อู๋อี้มีนิสัยเย่อหยิ่ง คือเซียนดินที่มีชื่อเสียงว่าจองหองโอหังของแคว้นหวงถิง เดิมทีการที่ไปพบเฉินผิงอันก็เป็นเรื่องที่ฝืนใจทำ ในเมื่อไม่ว่าจะเป็นคำพูดคำจาหรือการกระทำของเฉินผิงอันล้วนพอเหมาะพอดี อีกทั้งยังไม่อาศัยความสนิทสนมกับบิดา ซิ่วหู่และเว่ยป้อมาวางมาดต่อหน้านาง นี่จึงทำให้อู๋อี้สบายใจขึ้นไม่น้อย และถึงได้มีคำพูดในทะเลสาบหัวใจนี้
เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้า “อู๋เจินจวินกลับจวนครั้งแรกในรอบร้อยปี หากเป็นเวลาปกติ ข้าเองก็คงอาจจะกล้าเดินเคียงบ่าไปกับอู๋เจินจวิน แต่วันนี้จะทำอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด อู๋เจินจวินโปรดเดินนำไปก่อนเถิด พวกเราจะตามติดไปด้านหลังทันที”
อู๋อี้คลี่ยิ้ม แล้วก็เดินนำไปด้านหน้าเพียงลำพังโดยไม่ยืนกรานอีก
ถือว่าเป็นคนหนุ่มที่รู้จักกาลเทศะ
แต่คร่ำครึเกินไปสักหน่อย ไม่ต่างจากอาจารย์ในโรงเรียนเลย ไม่รังเกียจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกชื่นชอบอะไร
เมื่ออู๋อี้เดินนำไปด้านหน้า ฝูงมหาชนบนลานกว้างก็แหวกออกเป็นทางทันที
มีเพียงคนห้าหกคนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะมาเดินตามหลังอู๋อี้ ยิ่งฐานะสูงส่งมากเท่าไหร่ในจวนจื่อหยาง ตำแหน่งยืนก็ยิ่งขยับมาเบื้องหน้ามากเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกตนวัยกลางคนที่เดินมาอยู่ทางฝั่งขวามือของเฉินผิงอันก็คือเจ้าประมุขจวนจื่อหยางคนปัจจุบัน คือเซียนดินขอบเขตโอสถทอง ส่วนผู้ฝึกตนสองท่านที่มีสถานะไม่ต่างจากจูเหลี่ยนและสือโหรวสักเท่าไหร่ก็คือผู้ฝึกลมปราณผู้เฒ่าขอบเขตมังกรที่มีวัยวุฒิสูงกว่าเจ้าประมุขจวนจื่อหยาง คนหนึ่งคือผู้ที่ดูแลด้านการให้รางวัลและการลงโทษ คนหนึ่งดูแลเรื่องการเงิน ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาตำแหน่งเจ้าประมุขจวนจื่อหยางจึงเป็นเพียงแค่ตำแหน่งลอยๆ ไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริง เป็นแค่บุคคลที่ช่วยออกหน้าเวลาที่ต้องคบค้าสมาคมกับราชสำนักแคว้นหวงถิงและตระกูลเซียนบนภูเขาลูกอื่นเท่านั้น
เจ้าประมุขจวนจื่อหยางในแต่ละรุ่นรวมกันแล้วมีทั้งหมดเจ็ดคน แต่มีเพียงคนเดียวที่อาศัยพรสวรรค์ของตัวเองเลื่อนขั้นเป็นเทพเซียนพสุธา คนอื่นๆ อีกหกคนก็เหมือนเจ้าประมุขคนปัจจุบันนี้ที่ล้วนอาศัยเงินเทพเซียนของจวนจื่อหยางฝืนผลักดันจนได้ขอบเขตมาครอบครอง พลังการต่อสู้ที่แท้จริงเป็นรองเซียนดินโอสถทองในสำนักใหญ่อยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเซียนดินอิสระที่เดินผ่านเส้นทางสายโลหิตมาด้วยตัวเอง
