สรุปเนื้อหา บทที่ 449.3 ควบม้าขึ้นเนินรกร้าง – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บท บทที่ 449.3 ควบม้าขึ้นเนินรกร้าง ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
เวลานี้
เฉินผิงอันพลันกระทุ้งสีข้างม้าเพิ่มความเร็วทะยานไปเบื้องหน้า ออกจากถนนทางหลวงที่พื้นดินกลายเป็นโคลนเละเฉอะแฉะ อ้อมเส้นทางมุ่งเข้าไปในเนินเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
ควบม้าขึ้นเนินที่เส้นทางเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำไม่ราบเรียบ
แล้วเฉินผิงอันก็ดึงบังเหียนหยุดม้าบนยอดเนิน
เจิงเย่อยากจะควบม้าตามไป แต่กลับถูกหม่าตู่อี๋รั้งเอาไว้
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้านอย่างเลื่อนลอย
ตรงเอวมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่และดาบกระบี่สลับกัน ทั้งยังสามารถควบม้าอยู่ท่ามกลางลมหิมะในยุทธภพ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว
เขากลับตัวคนเดียวโดดเดี่ยว ไร้ที่พึ่ง
หม่าตู่อี๋และเจิงเย่หยุดม้าอยู่ตรงตีนเนินนานมาก แต่ก็ยังไม่เห็นทีท่าว่าเฉินผิงอันจะหันหัวม้ากลับ
หม่าตู่อี๋ที่ก่อนหน้านี้ห้ามไม่ให้เจิงเย่ตามอีกฝ่ายไปเริ่มรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย กลับกลายเป็นเจิงเย่ที่ใจเย็น ไม่ร้อนรนกระวนกระวาย
หม่าตู่อี๋ทนเห็นเจิงเย่ที่อยู่ในสภาพของ ‘คนโง่ก็มีโชคของคนโง่’ และ ‘อยู่ท่ามกลางโชคแต่ไม่รู้ว่ามีโชค’ ไม่ได้มากที่สุด จึงเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉิวว่า “เจ้าคนใจจืดใจดำ กินอิ่มนอนหลับแล้วก็ไม่กลัดกลุ้มกังวลกับเรื่องใดอีก”
เจิงเย่เป็นแค่เด็กหนุ่มทึ่มทื่อที่ขี้ขลาดและพูดไม่เก่ง จึงไม่กล้าเถียงคืน และประเด็นสำคัญก็คือตัวเขาเองไม่รู้สึกว่าแม่นางหม่าพูดผิด
ในขณะที่หม่าตู่อี๋กำลังจะพูดต่อ
เฉินผิงอันกลับขี่ม้าลงเนินมา เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของหม่าตู่อี๋และเจิงเย่แล้ว ดูเหมือนว่าสีหน้าของท่านเฉินจะแตกต่างไปจากเดิม
ไม่เหมือนคนที่มีเรื่องกลัดกลุ้มเต็มหัวใจอีก กลับคล้ายคนที่พยับเมฆจางหายไปสิ้น จึงอารมณ์ดีไม่น้อยด้วย?
