กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 426

สรุปบท บทที่ 426.1 กลับมาท่องเที่ยวที่เดิม น้ำใสลมเย็น: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

อ่านสรุป บทที่ 426.1 กลับมาท่องเที่ยวที่เดิม น้ำใสลมเย็น จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บทที่ บทที่ 426.1 กลับมาท่องเที่ยวที่เดิม น้ำใสลมเย็น คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

จูเหลี่ยนค้นพบว่าเมื่อเฉินผิงอันขี่กระบี่กลับมาที่สะพานไม้เลียบหน้าผา บนร่างของเขากลับให้ความรู้สึกบางอย่างที่แตกต่างออกไป

นั่นคือความรู้สึกที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง

จูเหลี่ยนเองก็อยู่กับเฉินผิงอันมานานแล้วถึงสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเบาบางอันมหัศจรรย์นี้ มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับ…ลมฤดูใบไม้ผลิพัดให้ผิวน้ำในบ่อเกิดระลอกคลื่น

เฉินผิงอันบอกให้เผยเฉียนที่รอเขาอยู่นานไปนอนก่อน ก่อนจะเรียกให้จูเหลี่ยนมาดื่มด้วยกันอีกครั้งอย่างที่หาได้ยาก คนทั้งสองนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงริมหน้าผาด้านนอกสะพานไม้ จูเหลี่ยนยิ้มถามว่า “มองดูเหมือนว่านายน้อยจะอารมณ์ดี? เพราะความรู้สึกที่ได้ขี่กระบี่เดินทางไกลยอดเยี่ยมมากเป็นพิเศษ?”

เฉินผิงอันถามกลับ “เจ้ายังจำเฉาสือได้ไหม?”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ชื่อนี้ บ่าวเฒ่าจะลืมได้อย่างไร ตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ นายน้อยแพ้เขาติดต่อกันตั้งสามครั้ง คนที่ทำให้นายน้อยยอมรับความพ่ายแพ้ได้ทั้งกายทั้งใจ บ่าวเฒ่าหวังจะให้ตัวเองได้พบหน้าเขาตั้งแต่พรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ จากนั้นก็ต่อยเขาให้ตายด้วยหมัดสองหมัด วันหน้าเขาจะได้ไม่ต้องแย่งชิงโชคชะตาบู๊ของใต้หล้าไปจากนายน้อย ถ่วงรั้งไม่ให้นายน้อยเลื่อนสู่ขอบเขตสิบเอ็ด ขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้ในตำนาน”

เฉินผิงอันไม่ได้ถือสาคำพูดประจบเอาใจและคำหยอกล้อเหล่านี้ของจูเหลี่ยน เขาดื่มเหล้าเนิบนาบพลางกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่มีความเป็นไปได้ว่าเฉาสือจะฝ่าทะลุขอบเขตอีกครั้งแล้ว”

จูเหลี่ยนถามอย่างประหลาดใจ “แล้วทำไมนายน้อยถึงยังรู้สึกดีใจ? เก้าอี้อันดับหนึ่งของใต้หล้านี้ไม่อาจนั่งกันได้สองคน แน่นอนว่าหากจะพูดเรื่องถึงนี้ตอนนี้ ระหว่างนายน้อยกับเฉาสือก็นับว่ายังเร็วไปนัก”

เฉินผิงอันจิบเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่คำเล็กๆ ถามว่า “เจ้าว่าผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างพวกเราฝึกหมัดเรียนวรยุทธกันไปเพื่ออะไร?”

