พบเจอกันบนทางแคบ
ทหารม้าไม่ติดอาวุธหนักจำนวนสามสิบกว่าคนกองหนึ่งหยุดม้าลงช้าๆ หิมะเกาะเต็มธนูที่พวกเขาพกไว้บนกาย มองดูแล้วให้ความรู้สึกกร้าวแกร่งผิดไปจากปกติ
มีทหารประมาณครึ่งหนึ่งที่ถือคบไฟไว้ในมือ ทหารม้าหลายคนที่เป็นผู้นำไม่ได้สวมเสื้อเกราะ พวกเขายืนโอบล้อมบุรุษหนุ่มที่มีใบหน้าประดุจหยกคนหนึ่ง ด้วยลมหิมะที่บดบังสายตา คนหนุ่มที่สวมชุดคลุมจิ้งจอกสีขาวหิมะจึงกำลังหรี่ตามองมาทางม้าสามตัวนั้น เม้มริมฝีปากบางเฉียบสีแดงสด ถือเป็นคุณชายสะโอดสะองคนหนึ่ง
ผู้ติดตามสามคนที่หยุดม้าขนาบสองฝั่งของคนผู้นี้ ทางฝั่งซ้ายมือคือชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำที่ในมือถือหอกยาว ประกายหอกคมกริบเปล่งแสงวาววับ เมื่อถูกสาดสะท้อนด้วยแสงไฟจากคบเพลิงในมือของทหารม้าที่อยู่ด้านหลังก็ยิ่งแวววาว
และยังมีชายฉกรรจ์ร่างผอมแห้งเหมือนลิงอีกคนหนึ่งที่ยกสองมือกอดอก ไม่มีทั้งธนูหรือดาบ แล้วก็ไม่ได้พกมีดหรือกระบี่ แต่สองฝั่งของอานม้าเขาห้อยศีรษะที่คราบเลือดแข็งเกรอะกรังไว้เป็นจำนวนมาก
ทางฝั่งขวามือมีอยู่คนเดียว อายุประมาณสี่สิบกว่าปี สีหน้าเฉยชา ด้านหลังสะพายกระบี่ยาวที่สอดอยู่ในฝักไม้ลายต้นสน ด้ามกระบี่เป็นรูปหลิงจือ บุรุษมักจะยกมือขึ้นปิดปากไออยู่บ่อยๆ
ดูเหมือนคนหนุ่มผู้นั้นจะสนิทกับชายวัยกลางคนทางฝั่งขวามือมากที่สุด เขานั่งอยู่บนหลังม้า แต่ร่างกลับโน้มเอียงเข้าหาคนผู้นี้น้อยๆ
หลังจากที่มือกระบี่ผู้นี้ไอก็ชำเลืองตามองม้าสามตัวที่อยู่ห่างออกไปประมาณห้าสิบกว่าก้าว แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “องค์ชาย เหมือนอย่างที่ข้าบอกไว้ก่อนหน้านี้ คือสองคนหนึ่งผีจริงๆ ผีสาวหน้าตางดงามสวมชุดคลุมหนังจิ้งจอกตนนั้น มีความเป็นไปได้มากว่าจะมาจากกระดาษยันต์สาวงามหนังจิ้งจอกที่ทำขึ้นด้วยวิธีเฉพาะของสกุลสวี่นครลมเย็น”
มือกระบี่วัยกลางคนยื่นมือออกมาคล้ายจะรับเกล็ดหิมะ คาดไม่ถึงว่าบนฝ่ามือของเขาจะมีภูตตัวจิ๋วที่สูงแค่นิ้วมือ เรือนกายเป็นสีขาวหิมะ ด้านหลังมีปีกที่เต็มไปด้วยขนหนึ่งคู่ ร่างกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับหิมะปรากฏขึ้นมา ขนาดอยู่ใกล้ขนาดนี้ยังแทบมองไม่เห็นเจ้าตัวน้อย คิดดูแล้วนี่น่าจะเป็นหน่วยลาดตระเวนของตระกูลเซียน ประโยชน์ของมันก็คล้ายคลึงกับการมองภาพแม่น้ำภูเขาผ่านฝ่ามือ เพียงแต่ว่าหนึ่งอาศัยเวทคาถา อีกหนึ่งอาศัยสิ่งมีชีวิต
