เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ “ตอนที่พวกเราออกไปจากเมืองค่อยคืนเงินเกล็ดหิมะให้พวกเขา”
จากนั้นเฉินผิงอันก็หันไปมองเจิงเย่ “วันหน้าไปถึงมณฑลที่ขึ้นเหนือไปมากกว่านี้ อาจยังต้องตั้งโรงทานตั้งร้านยากันอีก แต่จะทำแค่สถานที่ละอย่างเท่านั้น ต้องดูที่โอกาสและสถานที่ เรื่องพวกนี้ยังไม่ต้องพูดถึง ข้าย่อมมีแผนการของตัวเอง พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องคิดมาก แต่หากยังต้องตั้งโรงทานตั้งร้านยาอีก เจิงเย่ ข้าจะให้เจ้าเป็นคนทำ เจ้ามีหน้าที่ไปมาหาสู่กับคนตลอดทั้งที่ว่าการ ในขั้นตอนนี้ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะทำผิดหรือจะต้องสิ้นเปลืองเงินโดยที่ไม่จำเป็น นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ไม่มีค่าพอให้เก็บไปใส่ใจ นอกจากนี้แม้ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าแทรกอย่างจริงจัง แต่ก็จะคอยชี้แนะเจ้าอยู่ข้างๆ”
เจิงเย่พยักหน้ารับอย่างแรงก่อน จากนั้นก็ทำท่าจะพูดแล้วหยุดชะงักไป
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ทุกเรื่องล้วนยากลำบากตอนเริ่มต้นด้วยกันทั้งนั้น แต่อย่างไรก็ควรจะมีการเริ่มต้น”
เจิงเย่จึงไม่พูดอะไรมากอีก เขาทั้งกระวนกระวายและทั้งลิงโลดใจ
ดูเหมือนว่านี่จะทำให้เด็กหนุ่มสบายใจยิ่งกว่าการฝึกตนเสียอีก
เฉินผิงอันเอ่ยอีกว่า “รอเมื่อไหร่ที่รู้สึกเหนื่อยหรือเบื่อหน่ายแล้ว จำไว้ว่าไม่ต้องเกรงใจที่จะเปิดปาก แค่พูดกับข้าตรงๆ ก็พอ ถึงอย่างไรการฝึกตนของเจ้าในวันนี้ก็ต้องมีการฝึกกำลังเป็นหลัก”
เจิงเย่พยักหน้ารับรัวๆ เหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “ท่านเฉินโปรดวางใจ ข้าจะไม่ให้ถ่วงการฝึกตนเด็ดขาด”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ
ในความเป็นจริงแล้ว เด็กหนุ่มมีแต่จะยิ่งมุมานะและยิ่งตั้งใจมากกว่าเดิม
หลังจากนั้นก็เลือกสถานที่ตั้งโรงทานและร้านยาในเมืองได้แล้ว ทุกอย่างดำเนินการไปอย่างรวดเร็วและมีระบบระเบียบ ทั้งเป็นเพราะที่ว่าการคุ้นเคยกับงานประเภทนี้ดี และแน่นอนว่าที่มากกว่านั้นเป็นเพราะท่านใต้เท้าเจ้าเมืองเป็นผู้ควบคุมตรวจสอบด้วยตัวเอง ส่วนสถานะของคนหนุ่มที่สวมชุดผ้าฝ้ายนั้น เจ้าเมืองผู้เฒ่าพูดอย่างคลุมเครือ ไม่ว่ากับใครก็ไม่ได้บอกอย่างแน่ชัด นี่จึงทำให้ผู้คนค่อนข้างเคารพยำเกรง
สามวันต่อมา เฉินผิงอันบอกให้หม่าตู่อี๋นำเงินเกล็ดหิมะสามสิบสองเหรียญนั้นไปแอบวางไว้ในห้องของผู้ฝึกตนอิสระทั้งสองเงียบๆ
