แล้วก็จริงดังคาด ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงหยัน “บิดาเมตตาบุตรกตัญญู ความคิดเช่นนี้เป็นลัทธิขงจื๊อที่สอนเจ้า ไม่ใช่พ่อที่สอนเจ้า พ่อไม่เคยคาดหวังว่าลูกหลานจะกตัญญูและนอบน้อมเชื่อฟัง ข้อนี้เจ้าควรจะรู้ชัดเจนดีกว่าพี่น้องชายหญิงที่อยู่ในท้องของพ่อไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าควรจะทำตัวเป็นบุตรสาวอย่างไรจึงจะถูกต้อง?”
อู๋อี้หน้าซีดขาว
ผู้เฒ่าแสยะปากเผยให้เห็นฟันสีขาวหิมะ “ภายในเวลาร้อยปี หากเจ้ายังไม่อาจกลายเป็นก่อกำเนิดได้ ข้าจะกินเจ้าซะ ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะสิ้นเปลืองปราณเจียวหลงของข้าไปเปล่าๆ เห็นแก่ที่เจ้าทำงานได้ดี จะบอกข่าวหนึ่งแก่เจ้า บนร่างของเฉินผิงอันยังมีหินดีงูก้อนที่ก่อตัวขึ้นมาจากแก่นเลือดของมังกรที่แท้จริงตัวสุดท้าย มีหลายก้อนที่คุณภาพดีเยี่ยม เมื่อเจ้ากินเข้าไปแล้ว แม้จะไม่อาจเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิด แต่จะดีจะชั่วก็สามารถยกระดับพลังการต่อสู้ของเจ้าได้อีกขั้นหนึ่ง เมื่อถึงวันที่ข้ากินเจ้าลงท้อง เจ้าก็สามารถดิ้นรนขัดขืนได้มากหน่อย เป็นอย่างไร พ่อเมตตาต่อเจ้ามากเลยใช่ไหม?”
อู๋อี้ที่มีเรือนกายสูงเพรียวตัวสั่นเทิ้ม
ผู้เฒ่าพลันพูดอย่างสะท้อนใจว่า “เจ้ากินเผ่าน้ำที่กลายเป็นภูตจนอิ่มท้อง ส่วนข้าก็กินพวกเจ้า รวบรวมโชคชะตาเอาไว้ด้วยกัน ชุยตงซานที่ได้ครอบครองคราบร่างบรรพกาลก็ย่อมสามารถกินข้าได้ จะทำอย่างไรดี?”
ผู้เฒ่าส่งยิ้มให้อู๋อี้ “ดังนั้นข้าจึงรู้สึกว่าตบะสูง ความสามารถมาก นี่ต่างหากที่ร้ายกาจอย่างแท้จริง ภูเขาลูกหนึ่งมักจะสูงกว่าภูเขาลูกหนึ่งเสมอ ฉะนั้นแล้วพวกเราจึงยังต้องขอบคุณกฎที่เหล่าอริยะลัทธิขงจื๊อตั้งขึ้น ไม่อย่างนั้นเจ้ากับน้องชายคงกลายเป็นอาหารในจานของพ่อนานแล้ว ส่วนข้าก็น่าจะกลายเป็นของในกระเป๋าของชุยตงซาน อย่ามองว่าแต่ละแคว้นที่อยู่ตีนเขาของใต้หล้าในทุกวันนี้ตีกันไปตีกันมา พรรคบนภูเขาก็แย่งชิงกันไม่หยุด เมธีร้อยสำนักเองก็ปัดแข้งปัดขากัน แต่นี่สมควรใช้คำว่ากลียุคแล้วหรือ? ฮ่าๆ ไม่รู้ว่าหากเหตุการณ์ของเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนปรากฎขึ้นอีกครั้ง ทุกคนที่อยู่ในยุคปัจจุบันจะพากันวิ่งไปที่ศาลบุ๋นของแต่ละเขตการปกครองเพื่อโขกหัวคำนับหรือไม่?”
สำหรับ ‘เรื่องใหญ่’ พวกนี้ อู๋อี้กลับไม่มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งอะไรด้วยนัก
จิตใจของนางยังคงพะวงถึงวิธีการเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิด
ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “เจ้ามอบของอะไรสี่ชิ้นให้เฉินผิงอัน?”