“ลำบากเจ้าแล้ว” บุรุษคลี่ยิ้มให้เจ้าตัวน้อยที่อยู่บนฝ่ามือ หยิบขวดกระเบื้องใบเล็กลายครามประณีตงดงามใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ภูติจิ๋วพุ่งพรวดเข้าไปในขวด จากนั้นบุรุษก็เก็บขวดกระเบื้องกลับไปไว้ในชายแขนเสื้อช้าๆ
คนหนุ่มที่ถูกมือกระบี่คนนี้เรียกอย่างเคารพว่า ‘องค์ชาย’ เลิกคิ้วขึ้นสูง สายตาฉายประกายเร่าร้อน ร่างยิ่งโน้มเอียงไปมากกว่าเดิม พูดกลั้วหัวเราะว่า “ท่านเจิง ข้าเคยได้ยินชื่อของสกุลสวี่นครลมเย็นมาก่อน เพียงแต่ว่าเสด็จแม่ตัดใจปล่อยให้ข้าออกจากเมืองหลวงไปอยู่พื้นที่ศักดินาไม่ได้ จึงถูกถ่วงเวลามานานถึงแปดปี ข้าที่อยู่ในจวนของเมืองหลวง เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหา แล้วก็เพื่อประหยัดเงินค่าน้ำหมึกให้กับพวกขุนนางทัดทานฝ่ายตรวจการเหล่านั้นจึงไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสกับเซียนซือบนภูเขาอะไรมาก่อน ยันต์สาวงามหนังจิ้งจอกนี้คืออะไรกันแน่ มีความมหัศจรรย์ตรงที่ใด ท่านเจิงมีความรู้กว้างขวาง อีกทั้งยังเคยเดินทางไกลไปครึ่งทวีปแล้ว ช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่?”
ตอนที่คนหนุ่มกำลังพูด มือกระบี่วัยกลางคนที่อาจเป็นเพราะลมหิมะรุกราน ร่างกายไม่อาจทนรับความทรมานได้ไหวจึงควักขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมา เทยาสีเขียวใสแวววาวขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองออกมาสองเม็ด ยกมือตบเข้าปากเบาๆ สีหน้าของเขาถึงได้แดงปลั่งมีเลือดฝาดขึ้นมาหลายส่วน หลังจากกินยาเข้าไปแล้ว บนใบหน้าของชายวัยกลางคนยังคงมีรอยยิ้ม เขากล่าวว่า “สกุลสวี่ได้ครอบครองเนินจิ้งจอกพันปีแห่งหนึ่งที่มีจิ้งจอกเฒ่าอยู่อาศัย มันเป็นพันธมิตรกับสกุลสวี่ ทุกปีจะต้องมอบหนังจิ้งจอกหลายผืนที่มีอายุตั้งแต่ร้อยปีไปจนถึงสามร้อยปีให้นำมาสร้างเป็นยันต์ แล้วเอาออกขายไปตามสถานที่ต่างๆ ของแจกันสมบัติทวีป ได้รับความนิยมไปเกินครึ่งทวีป จวนเซียนดินที่ไม่ต้องกลุ้มเรื่องเงินเทพเซียน ส่วนใหญ่ล้วนมีสาวงามหนังจิ้งจอกหลายคนทำหน้าที่เป็นสาวใช้ ยันต์สาวงามนี้ เมื่อสัมผัสกับพื้นก็ไม่ต่างจากคนที่มีชีวิต ในกระดาษยันต์ยังสามารถให้ภูตผีจิตหยินพักพิงได้ สาวใช้ที่อยู่ตรงหน้าก็น่าจะเป็นเช่นนี้ หากเป็นตระกูลเซียนบนภูเขาที่มีความสัมพันธ์อันดีกับสกุลสวี่นครลมเย็น ก่อนจะซื้อยันต์หนังจิ้งจอกยังสามารถส่งภาพเหมือนของสตรีที่ตัวเองชื่นชอบไปให้ได้ แล้วสกุลสวี่ก็จะจ้างให้คนนำภาพนั้นสลักลงไปในหนัง ผู้ถวายงานผู้เฒ่าหลายคนที่เชี่ยวชาญวิชานี้ล้วนไม่เคยทำให้คนซื้อผิดหวังมาก่อน”