จากนั้นม้าสามตัวก็เยาะย่างมาที่โรงทานแจกโจ๊กแห่งหนึ่งที่ใกล้กับประตูเมือง พวกเขาหยุดม้าอยู่ไกลๆ หลังจากพลิกตัวลงจากหลังม้าแล้ว เฉินผิงอันก็รบกวนให้เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่เดินทางมาส่งช่วยเฝ้าม้าให้สักครู่
พวกเขาพากันเดินไปที่เพิงร้านโจ๊ก หม่าตู่อี๋ไม่ยินดีไปเป็น ‘ขอทาน’ เจิงเย่ไม่รู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องไปดื่มโจ๊กที่เหมือนน้ำชืดๆ หนึ่งถ้วย จึงมีเพียงเฉินผิงอันคนเดียวที่ไปเข้าแถวรออย่างอดทน เพื่อไปขอโจ๊กถ้วยหนึ่งที่พอจะถือว่า ‘เข้มข้น’ และหมั่นโถวสองลูก แล้วไปนั่งอยู่ข้างทางห่างจากกลุ่มคนที่เข้าแถว ก้มหน้าดื่มโจ๊กกินหมั่นโถว ในหูก็ได้ยินเสียงตะโกนของเสมียนดังมาเป็นระยะ เสมียนเหล่านั้นจะตะโกนบอกกฎกับประชาชนในพื้นที่ที่อดอยากและชาวบ้านที่ลี้ภัยมาถึงที่นี่ว่า ห้ามละโมบเอาไปเยอะ จะแบ่งโจ๊กให้ทีละคนเท่านั้น เวลากินโจ๊กและหมั่นโถวก็ยิ่งไม่ควรตะกละกินเร็ว เพราะจะทำให้เสียเรื่องได้
เฉินผิงอันมองขบวนแถวที่ยาวราวกับมังกร ในบรรดานั้นยังมีชายฉกรรจ์ในพื้นที่ที่สวมเสื้อผ้าซึ่งพอจะรัดกุมจำนวนไม่น้อย บางคนยังจูงมือลูกของตัวเองที่ในมือยังถือถังหูลู่มาด้วย
ห่างจากเฉินผิงอันไปไม่ไกลก็มีผู้ชายในพื้นที่จำนวนหนึ่งล้อมวงกันอยู่ ใบหน้าไม่ได้แห้งตอบอะไร พวกเขากินพลางบ่นไปด้วยว่ายังสู้อาหารหมูไม่ได้ด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันเพียงแค่เคี้ยวอาหารอย่างละเอียด จิตใจนิ่งสงบดุจบ่อน้ำโบราณ เพราะเขารู้ว่าเรื่องราวทางโลกก็เป็นเช่นนี้ ยากที่คนเราจะเห็นค่าสิ่งของที่ไม่ต้องจ่ายเงิน ต่อให้เป็นโจ๊กหรือหมั่นโถวเหมือนกัน แต่หากต้องจ่ายเงินซื้อมา บางทีรสชาติอาจจะดีกว่าแค่เล็กน้อย แต่อย่างน้อยก็ไม่มีทางบ่นด่าอย่างไม่พอใจ
คืนถ้วยโจ๊กแล้ว เฉินผิงอันก็เดินไปหาหม่าตู่อี๋กับเจิงเย่ เอ่ยว่า “ไปกันเถอะ”
ม้าสามตัวออกจากเมือง
หม่าตู่อี๋เป็นคนละเอียดรอบคอบ หลายวันมานี้ก็ได้คอยเดินเตร็ดเตร่แถวเพิงโจ๊กและร้านยากับเจิงเย่บ่อยๆ จึงพบเบาะแสบางอย่าง หลังออกจากเมืองมาแล้ว ในที่สุดก็อดไม่ไหวบ่นว่า “ท่านเฉิน เงินที่พวกเราทุ่มไป อย่างน้อยที่สุดสามส่วนล้วนถูกพวกขุนนางเจ้าเล่ห์ของที่ว่าการเอาเข้ากระเป๋าตัวเองไปหมดแล้ว ขนาดข้ายังเห็นอย่างชัดเจน แล้วท่านเฉินจะมองไม่ออกได้อย่างไร ทำไมถึงไม่ด่าเจ้าเมืองผู้เฒ่านั่นสักคำ?”