อู๋อี้ตอบไปตามตรง “เลือกอย่างละชิ้นจากแต่ละชั้น หนึ่งคือเหล็กอุกกาบาตที่ฟูมฟักท่ามกลางเสียงฟ้าร้องแรกในฤดูใบไม้ผลิ แล้วหล่นลงมาในโลกมนุษย์ ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ หนักหกจิน ชิ้นหนึ่งคือชุดคลุมอาคมชั้นเยี่ยมที่ทำจากหญ้าวสันต์เป็นเสื้อตัวบางๆ ยันต์ ‘คนงามหนังจิ้งจอก’ หกแผ่นที่สกุลซวี่นครลมเย็นทำขึ้นเป็นพิเศษ เมล็ดบ๊วยสีเขียวชิ้นหนึ่งที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น พอฝังไว้ใต้ดิน ระยะเวลาหนึ่งปีก็เติบโตกลายเป็นต้นหยางเหมยที่มีอายุยาวนานเป็นพันปี ทุกๆ ครั้งที่ถึงวันเปลี่ยนยี่สิบสี่ฤดูกาลก็จะแผ่ปราณวิญญาณออกมา ก่อนหน้านี้พรรคหลิงอวิ้นได้ส่งบรรพจารย์คนหนึ่งมา หมายจะทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อไป แต่ข้าก็ตัดใจขายไม่ลง”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “แรงไฟกำลังพอดี” (อุปมาถึงความชำนาญ/เปรียบเปรยถึงช่วงเวลาสำคัญที่กำลังคับขัน)
ผู้เฒ่าพลันหัวเราะ “อย่าทิ้งสายตาให้คนตาบอดดูอีกเลย องค์เทพขุนเขาเหนือเว่ยป้อย่อมต้องอธิบายให้เฉินผิงอันฟังอย่างชัดเจน แต่ก่อนที่จะเป็นเช่นนั้น…เฉินผิงอันต้องเดินทางไปให้ถึงภูเขาลั่วพั่วเสียก่อน นี่ก็คือผลลัพธ์จากการประลองฝีมือระหว่างราชครูชุยฉานกับชุยตงซาน”
อู๋อี้ฟังความนัยที่น่าตะลึงในคำพูดนี้ออก ชุยฉานกับชุยตงซานประลองฝีมือกัน? แต่นางยังคงยึดติดอยู่กับคำกล่าวที่ว่า ‘ระหว่างคนและเทพ’ จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปการวิงวอนขอร้อง “ท่านพ่อ หากข้าสามารถเลื่อนขั้นสู่ก่อกำเนิดได้จะไม่ยิ่งช่วยท่านพ่อทำธุระได้มากกว่าเดิมหรอกหรือ?”
ผู้เฒ่ากลับเก็บเรือลำเล็ก สลายวิชาอภินิหารฟ้าดินขนาดเล็กทิ้งไป ทะยานร่างวูบย้อนกลับไปยังภูเขาพีอวิ๋นของต้าหลี
ทิ้งอู๋อี้ที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มและหวาดกลัวไว้เพียงลำพัง
ระยะเวลาร้อยปี
คืออายุขัยยาวนานที่คนธรรมดาปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน แต่ในสายตาของอู๋อี้ จะนับเป็นอะไรได้?
……
เทพลำคลองศาลจีเซียงกระตือรือร้นเกินความจำเป็นมาตลอดทาง เฉินผิงอันจึงได้แต่เอาจูเหลี่ยนออกมาต้านรับหายนะครั้งนี้แทน
เพียงไม่นานจูเหลี่ยนก็เรียกขานกับเทพวารีลำคลองเถี่ยเชวี่ยนเป็นพี่เป็นน้อง พอไปถึงท่าเรือ คนทั้งสองต่างก็อาลัยอาวรณ์ที่จะต้องแยกจากกัน เทพลำคลองเรียกจูเหลี่ยนว่าพี่ใหญ่ได้อย่างคล่องปากและจริงใจยิ่ง
เทพลำคลองขับเรือข้ามฟากกลับไป เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนดึงสายตากลับมา เฉินผิงอันยิ้มถามว่า “คุยอะไรกันถึงได้ถูกคอกันขนาดนี้”
จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “ผู้ชายยังจะคุยอะไรกันได้อีกเล่า ก็เรื่องผู้หญิงไง พูดถึงฮูหยินเซียวหลวนนั่นมาเสียครึ่งทาง”
เฉินผิงอันจึงคร้านจะพูดอะไรอีก
จูเหลี่ยนพลันกล่าวด้วยสีหน้าเขินอาย “นายน้อย วันหน้าหากเจอเหตุการณ์ที่ยุทธภพอันตรายอีก ขอให้บ่าวเฒ่าช่วยแบ่งเบาภาระได้หรือไม่? บ่าวเฒ่าเองก็ถือว่าเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพแล้ว ไม่กลัวที่จะฝ่าลมฝ่าคลื่นมรสุมมากที่สุด องค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำอย่างฮูหยินเซียวหลวนนี้ บ่าวเฒ่ากลับไม่กล้าคาดหวังว่าจะคว้ามาไว้ในมือได้สำเร็จ แต่ขอแค่ปลดปล่อยฝีมืออย่างเต็มที่ งัดเอาความมีเสน่ห์น้อยนิดของปีนั้นออกมาจากซอกเล็บ สาวใช้ที่อยู่ข้างกายฮูหยินเซียวหลวน และยังมีพวกผู้ฝึกตนหญิงของจวนจื่อหยางพวกนั้น อย่างมากสุดก็แค่สามวัน…”