หม่าตู่อี๋และเจิงเย่หันมามองหน้ากันเอง
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เดินทางกันต่อเถิด”
……
ม้าทั้งสามตัววิ่งไปบนเส้นทางลดเลี้ยวเคี้ยวคดขึ้นเหนือ
ระหว่างทางมีหิมะทับถมลึกหนา หิมะละลายช้ามาก ภูเขาแม่น้ำแทบมองไม่เห็นสีเขียว แต่ในที่สุดก็พอจะมีแสงแดดอบอุ่นสาดส่องลงมาบ้าง
ตลอดทางมานี้เจิงเย่ได้พบได้เห็นอะไรมามากมาย ได้เห็นทหารลาดตระเวนชายแดนต้าหลีในตำนานที่พกธนูพกดาบสวมเสื้อเกราะตัวเก่า บนใบหน้าของทหารม้าแต่ละคนไม่มีความลำพองใจ บนร่างไม่มีปราณสังหารดุร้ายแม้แต่เสี้ยวเดียว กลับเหมือนน้ำแข็งที่ค่อยๆ จมหายลงไปในแม่น้ำอย่างเงียบเชียบเสียมากกว่า ทหารลาดตระเวนต้าหลีเพียงแค่มองประเมินพวกเขาสามคนเงียบๆ แล้วก็ทะยานผ่านไป ทำให้เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ใจหายใจคว่ำเหมือนดี (ถุงน้ำดีอวัยวะที่ในภาษาจีนเปรียบเปรยถึงความกล้า) ขึ้นมาจุกอยู่ในลำคอ รอจนกระทั่งทหารลาดตระเวนห่างไปไกลหลายสิบลี้แล้ว เขาถึงได้หายใจเป็นปกติ
และยังได้เห็นขบวนรถยาวเหยียดของคนรวยที่จับกลุ่มกันเดินทางหนีลงใต้อย่างรีบร้อน นับตั้งแต่ผู้ติดตามไปจนถึงสารถี รวมไปถึงใบหน้าที่บางครั้งแอบเลิกผ้าม่านขึ้นมาแอบมองม้าสามตัวที่อยู่ข้างทาง ทุกคนล้วนมีสีหน้าหวาดหวั่นเป็นกังวล
เจิงเย่เห็นท่านเฉินหยุดม้าไว้ที่ข้างทาง รอจนกระทั่งขบวนรถจากไปไกลแล้วถึงได้เดินทางกันต่ออีกครั้ง จากนั้นก็เห็นหีบใบเล็กใบหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้น ไร้เจ้าของให้การดูแล เฉินผิงอันพลิกกายลงจากหลังม้า เมื่อเปิดหีบออกดูก็เห็นว่าข้างในบรรจุตำราโบราณ ลองหยิบมาเปิดดูเล่มหนึ่งก็เห็นว่าเป็นตำราฉบับพิมพ์ขึ้นเป็นการส่วนตัว ยุคสมัยต่างกัน ตัวอักษรที่ใช้ต่างกัน บัณฑิตคนละคนกัน เฉินผิงอันอุ้มหีบขึ้นมา หันหน้ากลับไปมอง ครุ่นคิดแล้วก็ไม่ได้เอาหีบตำราที่ถูกทอดทิ้งใบนี้กลับไปคืน แต่เก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อชั่วคราว แล้วออกเดินทางต่ออีกครั้ง
หม่าตู่อี๋เอ่ยสัพยอกอย่างไม่มีอะไรทำ “โอ้โห นึกไม่ถึงว่าคนอย่างเจ้าจะยึดครองของคนอื่นมาเป็นของของตัวเองแบบนี้ด้วย?”
เจิงเย่ใจกล้าพูดทวงความเป็นธรรมแทนเฉินผิงอันอย่างที่หาได้อยาก “ของที่คนอื่นไม่ต้องการ อีกทั้งยังเป็นตำรา หรือจะปล่อยให้ถูกเหยียบย่ำอยู่ในดินโคลนอย่างนี้?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “พวกเขากำลังอยู่ในช่วงหนีเอาชีวิตรอด ต่อให้เจ้าถ่วงเวลาในการเดินทางพวกเขาแค่ครู่เดียวก็ยังอาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่อาจคาดการณ์ได้”
เจิงเย่ชำเลืองตามองหม่าตู่อี๋
หม่าตู่อี๋เหลือกตามองสูง
