กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 426

จูเหลี่ยนค้นพบว่าเมื่อเฉินผิงอันขี่กระบี่กลับมาที่สะพานไม้เลียบหน้าผา บนร่างของเขากลับให้ความรู้สึกบางอย่างที่แตกต่างออกไป

นั่นคือความรู้สึกที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง

จูเหลี่ยนเองก็อยู่กับเฉินผิงอันมานานแล้วถึงสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเบาบางอันมหัศจรรย์นี้ มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับ…ลมฤดูใบไม้ผลิพัดให้ผิวน้ำในบ่อเกิดระลอกคลื่น

เฉินผิงอันบอกให้เผยเฉียนที่รอเขาอยู่นานไปนอนก่อน ก่อนจะเรียกให้จูเหลี่ยนมาดื่มด้วยกันอีกครั้งอย่างที่หาได้ยาก คนทั้งสองนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงริมหน้าผาด้านนอกสะพานไม้ จูเหลี่ยนยิ้มถามว่า “มองดูเหมือนว่านายน้อยจะอารมณ์ดี? เพราะความรู้สึกที่ได้ขี่กระบี่เดินทางไกลยอดเยี่ยมมากเป็นพิเศษ?”

เฉินผิงอันถามกลับ “เจ้ายังจำเฉาสือได้ไหม?”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ชื่อนี้ บ่าวเฒ่าจะลืมได้อย่างไร ตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ นายน้อยแพ้เขาติดต่อกันตั้งสามครั้ง คนที่ทำให้นายน้อยยอมรับความพ่ายแพ้ได้ทั้งกายทั้งใจ บ่าวเฒ่าหวังจะให้ตัวเองได้พบหน้าเขาตั้งแต่พรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ จากนั้นก็ต่อยเขาให้ตายด้วยหมัดสองหมัด วันหน้าเขาจะได้ไม่ต้องแย่งชิงโชคชะตาบู๊ของใต้หล้าไปจากนายน้อย ถ่วงรั้งไม่ให้นายน้อยเลื่อนสู่ขอบเขตสิบเอ็ด ขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้ในตำนาน”

เฉินผิงอันไม่ได้ถือสาคำพูดประจบเอาใจและคำหยอกล้อเหล่านี้ของจูเหลี่ยน เขาดื่มเหล้าเนิบนาบพลางกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่มีความเป็นไปได้ว่าเฉาสือจะฝ่าทะลุขอบเขตอีกครั้งแล้ว”

จูเหลี่ยนถามอย่างประหลาดใจ “แล้วทำไมนายน้อยถึงยังรู้สึกดีใจ? เก้าอี้อันดับหนึ่งของใต้หล้านี้ไม่อาจนั่งกันได้สองคน แน่นอนว่าหากจะพูดเรื่องถึงนี้ตอนนี้ ระหว่างนายน้อยกับเฉาสือก็นับว่ายังเร็วไปนัก”

เฉินผิงอันจิบเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่คำเล็กๆ ถามว่า “เจ้าว่าผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างพวกเราฝึกหมัดเรียนวรยุทธกันไปเพื่ออะไร?”