รากฐานของจวนจื่อหยางย่อมไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ยังมีอดีตเจ้าประมุขอีกหลายคน หรือไม่ก็เป็นลูกศิษย์ที่อู๋อี้เคยรับไว้ในอดีต บุรพาจารย์ของจวนจื่อหยางในรุ่นหลังกำลังปิดด่าน แล้วก็มีผู้ฝึกตนวัยชราบางส่วนที่ไม่มีหวังบนมหามรรคา โอสถทองถูกสายน้ำแห่งกาลเวลาชะล้างไปจนเน่าเปื่อยไม่เหลือสภาพ ได้แต่หลบเลี่ยงอยู่ในจวนแต่ละแห่งของจวนจื่อหยางที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นประหนึ่งคนธรรมดาที่นอนป่วยติดเตียงแล้วอาศัยโสมคนมาต่อชีวิต ได้แต่เก็บตัวเงียบไม่ออกไปไหน
ทุกคนของจวนจื่อหยางต่างก็กำลังคาดเดาตัวตนของคนหนุ่มที่สะพายหีบไม้ไผ่ไว้ด้านหลัง
หรือว่าจะเป็นลูกศิษย์ที่บรรพาจารย์ต้งหลิงไปรับมาใหม่จากข้างนอก? ถ้าอย่างนั้นจะเป็นตัวเลือกเจ้าประมุขคนถัดไปหรือไม่?
อู๋อี้พาเฉินผิงอันเดินเข้าไปในจวนจื่อหยาง ตรงดิ่งไปที่ตำหนักจื่อชี่ที่ตั้งอยู่ใจกลางของจวนใหญ่ มอบหมายให้เจ้าประมุขจัดงานเลี้ยงใหญ่ยามค่ำคืนเพื่อต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์
เข้ามาในตำหนักจื่อชี่แล้ว อู๋อี้ก็บอกให้ทุกคนไปรอที่โถงเจี้ยนชื่อ นางบอกว่าต้องการจัดหาที่พักให้คุณชายเฉินด้วยตัวเอง
แขกผู้สูงศักดิ์?
คนทั้งกลุ่มหันมามองหน้ากันเอง
หรือว่าจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเซียนดินก่อกำเนิดท่านใดของต้าหลี หรือจะเป็นลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงอย่างพวกสกุลหยวนสกุลเฉาที่เป็นเสาค้ำยันแคว้นของต้าหลี
อู๋อี้จัดการหาที่พักให้พวกเฉินผิงอันอย่างรวดเร็วและเรียบร้อย จากนั้นจึงไปที่โถงเจี้ยนชื่อที่พวกผู้อาวุโสใหญ่ของจวนจื่อหยางรวมตัวกันอยู่ นางนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรของเจ้าประมุขที่สร้างขึ้นจากไม้จื่อถาน แรกเริ่มยังบอกให้แต่ละคนรายงานเรื่องต่างๆ ยกตัวอย่างเช่นรายรับเงินเทพเซียนที่จวนจื่อหยางได้มาตลอดร้อยปีมานี้ การพัฒนาของเหล่าลูกศิษย์ในสำนักที่มีพรสวรรค์โดดเด่น สถานการณ์ของพวกคนเฒ่าคนแก่ในจวน โดยรวมแล้วนางจะเป็นผู้ฟัง ไม่เสนอความเห็นใดๆ หากไม่เป็นเช่นนี้ก็คงไม่มีทางหายตัวไปเป็นร้อยปี เป็นเถ้าแก่แต่สะบัดมือทิ้งร้าน ยิ่งไม่มีทางเลือกหุ่นเชิดขึ้นมาเป็นเจ้าประมุขทั้งๆ ที่ตัวเองก็ยังมีชีวิตอยู่บนโลก
อันที่จริงในใจทุกคนต่างก็รู้ดีว่าบรรพจารย์ไม่ชอบฟังเรื่องยิบย่อยพวกนี้ การรายงานอย่างเอาจริงเอาจังของทุกคนก็แค่ทำให้พอเป็นพิธีเท่านั้น