จูเหลี่ยนยิ้มตอบ “แน่นอนว่าเพื่อให้หลุดพ้น ได้รับอิสระอันยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดที่อยากทำก็ล้วนทำได้สำเร็จ เมื่อเจอเรื่องที่ไม่เต็มใจจะทำก็สามารถพูดคำว่า ‘ไม่’ ได้ อันดับหนึ่งในใต้หล้าทุกคนในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัว แม้จะบอกว่าต่างคนต่างมีสิ่งที่ตัวเองแสวงหา แตกต่างกันออกไป แต่มองจากทิศทางคร่าวๆ แล้วกลับเหมือนกัน สุยโย่วเปียน หลูป๋ายเซี่ยง เว่ยเซี่ยน และข้าจูเหลี่ยน ล้วนเป็นเหมือนกันหมด เพียงแต่ว่าถึงอย่างไรพื้นที่มงคลดอกบัวก็ยังเป็นแค่สถานที่เล็กๆ ทุกคนจึงสัมผัสถึงความเป็นอมตะมิดับสลายได้ไม่ลึกซึ้งนัก ต่อให้พวกเราจะเป็นคนที่ยืนในจุดที่สูงที่สุดของใต้หล้าแล้ว แต่ก็ยังไม่คิดไปทางนั้นให้มากความ เพราะพวกเราไม่เคยรู้ว่าที่แท้ยังมี ‘บนฟ้า’ ใต้หล้าไพศาลแข็งแกร่งกว่าพวกเรามากเกินไป ในข้อของการเยี่ยมเยียนเซียนขอความรู้ เว่ยเซี่ยนเดินไปได้ไกลที่สุด ก็คนเป็นฮ่องเต้นี้นะ ถูกขุนนางและชาวบ้านแซ่ซ้องอวยพรให้อายุยืนหมื่นปีนานวันเข้า ก็ย่อมต้องคิดอยากจะมีชีวิตยืนยาวหมื่นปี หมื่นๆ ปีบ้างล่ะ”

เฉินผิงอันชี้มาที่ตัวเอง “เรื่องราวบางอย่างในอดีต ข้าไม่ได้เล่าให้เจ้าฟังมากนัก ช่วงแรกเริ่มสุดที่ข้าฝึกหมัดก็เพราะถูกคนสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะ จำเป็นต้องอาศัยการฝึกหมัดมาต่อชีวิต ก็เลยยืนหยัดฝึกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งสะพายกระบี่เล่มที่หร่วนฉงหลอมเดินไปทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวเพื่อนำมันไปส่งให้กับแม่นางหนิงตามสัญญา รอจนข้าได้ออกเดินทางไกลแสนไกล ในที่สุดก็ไปถึงภูเขาห้อยหัว ข้าก็แทบจะฝึกหมัดครบหนึ่งล้านครั้งแล้ว อันที่จริงตอนนั้นลึกๆ ในใจของข้าเกิดความกังขาขึ้นมานิดๆ ในเมื่อไม่จำเป็นต้องฝึกหมัดเพื่อต่อชีวิตอีกแล้ว และข้าเฉินผิงอันก็ไม่ใช่คนที่ชอบช่วงชิงความเป็นที่หนึ่งไปซะทุกเรื่อง ถ้าอย่างนั้นอันต่อไปควรจะทำอย่างไร?”

“กลายเป็นจูเหอคนต่อไป? ไม่ยากแล้ว หรือว่าจะเป็นซ่งอวี่เซาแห่งแคว้นซูสุ่ยคนถัดไป ก็ไม่ถือว่ายาก หรือว่าจะยังก้มหน้าก้มตาฝึกหมัดอีกหนึ่งล้านครั้ง นั่นก็น่าจะพอมีหวังว่าจะมีมาดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองแล้วไม่ใช่หรือ? ต้องรู้ว่าตอนนั้นข้าอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ที่นั่นคือสถานที่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากที่สุดในใต้หล้า ห่างจากสถานที่ที่ข้าพักอาศัยไปไม่กี่ก้าว มีกระท่อมหลังหนึ่งที่ในนั้นมีผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ที่มีประสบการณ์มากที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่อาศัยอยู่ ใต้ฝ่าเท้าของข้ามีตัวอักษรที่ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่สลักไว้ แล้วก็มีตัวอักษรที่อาเหลียงสลักไว้ เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากเปลี่ยนไปฝึกกระบี่หรือ? อยากมากเลยล่ะ”

