ชุยฉานพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “หากข้าจำไม่ผิด สภาพจิตใจที่น่าสังเวชเช่นนี้ ครั้งแรกที่เกิดขึ้นก็เมื่อนานมากมาแล้ว เป็นตอนที่อยู่ชั้นบนของหอเก็บตำราของบ้านเกิดแล้วถูกท่านปู่ดึงบันไดออก ตอนนั้นอายุพอๆ กับหนังหุ้มร่างของเจ้าในเวลานี้ เพราะโกรธท่านปู่ก็เลยจงใจฉีกตำราอริยะปราชญ์เล่มหนึ่งที่ท่านปู่เลื่อมใสมากที่สุดเอามาเช็ดก้นแล้วขยำทิ้ง พอท่านปู่เห็นกองกระดาษพวกนั้นก็ไม่ได้อับอายจนพานเป็นความโกรธ ถึงขั้นไม่พูดอะไรสักคำ แล้วก็ไม่ได้ดุด่า เพียงแค่เอาบันไดกลับมาพาดให้ใหม่ แล้วถึงเดินจากไป”
ชุยฉานยิ้มกล่าว “อันที่จริงที่ข้าพูดกับเสินจวินผู้เฒ่าก็แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเรื่องของจุดที่แข็งแกร่งซึ่งซ่อนอยู่ในนิสัยอันอ่อนแอของมนุษย์ คือคำกล่าวที่พวกคนรุ่นหลังใช้คำว่า ‘เห็นอกเห็นใจ’ ‘รู้สึกร่วม’ ‘จิตเกิดความสงสาร’ มาอธิบาย ไม่ต้องสนว่าคนแต่ละคนมีพละกำลังมากเท่าไหร่ อนาคตยาวไกลแค่ไหน เพราะพวกเขาล้วนสามารถทำเรื่องโง่ที่ขนาดองค์เทพซึ่งอยู่สูงเหนือผู้ใด เฉยชาไร้ความรู้สึก บริสุทธิ์ไร้มลทินก็ยังมิอาจจินตนาการได้ถึง พวกเขาสามารถกระโจนเข้าสู่ความตายอย่างห้าวหาญเพื่อคนอื่น สามารถชอบโกรธรักหลงเพราะความชอบโกรธรักหลงของผู้อื่น ยินดีให้ร่างตัวเองแหลกสลายเป็นผุยผงแทนคนที่เพิ่งรู้จักได้ไม่นาน เปลวเพลิงจุดเล็กๆ ในใจคนจะเปล่งแสงเจิดจ้าบาดตา จะกู่ร้องพุ่งเข้าหาความตาย ยินยอมพร้อมใจให้ศพของตัวเองช่วยให้คนรุ่นหลังเดินขึ้นเขาไปได้ไกลอีกก้าว เดินไปยังยอดเขา ยอดเขาที่มีหอหยกเรือนแก้ว แล้วรื้อถอนพวกมันทิ้งซะ! ทุบทำลายเทวรูปที่หลุบตาต่ำมองมายังโลกมนุษย์ เอาโชคชะตาของมนุษย์แปลงเป็นควันธูปแล้วกินแทนอาหารให้สิ้นซาก!”
ชุยฉานพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมาอีก “แต่ว่า นี่เป็นแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น สันดานของมนุษย์อีกครึ่งหนึ่งก็คือ คนคนหนึ่งเกิดมาก็รู้แล้วว่าเพื่อการอยู่รอดแล้ว ไม่จำเป็นต้องเลือกวิธีการ ไม่ว่า ‘ข้า’ จะต่ำต้อยเท่าไหร่ ก็ยังมีเพียงหนึ่งเดียวในโลก ดังนั้น ‘ข้า’ ที่มีมากมายจนนับไม่ถ้วนนี้ต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อไป มีชีวิตให้ยาวนานยิ่งกว่าเดิม มีชีวิตให้ดียิ่งกว่าเดิม พวกเราไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองรู้จักหนึ่งนั้นแล้ว จึงอาศัยสัญชาตญาณที่เคยถูกองค์เทพปลูกฝังบ่มเพาะไปแย่งชิงมันมา ในเมื่อมีหนึ่งเพียงหนึ่งเดียว ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่ต้องไปแย่งมาจากมือของคนอื่น ให้หนึ่งนั้นของตัวเองใหญ่ขึ้น เยอะขึ้น การไขว่คว้าไล่ตามเช่นนี้ไม่มีที่สิ้นสุด”
ชุยฉานยื่นนิ้วชี้ไปยังเฉินผิงอันและรถม้าคันนั้น “กู้ช่านอาจจะไม่รู้ถึงความลำบากใจของเฉินผิงอันเสมอไป ก็เหมือนกับที่ปีนั้นเฉินผิงอันไม่รู้ความคิดของฉีจิ้งชุน”
ชุยฉานหดมือกลับมา ยิ้มถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองเดาดูสิว่า ครั้งสุดท้ายที่ฉีจิ้งชุนกางร่มให้เฉินผิงอัน เดินเคียงข้างกันอยู่บนถนนนอกร้านยาตระกูลหยาง ฉีจิ้งชุนได้บอกเหตุผลที่ทำให้ในอนาคตเฉินผิงอันไม่ต้องรู้สึกผิดแล้ว แต่ข้ารู้สึกว่าเรื่องหนึ่งที่มีค่ามากที่สุดแก่การอนุมานก็คือ ตอนนั้นเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงผู้นี้ เขาเดาได้แล้วหรือไม่ว่า ตัวเองก็คือหมากสำคัญที่ทำให้ฉีจิ้งชุนต้องตาย?”
ชุยฉานหันหน้ากลับไป ส่ายหน้ายิ้มๆ
ชุยตงซานตัดขาดความรู้สึกและการรับรู้ทั้งหมดแล้ว
ชุยฉานมองม้วนภาพทั้งสองต่อไป “ซิ่วไฉเฒ่า หากเจ้าเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ เจ้าจะพูดว่าอะไร? อืม คงจะลูบหนวดแล้วเอ่ยว่า ‘ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่’”
ชุยฉานพลันหัวเราะหยัน “ใบถงทวีปอันยิ่งใหญ่ กลับมีแค่สวินยวนคนเดียวที่ไม่ได้ตาบอด ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ”
ชุยตงซานนอนตัวตรงแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เหมือนคนตายคนหนึ่ง
ชุยฉานหันหน้ากลับมา “ในถุงผ้าแพรใบนั้นเจ้าเขียนประโยคใดไว้กันแน่? นี่เป็นจุดเดียวที่ข้าอยากรู้ เลิกแกล้งตายเถอะ ข้ารู้ว่าต่อให้เจ้าผนึกสะพานแห่งความเป็นอมตะก็ต้องเดาความคิดของข้าออกเหมือนกัน ความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ เจ้าชุยตงซานยังคงมีอยู่บ้าง”
ชุยตงซานแน่นิ่งไม่ขยับ แกล้งตายจนถึงที่สุด
……
บนถนนที่มีผู้คนสัญจรกันคลาคล่ำจอแจมากที่สุดในนครน้ำบ่อ ในสถานที่ที่เดิมทีไม่ควรเกิดการลอบฆ่ามากที่สุดกลับเกิดฉากล้อมสังหารที่น่าอกสั่นขวัญผวา
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปดของราชวงศ์จูอิ๋งคนหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปดเดินทางไกลคนหนึ่ง อาจารย์ค่ายกลขอบเขตโอสถทองที่จัดวางค่ายกลไว้เรียบร้อยแล้วคนหนึ่ง