ชายหนุ่มพลันกระจ่างแจ้ง มอง ‘สตรี’ ที่หยุดม้าอยู่ห่างไปไกลแล้วสายตาก็ยิ่งฉายความกระหายอยากครอบครอง
แม้ว่าหลายปีมานี้เขาจะไม่ได้ออกจากเมืองหลวงไปอยู่พื้นที่ศักดินาตามกฎของบรรพบุรุษ แต่ช่วงเวลาที่อยู่ในเมืองหลวงก็ไม่เคยปล่อยให้เสียเปล่า งานอดิเรกที่เขาชื่นชอบมากที่สุดก็คือปลอมตัวเป็นบัณฑิตตกอับที่พลาดการสอบเดินทางออกจากกรงขังที่ในประวัติศาสตร์สองครั้งเคยกลายเป็น ‘จวนมังกรซ่อน’ หรือไม่บางครั้งก็แต่งกายเป็นจอมยุทธพเนจรต่างถิ่นที่มาท่องเที่ยวในเมืองหลวง เคยได้ลิ้มรสชาติของสตรีมานับร้อยนับพันรูปแบบ โดยเฉพาะสตรีในครอบครัวของพวกตาแก่ขุนนางทัดทานฝ่ายตรวจการทั้งหลายที่หากพอจะหน้าตาดีสักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นสตรีแต่งงานแล้วหรือเด็กสาวก็ล้วนถูกเขาหลอกเอาทั้งตัวและทั้งหัวใจ ดังนั้นฎีการ้องเรียนบนโต๊ะทรงพระอักษรจึงมีมากมายดุจเกล็ดหิมะปลิวปราย เขายังถึงขั้นจงใจหยิบมาอ่านเป็นพิเศษ ช่วยไม่ได้ ครอบครัวเชื้อพระวงศ์ที่มองดูเหมือนเข้มงวดน่ากลัวก็ยังคงรักบุตรชายคนเล็กมากที่สุดเหมือนกัน อีกอย่างเสด็จแม่ของเขาก็มีฝีมือไม่ธรรมดา เสด็จพ่อจึงถูกกำไว้ในมือนางอย่างพอเหมาะพอดี เวลาส่วนตัวที่สามคนในครอบครัวกินข้าวร่วมโต๊ะกัน กษัตริย์ผู้ปกครองหนึ่งแคว้น ต่อให้ถูกเสด็จแม่สัพยอกต่อหน้าเหมือนเขาเป็นลาที่เชื่อฟังตัวหนึ่งก็ยังไม่รู้สึกเสียเกียรติ กลับกันยังหัวเราะเสียงดังชอบใจ ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจฎีกาที่เอามาใช้ฆ่าเวลาอันน่าเบื่อหน่ายเหล่านั้นจริงๆ ถึงขั้นรู้สึกว่าหากไม่ถูกเจ้าพวกตะพาบเฒ่าเหล่านั้นด่าสักคำสองคำ เขาจะต้องละอายใจจนไม่อาจเหลือที่ยืนไว้ให้ตัวเอง
ทว่ามีชีวิตที่สุขสบายเช่นนี้มานานเกินไปก็มักจะรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง
เขาคือคนที่ต้องขึ้นเป็นฮ่องเต้ ดังนั้นจึงไม่อาจเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลางได้ แล้วก็ทนรับความยากลำบากในการฝึกฝนเรือนกายและการฝึกหมัดฝึกเดินไม่ไหว จะให้เป็นปรมาจารย์ในยุทธภพจริงๆ ก็ทำไม่ได้ ส่วนเรื่องที่จะให้เขานำทัพทำสงคราม ฆ่ากันไปฆ่ากันมา เขาก็ยิ่งไม่มีอารมณ์