“ดังนั้นตอนนั้นข้าถึงได้รีบร้อนอยากจะสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่ขนาดนั้น ถึงขั้นเคยคิดว่า ในเมื่อไม่ควรทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นก็ควรล้มเลิกการฝึกหมัด พยายามอย่างเต็มที่เพื่อกลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ ฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมา สุดท้ายกลายเป็นเซียนกระบี่ กลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่อย่างสมชื่อดีหรือไม่? แน่นอนว่าข้าอยากทำมาก เพียงแต่คำพูดแบบนี้ ข้าไม่กล้าพูดกับแม่นางหนิงก็เท่านั้น เพราะกลัวนางจะรู้สึกว่าข้าไม่ใช่คนที่มุ่งมั่นตั้งใจ ขนาดกับการฝึกหมัดยังทำเช่นนี้ คิดจะเลิกก็เลิก ถ้าอย่างนั้นกับนางก็จะเป็นเหมือนกันหรือไม่?”

จูเหลี่ยนดื่มเหล้าอึกใหญ่ “บ่าวเฒ่ารู้จักกับนายน้อยช้าเกินไป ถึงขนาดพลาดรสชาติชีวิตของเด็กหนุ่มที่วันหน้านายน้อยอาจจะสัมผัสไม่ได้อีกครั้งไป ต้องดื่มเหล้าดับความเสียดายในใจอึกใหญ่”

เฉินผิงอันแหงนหน้า สองแขนกอดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่พลางตบเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ตอนนั้นข้าได้พบกับเฉาสือ ดังนั้นข้าจึงซาบซึ้งในตัวเขามาก เพียงแต่ไม่อาจพูดออกมาก็เท่านั้น”

เฉินผิงอันชี้มาที่ตัวเองอีกครั้ง แล้วค่อยชี้ไปยังหน้าผาของภูเขาสูงชันลูกที่อยู่ตรงข้ามกับสะพานไม้ “เฉาสืออาจจะอยู่ที่นั่น ข้าห่างชั้นกับเขาไกลนัก แม้ข้าไม่ได้ตั้งใจแสวงหาอันดับหนึ่งของขอบเขตวรยุทธอะไร แต่ข้าก็ไม่ใช่คนโง่ ใครบ้างที่ไม่เต็มใจให้ตัวเองเป็นอันดับหนึ่ง? แน่นอนว่าต้องอยากเป็นอันดับหนึ่ง ข้าก็แค่…เต็มใจที่จะเป็นช้าสักหน่อย ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนราวระเบียงของหอเก็บสมบัติจวนจื่อหยาง ข้าใคร่ครวญถึงคำว่าช้าไปเรื่อยเปื่อย แต่ก็ทำให้เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ขึ้นอีกไม่น้อย หากย้อนสืบสาวกันไปที่ต้นกำเนิดแล้ว อันที่จริงนับตั้งแต่ตอนที่ข้าขึ้นรูปเครื่องปั้นเมื่อครั้งยังเป็นลูกศิษย์เตาเผามังกร อันที่จริงก็ได้สัมผัสกับคำนี้แล้ว ผู้เฒ่าเหยารังเกียจที่ข้าไม่มีพรสวรรค์ จึงไม่เคยเต็มใจจะสอนหลักการแก่ข้า ถึงขั้นไม่ชอบพูดคุยกับข้าด้วยซ้ำ แต่ตอนนั้นข้าเห็นการเผาเครื่องปั้นเป็นรากฐานในการมีชีวิตอยู่ต่อไป ควรจะทำอย่างไรล่ะ ในเมื่อผู้เฒ่าเหยาไม่สอน ถ้าอย่างนั้นข้าก็คอยแอบฟังเวลาที่เขาพูดคุยกับหลิวเสี้ยนหยางหรือกับลูกศิษย์คนอื่นอยู่หลายๆ ครั้ง ผู้เฒ่าเหยาบอกกับพวกเขาว่าใจต้องนิ่ง มือถึงจะมั่นคง ถึงจะเปลี่ยนจากเชื่องช้าไร้ข้อผิดพลาดไปเป็นว่องไวแต่ถูกต้อง ตามหลักแล้ว ดูเหมือนข้าก็ควรจะรู้หลักการนี้มาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ? ข้าก็จำได้แม่นไม่ใช่หรือ? อันที่จริงกลับยังไม่ใช่ มีเพียงตอนที่ข้าได้ออกเดินทางไกล ได้พบเห็นผู้คนมากมาย หลักการเหตุผลหลายอย่างที่ไม่มีเท้าให้เดินหนีถึงจะเป็นอย่างที่เจ้าขุนเขาเหมาว่าไว้ นั่นคือเมื่ออยู่ในใจแล้ว หลักการเหตุผลนั้นถึงจะกลายมาเป็นของตัวเอง”