จูเหลี่ยนยิ้มตอบ “แน่นอนว่าเพื่อให้หลุดพ้น ได้รับอิสระอันยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดที่อยากทำก็ล้วนทำได้สำเร็จ เมื่อเจอเรื่องที่ไม่เต็มใจจะทำก็สามารถพูดคำว่า ‘ไม่’ ได้ อันดับหนึ่งในใต้หล้าทุกคนในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัว แม้จะบอกว่าต่างคนต่างมีสิ่งที่ตัวเองแสวงหา แตกต่างกันออกไป แต่มองจากทิศทางคร่าวๆ แล้วกลับเหมือนกัน สุยโย่วเปียน หลูป๋ายเซี่ยง เว่ยเซี่ยน และข้าจูเหลี่ยน ล้วนเป็นเหมือนกันหมด เพียงแต่ว่าถึงอย่างไรพื้นที่มงคลดอกบัวก็ยังเป็นแค่สถานที่เล็กๆ ทุกคนจึงสัมผัสถึงความเป็นอมตะมิดับสลายได้ไม่ลึกซึ้งนัก ต่อให้พวกเราจะเป็นคนที่ยืนในจุดที่สูงที่สุดของใต้หล้าแล้ว แต่ก็ยังไม่คิดไปทางนั้นให้มากความ เพราะพวกเราไม่เคยรู้ว่าที่แท้ยังมี ‘บนฟ้า’ ใต้หล้าไพศาลแข็งแกร่งกว่าพวกเรามากเกินไป ในข้อของการเยี่ยมเยียนเซียนขอความรู้ เว่ยเซี่ยนเดินไปได้ไกลที่สุด ก็คนเป็นฮ่องเต้นี้นะ ถูกขุนนางและชาวบ้านแซ่ซ้องอวยพรให้อายุยืนหมื่นปีนานวันเข้า ก็ย่อมต้องคิดอยากจะมีชีวิตยืนยาวหมื่นปี หมื่นๆ ปีบ้างล่ะ”

เฉินผิงอันชี้มาที่ตัวเอง “เรื่องราวบางอย่างในอดีต ข้าไม่ได้เล่าให้เจ้าฟังมากนัก ช่วงแรกเริ่มสุดที่ข้าฝึกหมัดก็เพราะถูกคนสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะ จำเป็นต้องอาศัยการฝึกหมัดมาต่อชีวิต ก็เลยยืนหยัดฝึกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งสะพายกระบี่เล่มที่หร่วนฉงหลอมเดินไปทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวเพื่อนำมันไปส่งให้กับแม่นางหนิงตามสัญญา รอจนข้าได้ออกเดินทางไกลแสนไกล ในที่สุดก็ไปถึงภูเขาห้อยหัว ข้าก็แทบจะฝึกหมัดครบหนึ่งล้านครั้งแล้ว อันที่จริงตอนนั้นลึกๆ ในใจของข้าเกิดความกังขาขึ้นมานิดๆ ในเมื่อไม่จำเป็นต้องฝึกหมัดเพื่อต่อชีวิตอีกแล้ว และข้าเฉินผิงอันก็ไม่ใช่คนที่ชอบช่วงชิงความเป็นที่หนึ่งไปซะทุกเรื่อง ถ้าอย่างนั้นอันต่อไปควรจะทำอย่างไร?”

“กลายเป็นจูเหอคนต่อไป? ไม่ยากแล้ว หรือว่าจะเป็นซ่งอวี่เซาแห่งแคว้นซูสุ่ยคนถัดไป ก็ไม่ถือว่ายาก หรือว่าจะยังก้มหน้าก้มตาฝึกหมัดอีกหนึ่งล้านครั้ง นั่นก็น่าจะพอมีหวังว่าจะมีมาดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองแล้วไม่ใช่หรือ? ต้องรู้ว่าตอนนั้นข้าอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ที่นั่นคือสถานที่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากที่สุดในใต้หล้า ห่างจากสถานที่ที่ข้าพักอาศัยไปไม่กี่ก้าว มีกระท่อมหลังหนึ่งที่ในนั้นมีผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ที่มีประสบการณ์มากที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่อาศัยอยู่ ใต้ฝ่าเท้าของข้ามีตัวอักษรที่ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่สลักไว้ แล้วก็มีตัวอักษรที่อาเหลียงสลักไว้ เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากเปลี่ยนไปฝึกกระบี่หรือ? อยากมากเลยล่ะ”