เฉินผิงอันรีบตัดบทคำพูดของจูเหลี่ยน ถึงอย่างไรเผยเฉียนก็ยังอยู่ข้างกาย อายุของแม่หนูน้อยยังไม่มาก แต่กลับจะยิ่งจดจำคำพูดเหล่านี้ได้ดีเป็นพิเศษ ตั้งใจยิ่งกว่ายามเรียนหนังสือเสียอีก
จูเหลี่ยนยังคงไม่ยอมแพ้ พูดพึมพำว่า “นายน้อย น้ำและดินของสถานที่หนึ่งเลี้ยงผู้คนแบบหนึ่ง ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนอันเป็นบ้านเกิดคงต้องมีสาวงามมากมายดุจก้อนเมฆเลยกระมัง?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “หากพูดถึงเรื่องหน้าตาแล้ว ดูเหมือนจะไม่ต่างจากพวกชาวบ้านในเมืองเล็กสักเท่าไหร่”
จูเหลี่ยนทอดถอนใจ “ความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบแท้ๆ”
แต่เพียงไม่นานจูเหลี่ยนก็กล่าวว่า “บ่าวเฒ่าบังอาจพูดคุยถึงเรื่องบางอย่างของซุนเติงเซียนกับน้องเล็กเทพลำคลองโดยพลการ คาดว่าวันหน้าต่อให้ซุนเติงเซียนไปเจอปัญหาในแคว้นหวงถิง ขอแค่น้องเล็กเทพลำคลองที่เชี่ยวชาญการศึกษาค้นคว้าได้ยินเข้า ไม่แน่ว่าอาจจะพอช่วยซุนเติงเซียนได้บ้าง เพียงแต่ว่านายน้อยเองก็ต้องเตรียมตัวให้ดี ต่อให้อยู่ห่างไกล มีพันภูเขาหมื่นแม่น้ำกางกั้น เทพลำคลองศาลจีเซิงก็คงยังไปขอความดีความชอบจากนายน้อยอยู่บ่อยครั้ง”
เฉินผิงอันยกนิ้วโป้งให้จูเหลี่ยน “เรื่องนี้ทำได้ดีเยี่ยม”
จูเหลี่ยนกล่าวอย่างสงสัย “เหตุใดนายน้อยถึงได้เลื่อมใสซุนเติงเซียนมากขนาดนี้?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่ลังเล “เพราะเขาคือจอมยุทธใหญ่อย่างไรล่ะ พวกเราท่องอยู่ในยุทธภพ ไม่เลื่อมใสจอมยุทธใหญ่ หรือจะให้ไปเลื่อมใสโจรเด็ดบุปผาเล่า”
จูเหลี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “นายน้อย ข้าจูเหลี่ยนไม่ใช่โจรเด็ดบุปผานะ! ข้าเป็นคนมีเสน่ห์โด่งดัง…”
ประโยคเดียวของเฉินผิงอันก็ทำให้จูเหลี่ยนชะงักได้ทันที “เจ้าโม้มากกว่ากระมัง”
เผยเฉียนโคลงศีรษะ พูดราดน้ำมันลงบนกองเพลิงด้วยน้ำเสียงเลียนแบบเฉินผิงอัน “เจ้าโม้มากกว่ากระมัง”
จูเหลี่ยนทำท่ายกเท้า ทำเอาเผยเฉียนตกใจรีบวิ่งหนีไปไกล
เฉินผิงอันยังคงไม่เลือกด่านเหย่ฟูเป็นเส้นทางเข้าอาณาเขตเฉกเช่นครั้งแรกที่เดินทางกลับจากต้าสุยไปถึงบ้านเกิด
ไปถึงอำเภอเฟิงหย่าที่อยู่ริมชายแดนแคว้นหวงถิงอีกครั้ง เมื่อมาถึงที่นี่ก็หมายความว่าอยู่ห่างจากเขตการปกครองหลงเฉวียนไม่ถึงหกร้อยลี้
เมื่อขยับเดินหน้าไปอีกนิดก็จะผ่านสะพานไม้เลียบติดหน้าผาระยะทางยาวไกลเส้นหนึ่ง ครั้งนั้นข้างกายมีเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู ท่ามกลางลมหิมะหวีดหวิว เฉินผิงอันหยุดพักเท้าก่อไฟ แล้วก็ได้พบกับนายบ่าวคู่หนึ่งที่ผ่านทางมาโดยบังเอิญ
ยิ่งเฉินผิงอันใคร่ครวญถึงสีหน้าอันอบอุ่นและบุคลิกอันสุขุมเยือกเย็นของบุรุษผู้นั้นก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาน่าจะเป็นยอดฝีมือที่ฝีมือสูงส่งมากคนหนึ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!