“เมื่อเฉาสือปรากฎตัวข้าก็รู้แล้วว่า ที่แท้ในบรรดาคนวัยเดียวกันไม่ได้มีเพียงแค่หม่าขู่เสวียน ยังมีเฉาสืออีกคน ต่อให้เฉาสือจะโดดเด่นสะดุดตาแค่ไหน ข้ากลับไม่รู้สึกรังเกียจเขา ไม่อิจฉาเขา อย่างมากก็แค่ผิดหวังเล็กน้อย อยู่ข้างกายแม่นางที่ตัวเองรัก อยู่ต่อหน้านาง แต่กลับแพ้ให้คนอื่นถึงสามครั้ง ในใจข้าย่อมไม่สบอารมณ์ ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงตัดสินใจได้ว่า สักวันหนึ่งไม่ว่าวันหน้าขอบเขตวิถีวรยุทธของเฉาสือจะสูงแค่ไหน คนนอกจะพูดว่าเขาคือตัวอ่อนโชคชะตาบู๊ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์และจะไม่ปรากฏในอนาคตอย่างไร ข้าก็จะต้องพยายามทำให้เขาแพ้ข้าสามครั้งติดให้จงได้!”

สีหน้าเฉินผิงอันเยือกเย็น แต่แววตากลับส่องประกายวาววับ “มีเพียงวิชาหมัดเหนือกว่า!”

จูเหลี่ยนตบเข่าฉาด “ประเสริฐ! ปณิธานของนายน้อยสูงส่งยาวไกลยิ่ง!”

เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ทอดสายตามองไกลๆ ไปยังหน้าผาที่อยู่ตรงข้าม ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ข้าพูดก็เพราะเมาหรอกนะ”

จูเหลี่ยนคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นคนที่เข้าใจคนอื่นดีที่สุด ไม่ทำลายบรรยากาศมากที่สุด เหล้าใหม่ไหหนึ่งเปิดผนึกดินแล้ว พอวางลงก็แค่ต้องรอก่อนเท่านั้น ไหนเลยจะต้องรีบร้อนเปิดออกมาดมซ้ำอีกรอบ ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงเริ่มเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา “ดูเหมือนว่าตลอดทางที่เดินทางกันมานี้ นายน้อยจะกำลังกังวลกับอะไรบางอย่าง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าเองก็คอยจับสังเกตสถานการณ์ใหญ่ของแคว้นต้าหลีอยู่เหมือนกัน ไม่แปลกใจบ้างเลยหรือว่าทั้งๆ ที่ราชครูซิ่วหู่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการวางแผนวางหมากที่อื่นและกำลังรวบแหเก็บปลา แต่เหตุใดชุยตงซานถึงได้มาปรากฏตัวที่สำนักศึกษาซานหยา?”

จูเหลี่ยนถาม “วิชาอภินิหารห้าขอบเขตบนมิอาจจินตนาการได้ แยกวิญญาณออกจากกันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกกระมัง? ข้างกายพวกเราก็มีสือโหรวที่อาศัยอยู่ในคราบร่างเซียนนี่นา”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ชุยฉานกับชุยตงซานกลายเป็นคนสองคนแล้ว อีกทั้งยังเริ่มเดินไปบนมหามรรคาที่ไม่เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าคนสองคนที่จิตใจเหมือนกัน นิสัยเหมือนกัน วันหน้าควรจะอยู่ร่วมกันอย่างไร?”