เฉินผิงอันเอ่ยแค่ว่า “แบบนี้เองหรือ”
หม่าตู่อี๋โมโหแทบระเบิด
เจิงเย่ก็ยิ่งมีสีหน้าตื่นตะลึง
เด็กหนุ่มไม่รู้จริงๆ เขาหรือจะมองความวกวนอ้อมค้อมในวงการขุนนางเหล่านี้ออก
หม่าตู่อี๋เห็นว่านักบัญชีผู้นั้นไม่คิดจะเอ่ยอะไรต่อก็ยิ่งโมโห “ท่านเฉิน! หากท่านยังเป็นแบบนี้ คราวหน้าข้าจะไม่ช่วยแล้ว! จะให้เจ้าเด็กโง่เจิงเย่นี่ทำไปคนเดียว ดูสิว่าเขาจะช่วยท่านให้เสียเรื่องหรือไม่!”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยอธิบายที่ไม่ถือว่าเป็นคำอธิบายให้แก่หม่าตู่อี๋ เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ในเมื่อกำลังทำเรื่องดี แล้วก็พอจะทำสำเร็จได้คร่าวๆ แล้ว ก็แค่ไม่สมบูรณ์แบบเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยให้มากเกินไป ละโมบในเงินสามส่วน เป็นสิ่งที่ข้าเตรียมใจมาก่อนแล้ว อันที่จริงเส้นขีดจำกัดของข้ายังอยู่ต่ำกว่านี้เสียอีก นั่นคือขุนนางที่รับธุระทำเรื่องนี้อาจจะเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองสี่ส่วน ซึ่งข้ายังพอจะรับได้ สามส่วนก็ดี สี่ส่วนก็ช่าง ถือซะว่าเป็นการตอบแทนที่พวกเขาทำเรื่องดีก็แล้วกัน”
หม่าตู่อี๋คิดไม่ถึงว่าจะได้คำตอบเช่นนี้ อยากจะโมโห แต่ก็โมโหไม่ออก จึงไม่พูดอะไรต่ออีก
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากรู้สึกว่าในใจไม่สบายใจ ขอแค่เจ้ายินดีช่วยเจิงเย่ เส้นขีดจำกัดของข้าจะเปลี่ยนจากสี่ส่วนมาเป็นสองส่วน ดีไหม?”
หม่าตู่อี๋ถึงได้รู้สึกพึงพอใจ เริ่มขยับม้าเข้าใกล้เจิงเย่แล้วช่วยสอนประสบการณ์และเคล็ดวิชาที่ตัวเองได้เรียนรู้มาให้กับเด็กหนุ่มผู้ทึ่มทื่ออย่างอดทน
เฉินผิงอันพลันชะลอฝีเท้าม้าให้ช้าลง หยิบกล่องไม้ใบเล็กทรงยาวใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ นี่เป็นของชิ้นเล็กที่สลักตัวอักษรโบราณชิ้นหนึ่งซึ่งถานหยวนอี้แห่งเกาะลี่ซู่มอบให้ ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ในการเป็นพันธมิตรของพวกเขาสามคน ค่อนข้างจะหาได้ยาก เพราะมันคือเนินกระบี่ขนาดเล็กระดับขั้นไม่ธรรมดา ยาวแค่หนึ่งนิ้ว เรียกได้ว่าขนาดเล็กจิ๋วกะทัดรัด สะดวกพกพา สามารถใช้บรรจุกระบี่บินส่งข่าว เพียงแต่ว่าไม่สามารถยืดหยุ่นได้เหมือนห้องกระบี่ขนาดใหญ่ กฎเกณฑ์ค่อนข้างตายตัว อีกทั้งครั้งหนึ่งยังรับกระบี่บินส่งข่าวได้แค่เล่มเดียวเท่านั้น การเผาผลาญปราณวิญญาณที่ใช้หล่อเลี้ยงกระบี่บินก็สูงกว่าห้องกระบี่อยู่มาก ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ขอแค่เฉินผิงอันยินดีก็สามารถเอาไปขายต่อด้วยราคาหนึ่งเหรียญฝนธัญพืชได้สบายๆ ดังนั้นเฉินผิงอันย่อมไม่มีทางปฏิเสธความหวังดีนี้ของถานหยวนอี้
เมื่อเปิดกล่องไม้ใบเล็กที่สั่นสะเทือนเบาๆ อยู่ตลอดเวลาออก เฉินผิงอันก็ได้รับกระบี่บินส่งข่าวเล่มหนึ่งที่มาจากเกาะชิงเสีย ในจดหมายลับคือหนึ่งประโยคที่หลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่วฝากมาบอกต่อเกาะชิงเสียหลังจากรู้ว่าเฉินผิงอันอยู่ที่แคว้นสือหาวแล้ว นั่นคือประโยคที่ว่า ‘กลับมาแล้วมาพูดคุยเรื่องราคาอย่างละเอียดที่เกาะกงหลิ่วของข้า’
เฉินผิงอันกำเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งเอาไว้แน่น ปราณวิญญาณประหนึ่งน้ำหยดลงสู่รางกระบี่รางหนึ่งในกล่องไม้ จากนั้นเขาก็กดกลไกขนาดเล็กที่อยู่ในกล่องไม้ กระบี่บินจากเกาะชิงเสียที่พุ่งออกจากรางกระบี่กล่องไม้ก็พุ่งวูบเข้าไปข้างใน ย้อนกลับไปยังทะเลสาบซูเจี่ยน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!