า ข้าทั้งหิวทั้งกระหาย ยุทธภพไม่มีความหมายก็ไม่เป็นไร”
“คนบนโลกล้วนกล่าวว่าเทพเซียนดี ข้าว่าบนภูเขากลับไม่อิสระเสรี…”
เผยเฉียนหันหน้ามาถลึงตาใส่ชุยตงซานที่แต่งเพลงมั่วซั่วไม่จบไม่สิ้นสักที แล้วก็ร้องตอบไปมั่วๆ เช่นกัน “หากเจ้ายังทำอย่างนี้ ข้าคงกินเต้าหู้เหม็นท้องแตกตายพอดี!”
ชุยตงซานไม่ทำให้เผยเฉียนลำบากใจอีก เขาลุกขึ้นยืน ถามว่า “กินเต้าหู้เหม็นไปแล้ว ดื่มเหล้าไปแล้ว แล้วเซียนกระบี่ล่ะ?”
เผยเฉียนเองก็ทำหน้างงงัน ถามย้อนกลับว่า “ใช่สิ เหล้ามีแล้ว แล้วเซียนกระบี่อยู่ไหน?”
คนทั้งสองมองไปทางหอสูงแล้วตะโกนขึ้นพร้อมกัน “ลองตะโกนเรียกดูสิ?”
หลี่เป่าผิงสูดลมหายใจเขาลึกหนึ่งครั้ง ก่อนจะตะโกนเสียงดัง “อาจารย์อาน้อย!”
ชุยตงซานดีดนิ้วหนึ่งที พวกหลี่ไหวพากันปรากฏตัว
ทุกคนล้วนมองไปทางยอดเขาของภูเขาตงหัว
หลี่เป่าผิงเองก็หันหน้ามองตามไป
เงาร่างสีขาวหิมะพลันพุ่งวูบมาจากบนยอดเขา
พลิ้วกายลงบนทะเลสาบด้วยพลังอำนาจน่าเกรงขาม
ชุดคลุมอาคมจินหลี่โบกสะบัดไม่หยุด ประหนึ่งมีเซียนชุดขาวมายืนอยู่บนพื้นผิวกระจก
เฉินผิงอันไม่ได้สะพายเจี้ยนเซียนไว้บนไหล่ แค่ห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอว
พอเฉินผิงอันยื่นมือออกมา
ชุยตงซานก็หยิบกระบี่ยาวเล่มหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ ประกบสองนิ้วปาดหนึ่งครั้ง เลียนแบบคำพูดติดปากของหลี่เป่าผิง “เจ้าไปได้!”
กระบี่ยาวหลุดออกจากฝัก แหวกอากาศเป็นเส้นยาว
เฉินผิงอันยื่นมือมากุม วาดปลายกระบี่เป็นวงโค้ง ถือกระบี่ไพล่ไว้ด้านหลัง สองนิ้วประกบกันไว้เบื้องหน้าทำมุทราคาถากระบี่ คลี่ยิ้มพูดด้วยเสียงทรงพลัง “คนบนโลกล้วนกล่าวว่าผู้ที่สะสมหิมะเป็นธัญญาหาร กลึงอิฐเป็นกระจกคือคนปัญญาอ่อน (เพราะการเอาหิมะเป็นธัญญาหาร กลึงอิฐเป็นกระจกเป็นเรื่องที่ไม่มีทางทำได้ หิมะไม่อาจกินต่างอาหาร เอาหินมาส่องก็มองไม่เห็นตัวเอง เป็นเรื่องที่เสียเวลาเปล่า) แต่ข้าจะทวนกระแสขึ้นไปชนกำแพงทิศใต้ดูสักครั้ง! (เปรียบเปรยถึงคนที่ดึงดันจะทำตามความคิดของตัวเอง) ดื่มเหล้าในยุทธภพจนหมดสิ้น รู้หลักการเหตุผลบนโลก ข้ามีหนึ่งกระบี่ก็ใช้กระบี่ ยิ่งออกกระบี่ยิ่งรวดเร็ว สักวันหนึ่งเมื่อส่งกระบี่ออกไป มันจะกลายเป็นกระบี่มีชีวิตที่สง่างามเป็นอันดับหนึ่งของใต้หล้า…”
แล้วเฉินผิงอันก็เริ่มกระโดดไปบนผิวน้ำเหมือนกบ เดินอยู่บนผิวของทะเลสาบอย่างสง่างาม กระบี่ที่ถืออยู่ในมือพลิกหมุนกวัดแกว่งได้สมปรารถนา ประหนึ่งสายลมที่พัดโชยใบไม้ให้ร่วงหล่น เรือนกายของเขาเบี่ยงไปทางขวาเล็กน้อย เท้าซ้ายก็เยื้องไปด้านหน้าอย่างแผ่วเบา มือขวาที่กำกระบี่หมุนไปตามตัว ตวัดไปทางขวาแล้วดึงกลับหลัง ตามองกระบี่ตาม แล้วทันใดนั้นเขาก็งอขาข้างขวาเป็นท่าคันธนู (หนึ่งในห้าท่าพื้นฐานของการฝึกวรยุทธ์ เท้าหนึ่งก้าวไปข้างหน้า งอเท้า เท้าหลังเหยียดตรง) กระบี่ตวัดขึ้นด้านบน ตามองปลายกระบี่ “เซียนชักกระบี่ออกจากชายแขนเสื้อ วาดกระบี่เป็นวงโค้งเดินตามไป ดวงตามองปลายกระบี่ เหนือปลายกระบี่มีแผ่นดิน”
เฉินผิงอันก้าวยาวๆ เดินไป กระบี่ก็เคลื่อนตามตัวไปด้วย ปณิธานกระบี่ทอดยาวเป็นสาย มีทั้งช้ามีทั้งเร็ว แล้วจู่ๆ ก็พลันหยุดชะงัก สะบัดข้อมือตวัดปลายกระบี่ขึ้นด้านบน ปลายกระบี่พ่นประกายแสงดุจงูเหลือมสีขาวแลบลิ้น หลังจากนั้นกระบี่ยาวก็หลุดออกจากมือ แต่กลับบินโฉบวนรอบกายเฉินผิงอันประหนึ่งนกน้อยอิงแอบคน เฉินผิงอันใช้จิงชี่เสินและการเดินนิ่งหกเก้าที่ปณิธานหมัดผสานรวมกันอย่างเป็นธรรมชาติเดินขึ้นหน้า กระบี่บินเดี๋ยวเคลื่อนเดี๋ยวหยุดตามไป หลังจากเฉินผิงอันปล่อยหมัดสุดท้ายของท่าเดินหนึ่งก็ต่อยหนักๆ ลงบนด้ามกระบี่พอดี กระบี่บินบินวนเป็นวงกลมอยู่เบื้องหน้าเฉินผิงอัน แสงกระบี่ไหลเวียนไม่หยุดนิ่งประหนึ่งแสงจันทร์ที่สาดส่องลงบนทะเลสาบ เฉินผิงอันยื่นแขนออกไป สองนิ้วปาดไปบนด้ามกระบี่บินอย่างแม่นยำ โบกชายแขนเสื้อไปด้านหลัง กระบี่บินก็บินออกไปไกลสิบกว่าจั้ง จากนั้นเฉินผิงอันก็เดินหน้าต่อไปช้าๆ กระบี่บินเริ่มวาดวงกลมวงแล้ววงเล่า จากเล็กไปใหญ่ สาดส่องให้ทะเลสาบทั้งผืนเกิดประกายแสงเรืองรอง ปราณกระบี่แผ่อบอวลน่าเกรงขาม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!