จูเหลี่ยนมองใบหน้าด้านข้างของเฉินผิงอัน “ทหารมาเอาขุนพลต้านรับ น้ำมาเอาดินกลบ? นายน้อยช่างใจใหญ่ซะจริง”

อยู่ๆ เฉินผิงอันก็พูดอย่างสะท้อนใจ “รู้หลักการเหตุผลมากไป บางครั้งก็ทำให้ใจวุ่นวายเหมือนกัน”

เฉินผิงอันค้อมเอวลง วางสองมือทับซ้อนกัน ฝ่ามือดันอยู่ปลายด้านบนของน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ “เส้นทางที่ตัดสลับบนกระดานหมากล้อมก็คือกฎเกณฑ์ข้อแล้วข้อเล่า กฎเกณฑ์และหลักการเหตุผลล้วนเป็นของตาย ตรงไปตรงมา แต่วิถีบนโลกจะทำให้เส้นตรงพวกนี้โค้งงอ หรือถึงขั้นที่ว่าเส้นในใจของคนบางคนอาจเปลี่ยนไปเป็นวงกลมที่บิดๆ เบี้ยวๆ ก็ยังได้ นี่เรียกว่ากลบเกลื่อนคำโกหกของตัวเองกระมัง ดังนั้นใต้หล้าจึงมีคนเยอะขนาดนั้นที่แม้จะอ่านหนังสือมาเยอะ แต่ก็ยังคงไม่มีเหตุผล และคนที่พูดเองเออเองก็มีมากเหมือนกัน ซึ่งพวกเขาต่างก็มีชีวิตที่ดี เพราะการทำเช่นนั้นก็ทำให้ใจตัวเองสงบและมั่นคงได้เช่นกัน ถึงขั้นที่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่รักษากฎเกณฑ์แล้วยังมีพันธนาการน้อยกว่า จะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร ก็แค่ทำตามที่ใจตัวเองปรารถนา ไม่ว่าจะมองอย่างไรตัวเองก็มีเหตุผล ทำให้ตัวเองใช้ชีวิตได้สบายใจมากขึ้น หรือไม่ก็อาศัยสิ่งนี้มาปกปิด ทำให้ตัวเองใช้ชีวิตได้ดียิ่งกว่าเดิม สามลัทธิร้อยสำนักมีหนังสือมากมายขนาดนั้น ยกเอามาสักสองสามประโยค ยืมหลักการที่ตัวเองต้องการมาใช้ชั่วคราวก็ได้แล้ว มีอะไรยาก ไม่ยากเลยสักนิด”

จูเหลี่ยนทอดถอนใจ

กลับไปนั่งข้างกายเฉินผิงอันใหม่อีกครั้ง วางกาเหล้าที่ดื่มหมดไปแล้วโดยไม่รู้ตัวลง จูเหลี่ยนวางหมัดสองข้างไว้บนหัวเข่า ผู้เฒ่าร่างผอมแห้งที่หลังงองุ้มรู้สึกเศร้าเล็กน้อย

คำพูดจากใจจริงเหล่านี้ หากเฉินผิงอันพูดกับพวกสุยโย่วเปียน เว่ยเซี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยง คนทั้งสามคงไม่คิดอะไรลึกซึ้งนัก จิตกระบี่ของสุยโย่วเปียนใสกระจ่าง มุ่งมั่นอยู่แต่กับกระบี่ เว่ยเซี่ยนก็ยิ่งเป็นศัตรูของคนนับหมื่นบนสนามรบซึ่งเคยนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกร หลูป๋ายเซี่ยงเองก็เป็นบรรพบุรุษผู้บุกเบิกลัทธิมาร อันที่จริงการพูดเรื่องพวกนี้ล้วนไม่มีความหมายเหมือนกับ…พูดกับจูเหลี่ยน

มองดูเหมือนจูเหลี่ยนเป็นคนไม่ใส่ใจอะไร ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ล้วนเผชิญกับพวกมันได้อย่างง่ายๆ สบายๆ ไม่เคยเก็บเอาไปใส่ใจ แต่จูเหลี่ยนต่างหากที่เป็นคนซึ่งเคยพบเจอความหลากหลายในโลกมนุษย์ของพื้นที่มงคลดอกบัวมามากที่สุดในบรรดาคนทั้งสี่