“ดังนั้นตอนนั้นข้าถึงได้รีบร้อนอยากจะสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่ขนาดนั้น ถึงขั้นเคยคิดว่า ในเมื่อไม่ควรทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นก็ควรล้มเลิกการฝึกหมัด พยายามอย่างเต็มที่เพื่อกลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ ฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมา สุดท้ายกลายเป็นเซียนกระบี่ กลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่อย่างสมชื่อดีหรือไม่? แน่นอนว่าข้าอยากทำมาก เพียงแต่คำพูดแบบนี้ ข้าไม่กล้าพูดกับแม่นางหนิงก็เท่านั้น เพราะกลัวนางจะรู้สึกว่าข้าไม่ใช่คนที่มุ่งมั่นตั้งใจ ขนาดกับการฝึกหมัดยังทำเช่นนี้ คิดจะเลิกก็เลิก ถ้าอย่างนั้นกับนางก็จะเป็นเหมือนกันหรือไม่?”

จูเหลี่ยนดื่มเหล้าอึกใหญ่ “บ่าวเฒ่ารู้จักกับนายน้อยช้าเกินไป ถึงขนาดพลาดรสชาติชีวิตของเด็กหนุ่มที่วันหน้านายน้อยอาจจะสัมผัสไม่ได้อีกครั้งไป ต้องดื่มเหล้าดับความเสียดายในใจอึกใหญ่”

เฉินผิงอันแหงนหน้า สองแขนกอดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่พลางตบเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ตอนนั้นข้าได้พบกับเฉาสือ ดังนั้นข้าจึงซาบซึ้งในตัวเขามาก เพียงแต่ไม่อาจพูดออกมาก็เท่านั้น”

เฉินผิงอันชี้มาที่ตัวเองอีกครั้ง แล้วค่อยชี้ไปยังหน้าผาของภูเขาสูงชันลูกที่อยู่ตรงข้ามกับสะพานไม้ “เฉาสืออาจจะอยู่ที่นั่น ข้าห่างชั้นกับเขาไกลนัก แม้ข้าไม่ได้ตั้งใจแสวงหาอันดับหนึ่งของขอบเขตวรยุทธอะไร แต่ข้าก็ไม่ใช่คนโง่ ใครบ้างที่ไม่เต็มใจให้ตัวเองเป็นอันดับหนึ่ง? แน่นอนว่าต้องอยากเป็นอันดับหนึ่ง ข้าก็แค่…เต็มใจที่จะเป็นช้าสักหน่อย ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนราวระเบียงของหอเก็บสมบัติจวนจื่อหยาง ข้าใคร่ครวญถึงคำว่าช้าไปเรื่อยเปื่อย แต่ก็ทำให้เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ขึ้นอีกไม่น้อย หากย้อนสืบสาวกันไปที่ต้นกำเนิดแล้ว อันที่จริงนับตั้งแต่ตอนที่ข้าขึ้นรูปเครื่องปั้นเมื่อครั้งยังเป็นลูกศิษย์เตาเผามังกร อันที่จริงก็ได้สัมผัสกับคำนี้แล้ว ผู้เฒ่าเหยารังเกียจที่ข้าไม่มีพรสวรรค์ จึงไม่เคยเต็มใจจะสอนหลักการแก่ข้า ถึงขั้นไม่ชอบพูดคุยกับข้าด้วยซ้ำ แต่ตอนนั้นข้าเห็นการเผาเครื่องปั้นเป็นรากฐานในการมีชีวิตอยู่ต่อไป ควรจะทำอย่างไรล่ะ ในเมื่อผู้เฒ่าเหยาไม่สอน ถ้าอย่างนั้นข้าก็คอยแอบฟังเวลาที่เขาพูดคุยกับหลิวเสี้ยนหยางหรือกับลูกศิษย์คนอื่นอยู่หลายๆ ครั้ง ผู้เฒ่าเหยาบอกกับพวกเขาว่าใจต้องนิ่ง มือถึงจะมั่นคง ถึงจะเปลี่ยนจากเชื่องช้าไร้ข้อผิดพลาดไปเป็นว่องไวแต่ถูกต้อง ตามหลักแล้ว ดูเหมือนข้าก็ควรจะรู้หลักการนี้มาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ? ข้าก็จำได้แม่นไม่ใช่หรือ? อันที่จริงกลับยังไม่ใช่ มีเพียงตอนที่ข้าได้ออกเดินทางไกล ได้พบเห็นผู้คนมากมาย หลักการเหตุผลหลายอย่างที่ไม่มีเท้าให้เดินหนีถึงจะเป็นอย่างที่เจ้าขุนเขาเหมาว่าไว้ นั่นคือเมื่ออยู่ในใจแล้ว หลักการเหตุผลนั้นถึงจะกลายมาเป็นของตัวเอง”