ดังนั้นเขาจึงอดตำหนิเสด็จแม่ไม่ได้ รัชทายาทไม่ใช่เขา แม้แต่ตำแหน่งเสียนอ๋องก็ยังไม่ใช่ของเขา นี่เสด็จแม่รักเขาจริงๆ หรือ? ไม่ใช่แค่จงใจเลี้ยงเขาให้เป็นเศษสวะอยู่ข้างกายหรอกนะ? พี่ชายสองคนของเขาล้วนเป็นกากเดนที่อดีตฮองเฮาทิ้งเอาไว้ หันมามองสภาพอันน่าสังเวชของตนในเวลานี้ที่ถูกเสด็จแม่หาข้ออ้างทำให้กลายเป็นเหมือนสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่ง มีบ้านก็กลับไปไม่ได้ ได้แต่เตร็ดเตร่ไปมาอยู่นอกเมืองหลวง หญิงสาวชาวบ้านที่มีกลิ่นอายบ้านนอกบ้านนาติดตัวมาตั้งแต่เกิดก็กินจนเอียนแล้ว ต่อให้สตรีพวกนี้จะงดงามแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่รู้จักปรนนิบัติคนอื่นอย่างสตรีในตระกูลชนชั้นสูง หากเพียงแค่นี้ก็ยังพอว่า ตอนที่ตนแอบออกมาจากเมืองหลวงอย่างเงียบเชียบ เสด็จแม่ยังออกคำสั่งเด็ดขาดว่า เขาต้องนำพาคนไปสังหารกองลาดตระเวนของต้าหลีด้วยตัวเองให้จงได้ นี่ไม่ใช่บีบให้เขาไปตายหรอกหรือ? อันที่จริงเขาไม่เห็นดีกับราชวงศ์จูอิ๋งที่ดีแต่วางท่าใหญ่โตไปวันๆ ส่วนลึกในใจของเขาอยากสวามิภักดิ์ต่อคนเถื่อนต้าหลีที่กองกำลังแข็งแกร่งมากกว่า หากตอนนี้เขาเป็นคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ป่านนี้ก็คงเปิดประตูใหญ่ของเมืองหลวงให้ซูเกาซานผู้นั้นจูงม้าเข้าเมืองมาตั้งนานแล้ว สงครามน่าสนุกตรงไหน เขาอยากเห็นภาพการเข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกตนนับพันนับหมื่นมากกว่า นั่นต่างหากถึงจะเป็นเทพเซียนตีกันที่แท้จริง การเข่นฆ่าสังหารบนหลังม้าก็แค่มดสองรังต่อสู้กันไม่ใช่หรือ?
แต่การออกจากบ้านมาผ่อนคลายอารมณ์ครั้งนี้ก็ถือว่าไม่เลว เพราะตนได้เจอกับผีงามหนังจิ้งจอกที่แทบไม่ต่างอะไรจากคนเป็นๆ
องค์ชายหนุ่มอารมณ์ดีอย่างยิ่ง
ม้าสามตัวของฝ่ายตรงข้ามหยุดนิ่งอยู่นานแล้ว และก็คุมเชิงอยู่กับกองทัพม้าที่ฝีมือแกร่งกล้าทั้งอย่างนี้
องค์ชายที่มีนามว่าหันจิ้งซิ่น คือเชื้อพระวงศ์ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่สุดในราชสำนัก เวลานี้รอยยิ้มของเขายิ่งกดลึกเข้มข้น
นับว่ามีความกล้าหาญ เพราะอีกฝ่ายถึงขั้นไม่ยอมหลบทางให้แต่โดยดี
ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ได้ครอบครองสาวงามหนังจิ้งจอก หากไม่ใช่ผู้ฝึกตนอิสระที่ไร้ขื่อไร้แปของทะเลสาบซูเจี่ยน ก็ต้องเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลในขอบเขตแคว้นสือหาว อายุน้อยเลือดลมพลุ่งพล่าน นี่ก็พอจะเข้าใจได้
น่าเสียดายก็แต่เมื่ออยู่ในป่าชานเมืองเช่นนี้ สถานะหรือตัวตนล้วนใช้ไม่ได้ผล
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!