อู๋อี้เองก็ไม่ปิดบังสีหน้าเบื่อหน่ายของตัวเองเลยแม้แต่น้อย นางนั่งตัวเอียง เอามือข้างหนึ่งเท้าคาง บางครั้งก็พยักหน้ารับ
โดยรวมแล้วจวนจื่อหยางสามารถใช้สี่คำว่า ‘เจริญรุ่งเรืองในทุกวัน’ มาบรรยายได้
นี่ก็ถือว่าพอสมควรแล้ว
อู๋อี้คร้านจะไปสนใจพวกกลอุบายทั้งหลายนอกเหนือจากการฝึกตน
การที่นางสร้างจวนจื่อหยางขึ้นมา และกลายมาเป็นบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขา เป็นเพราะความคิดชั่วแล่นของนางในปีนั้น เพราะความเบื่อหน่ายนำพาโดยแท้
นอกจากนี้เผ่าพันธุ์เจียวหลงมากมายที่ยังหลงเหลืออยู่ ส่วนใหญ่ก็ชอบสร้างจวนเพื่อโอ้อวดบารมี รวมไปถึงใช้มันเป็นที่เก็บซ่อนทรัพย์สมบัติที่ไปรีดไถมาจากสี่ทิศ
แคว้นหวงถิงถือเป็นหนึ่งในอาณาเขตเก่าหลังจากที่แคว้นสู่โบราณแตกแยก แคว้นเสินสุ่ยที่อยู่ดีๆ ก็ราวกับว่าล่มสลายภายในค่ำคืนเดียวก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ต่างก็เป็นสถานที่วิเศษที่เผ่าพันธ์เจียวหลงปรารถนาอยากครอบครองแม้ในยามหลับฝัน เพราะมีโชคชะตาน้ำเข้มข้น นอกจากนี้เซียนกระบี่บรรพกาลก็ชอบมาสังหารเจียวหลงที่นี่ ท่ามกลางการเข่นฆ่ากันเองทำให้คนมากมายต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ สมบัติอาคมจึงมีมากตามไปด้วย แม้ว่าส่วนใหญ่จะถูกราชวงศ์ที่แข็งแกร่งอย่างพวกแคว้นเสินสุ่ยกวาดเอาเข้าไปไว้ในท้องพระคลังของตัวเอง กลายเป็นอาวุธสำคัญของแคว้นที่แต่ละชิ้นได้รับการสืบทอดอย่างมีระบบระเบียบ การถ่ายโอนในภายหลังก็เป็นแค่การผลัดเปลี่ยนจากมือของราชวงศ์ที่ตกอับทรุดโทรมไปสู่มือของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ที่รุ่งเรืองขึ้นมาใหม่เท่านั้น แต่กระนั้นก็ยังมีสมบัติตกทอดหลายชิ้นที่ถูกบิดาของนางเก็บเข้ากระเป๋าอย่างไม่กระโตกกระตาก
นางรู้ดีที่สุดว่าทรัพย์สมบัติของบิดานั้นมากมายมหาศาลปานใด
สมบัติอาคมที่เป็นเรือเมล็ดเหอเถาแกะสลักลำน้อยบนร่างของตนชิ้นนั้นก็เป็นแค่ของขวัญเล็กๆ ที่ปีนั้นบิดาหยิบยื่นมาให้เพราะนางเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตถ้ำสถิตก็เท่านั้น
แต่ความอุดมสมบูรณ์ของสมบัติที่บิดานางเก็บสะสมเอาไว้ สามารถพูดได้ว่าเกินจริงที่สุดในบรรดาผู้ฝึกตนเซียนดินทุกคนทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป
ตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่าทางทิศใต้อาจจะพอเอาชนะไปได้ แต่นั่นเป็นสมบัติที่คนตลอดทั้งตระกูลฝูเก็บสะสมมานานถึงสองพันกว่าปี แต่บิดาของนางอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวเท่านั้น