เป็นแผนการที่รัดกุมไร้ช่องโหว่
ทว่าผลลัพธ์กลับทำให้เหล่าผู้ชมผิดหวังกันอย่างมาก
หนึ่งเพราะการลอบสังหารนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป สองเพราะฉากจบมาถึงเร็วเกินไป
ห้องโดยสารของรถม้าคันที่สองระเบิดกระจายไปสี่ทิศ แล้วปรากฎร่างของ ‘แม่นางเปิดสาบเสื้อ’ ที่สวมหมวกคลุมหน้าคนหนึ่ง
นางปล่อยให้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปดแทงทะลุหัวใจ โดยที่ตัวเองปล่อยหมัดต่อยผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลที่กระโจนเข้าใส่ให้ตายด้วยหมัดเดียว ในมือยังกำหัวใจที่นางควักออกมาจากอกของอีกฝ่ายไว้แน่น ครั้นจึงทะยานร่างพุ่งออกไป อ้าปากกว้างกลืนหัวใจลงท้อง จากนั้นก็ไล่ตามผู้ฝึกกระบี่คนนั้นไป ปล่อยหมัดต่อยเข้าที่หัวใจด้านหลังของเขา ต่อยให้เสื้อเกราะจินอูของสำนักการทหารที่คนผู้นั้นสวมใส่ปริแตก จากนั้นก็กระชากควักหัวใจอีกดวงออกมา ทะยานลมหยุดยืนนิ่ง ไม่มองศพที่ร่วงหล่นลงบนพื้น ปล่อยให้ทารกก่อกำเนิดแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตนนำโอสถทองเผ่นหนีไปไกล
นี่เป็นสิ่งที่นายท่านตกลงกับนางไว้ก่อนแล้ว เพราะหากสังหารทุกคนหมดรวดเดียว วันหน้าจะไม่มีอะไรให้เล่นสนุกอีก
และ ‘แม่นางเปิดสาบเสื้อ’ ผู้นี้ก็คือ ‘หนีชิวน้อย’ ตัวนั้น
นางได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิดอย่างเงียบเชียบแล้ว
ขอบเขตก่อกำเนิดของเผ่าพันธุ์เจียวหลง มีพลังการต่อสู้เทียบเท่าได้กับผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนหนึ่งบวกกับผู้ฝึกลมปราณก่อกำเนิดคนหนึ่ง
แล้วนับประสาอะไรกับที่มันยังไม่ใช่เผ่าพันธุ์เจียวหลงธรรมดา แต่เป็นหนึ่งในทายาทของมังกรตัวสุดท้ายห้าตัวที่หลงเหลืออยู่ในท้ายที่สุดของโลก
มันกลับมาอยู่ด้านข้างรถม้าคันแรก ยังตั้งใจคงลิ้มรสรสชาติหัวใจของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปด รสชาตินี้เรียกได้ว่ายอดเยี่ยม การที่จะได้กินอาหารมื้อใหญ่รสชาติอร่อยถูกปากแบบนี้ในทะเลสาบซูเจี่ยน ถือว่าเป็นเรื่องยากมากแล้ว
กู้ช่านที่สวมชุดหม่างสีหมึกกระโดดลงมาจากรถม้า ลวี่ไช่ซางตามหลังมาติดๆ
กู้ช่านเดินมาหยุดอยู่ข้างกายมัน ยื่นนิ้วมาช่วยเช็ดมุมปากให้มันพลางบ่นว่า “หนีชิวน้อย บอกกับเจ้าตั้งกี่รอบแล้ว คราวหน้าห้ามกินอย่างตะกละตะกลามน่าเกลียดแบบนี้อีก! ยังอยากจะกินข้าวร่วมโต๊ะกับข้าและท่านแม่อยู่อีกไหม?!”
มันยิ้มอย่างเขินอาย ก่อนจะหันหน้ากลับไปอย่างลำบากใจเล็กน้อย
ภาพนี้ทำให้ลวี่ไช่ซางที่มองอยู่รู้สึกสั่นเยือกทั้งที่ไม่หนาว
กู้ช่านเดินอาดๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าอาจารย์ค่ายกลโอสถทองที่ยืนนิ่งอยู่ข้างถนนไม่กล้ากระดุกกระดิก ผู้คนที่อยู่รอบกายเซียนดินท่านนี้สลายหายไปดั่งน้ำลงนานแล้ว
ที่อาจารย์ค่ายกลยืนนิ่งอยู่อย่างนี้ไม่ใช่เพราะจิตใจของนางไม่หนักแน่นมากพอ ตกใจจนก้าวขาไม่ออก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!