“เมื่อเฉาสือปรากฎตัวข้าก็รู้แล้วว่า ที่แท้ในบรรดาคนวัยเดียวกันไม่ได้มีเพียงแค่หม่าขู่เสวียน ยังมีเฉาสืออีกคน ต่อให้เฉาสือจะโดดเด่นสะดุดตาแค่ไหน ข้ากลับไม่รู้สึกรังเกียจเขา ไม่อิจฉาเขา อย่างมากก็แค่ผิดหวังเล็กน้อย อยู่ข้างกายแม่นางที่ตัวเองรัก อยู่ต่อหน้านาง แต่กลับแพ้ให้คนอื่นถึงสามครั้ง ในใจข้าย่อมไม่สบอารมณ์ ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงตัดสินใจได้ว่า สักวันหนึ่งไม่ว่าวันหน้าขอบเขตวิถีวรยุทธของเฉาสือจะสูงแค่ไหน คนนอกจะพูดว่าเขาคือตัวอ่อนโชคชะตาบู๊ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์และจะไม่ปรากฏในอนาคตอย่างไร ข้าก็จะต้องพยายามทำให้เขาแพ้ข้าสามครั้งติดให้จงได้!”

สีหน้าเฉินผิงอันเยือกเย็น แต่แววตากลับส่องประกายวาววับ “มีเพียงวิชาหมัดเหนือกว่า!”

จูเหลี่ยนตบเข่าฉาด “ประเสริฐ! ปณิธานของนายน้อยสูงส่งยาวไกลยิ่ง!”

เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ทอดสายตามองไกลๆ ไปยังหน้าผาที่อยู่ตรงข้าม ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ข้าพูดก็เพราะเมาหรอกนะ”

จูเหลี่ยนคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นคนที่เข้าใจคนอื่นดีที่สุด ไม่ทำลายบรรยากาศมากที่สุด เหล้าใหม่ไหหนึ่งเปิดผนึกดินแล้ว พอวางลงก็แค่ต้องรอก่อนเท่านั้น ไหนเลยจะต้องรีบร้อนเปิดออกมาดมซ้ำอีกรอบ ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงเริ่มเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา “ดูเหมือนว่าตลอดทางที่เดินทางกันมานี้ นายน้อยจะกำลังกังวลกับอะไรบางอย่าง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าเองก็คอยจับสังเกตสถานการณ์ใหญ่ของแคว้นต้าหลีอยู่เหมือนกัน ไม่แปลกใจบ้างเลยหรือว่าทั้งๆ ที่ราชครูซิ่วหู่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการวางแผนวางหมากที่อื่นและกำลังรวบแหเก็บปลา แต่เหตุใดชุยตงซานถึงได้มาปรากฏตัวที่สำนักศึกษาซานหยา?”

จูเหลี่ยนถาม “วิชาอภินิหารห้าขอบเขตบนมิอาจจินตนาการได้ แยกวิญญาณออกจากกันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกกระมัง? ข้างกายพวกเราก็มีสือโหรวที่อาศัยอยู่ในคราบร่างเซียนนี่นา”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ชุยฉานกับชุยตงซานกลายเป็นคนสองคนแล้ว อีกทั้งยังเริ่มเดินไปบนมหามรรคาที่ไม่เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าคนสองคนที่จิตใจเหมือนกัน นิสัยเหมือนกัน วันหน้าควรจะอยู่ร่วมกันอย่างไร?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!