มีชาติกำเนิดจากตระกูลชั้นสูงที่สืบทอดตำแหน่งขุนนางต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย รู้ถึงรสชาติของความร่ำรวยที่แท้จริงในใต้หล้า เคยเห็นกษัตริย์ แม่ทัพ อัครเสนาบดีในระยะประชิด ตั้งแต่เด็กก็มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธที่โดดเด่น และบนเส้นทางของการฝึกยุทธก็ยิ่งทิ้งห่างทุกคนไปไกลไม่เห็นฝุ่น ทว่ากลับยังคงทำตามขนบธรรมเนียมของตระกูล เข้าร่วมการสอบเคอจวี่ ได้อันดับที่สองมาครองอย่างง่ายดาย และนี่ยังคงเป็นเพราะขุนนางใหญ่ในสำนักคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นผู้คุมสอบซึ่งสนิทสนมกับผู้อาวุโสในตระกูลจงใจกดระดับขั้นของจูเหลี่ยนเอาไว้ หาไม่แล้วต่อให้ไม่ได้เป็นจ้วงหยวนก็ต้องได้เป็นปั้งเหยี่ยน ตอนนั้นจูเหลี่ยนก็คือบุรุษรูปงามที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองหลวง แค่จรดพู่กันก็สามารถเขียนบทความ เขียนงานประพันธ์ที่ยอดเยี่ยมออกมาได้ เดินทางไปท่องเที่ยวชานเมืองในฤดูใบไม้ผลิครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำให้หญิงสาวชนชั้นสูงกี่มากน้อยจิตใจหวั่นไหว แต่ผลกลับกลายเป็นว่าจูเหลี่ยนรับตำแหน่งขุนนางว่างงานที่สถานะสูงศักดิ์แค่ไม่กี่ปีก็หาข้ออ้างออกเดินทางท่องเที่ยวไปไกลนับหมื่นลี้เพียงลำพัง แต่แท้จริงแล้วก็คือออกไปเที่ยวเล่น หาประสบการณ์อยู่ในยุทธภพ

อยู่ไปอยู่มา คุณชายสูงศักดิ์เสเพลอยู่ดีๆ ก็กลายมาเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า นั่นทำให้เขากลายเป็นหลุมในใจที่เทพธิดาในยุทธจักรและจอมยุทธหญิงในยุทธภพจำนวนนับไม่ถ้วนข้ามผ่านไปไม่ได้

ภายหลังแต่ละแคว้นเกิดศึกวุ่นวาย ภูเขาแม่น้ำแตกแยกพังภินท์ จูเหลี่ยนจึงถอนตัวจากยุทธภพกลับบ้านเกิด เข้าร่วมกองทัพทำสงคราม กลายมาเป็นแม่ทัพผู้มีความรู้ที่โดดเด่น หกปีที่ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้า จูเหลี่ยนใช้แค่กลศึกเท่านั้น ไม่เคยอาศัยวรยุทธ พยายามกอบกู้สถานการณ์อย่างสุดกำลัง แล้วก็ช่วยให้ราชวงศ์ที่เหมือนอาคารใหญ่กำลังจะพังถล่มยืนหยัดมาได้อีกหลายปี เพียงแต่ด้วยแนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่ ภายหลังไม่ว่าจูเหลี่ยนจะตั้งใจประคับประคององค์ชายท่านหนึ่งเท่าไหร่ ช่วยเขาจัดการงานบ้านงานเมืองมากแค่ไหน ก็ยังคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงจุดจบที่ชะตาแคว้นต้องขาดสะบั้น สุดท้ายจูเหลี่ยนช่วยจัดการตำแหน่งที่ทางของตระกูลให้เรียบร้อย แล้วเขาก็ย้อนกลับคืนสู่ยุทธภพอีกครั้ง ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพียงลำพัง

ตามคำบอกของจูเหลี่ยน ตอนที่เขาอายุสี่สิบห้าสิบปียังคงหล่อเหลาสง่างาม เสน่ห์ของชายแก่ที่เหมือนสุรารสชาติเข้มข้นของเขายังคงทำให้เขาเป็น ‘จูหลาง’ (หลางเป็นคำเรียกบุรุษ/คำที่ผู้หญิงใช้เรียกสามีหรือคู่รักของตน) ในใจของดรุณีวัยแรกแย้มมากมาย

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!