ดังนั้นอู๋อี้จึงทั้งเกลียด ทั้งกลัวและทั้งยำเกรงบิดาที่นางไม่เคยเข้าใจความคิดของเขาผู้นี้ ความเกลียดนั้นคือภายนอก ความกลัวอยู่ในกระดูก แต่ความเคารพยำเกรงอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ คิดดูแล้วน้องชายของนางก็น่าจะมีความรู้สึกไม่ต่างกันสักเท่าไหร่
อู๋อี้เงยหน้าขึ้น ที่แท้ก็มีคนมาถามว่าจวนจื่อหยางควรจะรับรองคุณชายเฉินผู้นั้นอย่างไร
อู๋อี้คิดแล้วก็ตอบว่า “พวกเจ้าไม่ต้องยื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้ ควรทำอะไร ข้าจะสั่งความไปเอง”
……
การจัดการของอู๋อี้นั้นน่าสนใจมาก นางจัดให้พวกเฉินผิงอันสี่คนอยู่ในหอสูงหกชั้นแห่งหนึ่งที่สามารถเทียบเท่ากับหอเก็บสมบัติได้
ทุกชั้นของหอแห่งนี้ล้วนวางสมบัติที่ต้งหลิงเจินจวินกับผู้ฝึกตนหลายยุคหลายสมัยของจวนจื่อหยางเก็บสะสมเอาไว้
ก่อนที่อู๋อี้จะจากไปได้บอกแค่ว่า หวังว่าพวกเขาจะไม่เดินขึ้นไปบนสองชั้นบนสุด ส่วนอีกสี่ชั้นที่เหลือสามารถเดินเที่ยวได้ตามใจชอบ
เนื่องจากอาคารแห่งนี้กินอาณาบริเวณกว้างขวาง นอกจากชั้นหนึ่งแล้ว ชั้นบนทุกชั้นล้วนมีทั้งห้องนอน ห้องหนังสือ ชั้นสามยังมีลานแสดงวรยุทธที่จัดวางหุ่นเชิดกลไกสูงหนึ่งจั้งไว้สามตัว ดังนั้นพวกเฉินผิงอันจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าที่นี่จะมีแต่วัตถุดิบวิเศษละลานตา แต่ไม่มีที่ให้พักนอน
ลำพังแค่ชั้นหนึ่ง เผยเฉียนก็นึกอยากให้ตัวเองมีดวงตาเพิ่มมาอีกคู่หนึ่งแล้ว
การเดินทางมาเยือนจวนจื่อหยางในครั้งนี้ทำให้เผยเฉียนได้เปิดโลกทัศน์จึงอารมณ์ดีอย่างถึงที่สุด
ก่อนหน้านี้นางมักรู้สึกว่าในอนาคตนอกจากกล่องเก็บสมบัติที่เหยาจิ้นจือมอบให้แล้ว หาชั้นวางสมบัติอีกชั้นสองชั้นมาจัดวางเพิ่มก็ถือเป็นขีดจำกัดความสามารถในการจินตนาการของหัวสมองเล็กๆ ของเผยเฉียนแล้ว ตอนนี้พอเข้ามาในหอเรือนของตำหนักจื่อชี่แห่งนี้ นางถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้คนมีเงินจริงๆ เขาก็มีเงินกันแบบนี้นี่เอง!
ตอนนี้ไม่ต้องให้เฉินผิงอันเอ่ยเตือน เผยเฉียนก็ไม่กล้าไปลูบคลำสมบัติโบราณลักษณะแปลกประหลาดเหล่านั้นโดยพลการ
นางคิดว่าคืนนี้คงไม่นอนแล้ว จะต้องเดินเที่ยวให้ครบทั้งสี่ชั้นชื่นชมสมบัติหลายร้อยชิ้นนี้ให้ถ้วนทั่ว ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องเสียดายไปตลอดชีวิต
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!