หลังจากนั้นสตรีวัตถุหยินที่สิงร่างอยู่ในยันต์สาวงามหนังจิ้งจอกแผ่นหนึ่งก็ปรากฏตัว ในเมืองขนาดเล็กที่ยังไม่โดนภัยจากสงคราม นางใช้ภาษาถิ่นที่สำเนียงค่อนข้างจะแปลกหูสอบถามไปตลอดทาง ในที่สุดก็เจอจวนประตูสูงแห่งหนึ่ง จากนั้นคนทั้งสี่ก็หาโรงเตี๊ยมเพื่อพักแรม คืนนั้นเฉินผิงอันเก็บกระดาษยันต์ไปก่อน ส่วนตัวเองแอบแฝงตัวเข้าไปในจวนอย่างเงียบเชียบ ครั้งจึงหยิบยันต์ออกมา บอกให้นางปรากฏตัว ในที่สุดนางก็ได้พบกับบัณฑิตหน้าตาหล่อเหลาที่ปีนั้นออกจากบ้านเกิดเดินทางไปสอบที่เมืองหลวง ตอนนี้บัณฑิตคือชายชราอายุเกือบร้อยปีแล้ว เขากำลังโอบอุ้มทายาทวัยเยาว์ที่กำลังนอนกรนเบาๆ พลางผลัดกันชนจอกกับสหายในวงการขุนนาง ใบหน้าอาบเอิบไปด้วยรอยยิ้ม เหล่าสหายพากันร้องอวยพรแสดงความยินดีที่คนผู้นี้ได้รับโชคดีหลังโชคร้าย ได้รู้จักกับเสี้ยวเหว่ย (ชื่อตำแหน่งทหารที่สำคัญในสมัยโบราณ ตำแหน่งเหมือนหัวหน้ากองทหาร) คนหนึ่งของต้าหลี ได้รับเกียรติเลื่อนขั้นเป็นคนสำคัญอันดับที่สามของเมืองแห่งนี้ เหล่าสหายต่างก็พูดหยอกล้อว่าหลังจากร่ำรวยมีเกียรติแล้วก็ยังไม่ลืมพวกพ้อง บัณฑิตวัยชราที่ยังไม่ได้สวมชุดขุนนางตัวใหม่หัวเราะร่าเสียงดัง
สตรีวัตถุหยินหนังจิ้งจอกสีหน้าหม่นมองคล้ายจำบัณฑิตที่ในอดีตเคยเติบโตมาด้วยกันไม่ได้แล้ว บางทีอาจเป็นเพราะเขาไม่หนุ่มแล้วกระมัง
หลังออกมาจากจวน วัตถุหยินสาวงามหนังจิ้งจอกเดินอยู่บนถนนที่เงียบสงัดกับท่านเฉิน
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “เด็กคนนั้นค่อนข้างเหมือนพ่อของเขา เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
สตรีอืมรับหนึ่งที แล้วจู่ๆ ก็อารมณ์ดีขึ้นมา “เหมือนจริงๆ ด้วย!”
หม่าตู่อี๋ถอนหายใจ นัยน์ตาแฝงร้อยยิ้ม แต่ปากกลับบ่นว่า “ท่านเฉิน วันๆ เอาแต่คิดเรื่องมากมายขนาดนี้ ตัวเจ้าเองไม่เหนื่อยหน่ายบ้างหรือ ขนาดข้าแค่ฟังยังรำคาญเลย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คิดเรื่องพวกนี้ไม่น่าเบื่อ แต่พอคิดว่าแต่ละวันเจ้าทำตัวหน้าไม่อายไม่ยอมกลับเข้ากระดาษยันต์ไปสักที จะต้องคอยมางัดข้อกับข้าอยู่ทุกวัน แล้วพอคิดคำนวณเงินเกล็ดหิมะที่ต้องจ่ายไป ข้าก็เบื่อแล้ว”
หม่าตู่อี๋อับอายจนพานเป็นความโกรธ “น่ารำคาญจริงๆ!”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร
รอจนกระทั่งเจิงเย่ซื้อของจุกจิกมาครบแล้ว เฉินผิงอันถึงเล่าเรื่องน่าสนใจเล็กๆ เรื่องหนึ่งให้พวกเขาฟัง บอกว่าในร้านแห่งนั้น ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่ตบะสูงกว่าเลือกเด็กหนุ่มท่าทางทึ่มทื่อ ส่วนผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรกลับเลือกเด็กหนุ่มที่ดูฉลาด
ทว่าเรื่องเล็กๆ ในสายตาคนนอกเช่นนี้
บางทีสำหรับเด็กหนุ่มสองคนที่ยังไม่รู้ประสาแล้ว รอจนพวกเขาได้เดินไปบนเส้นทางการฝึกตนอย่างแท้จริงก็ถึงจะเข้าใจว่า ที่แท้นั่นเป็นเรื่องที่ใหญ่เทียมฟ้า
ก็เหมือนกับหลังจากที่ม้าทั้งสามแยกทางกับสวี่เม่าตอนนั้น
มีเด็กหนุ่มคนตัดไม้คนหนึ่งที่ผ่านทางมาโดยบังเอิญสะดุดล้มโดยไม่ทันระวัง ผลพอขุดดินออกดู ภาพที่ปรากฏใต้กองหิมะกลับทำให้เด็กหนุ่มตกใจเกือบตาย
บางทีนั่นอาจเป็นเจตนารมสวรรค์ที่มองไม่เห็น เด็กหนุ่มที่มีชีวิตยากลำบากจนเกือบทนต่อไปไม่ไหวกัดฟันปลุกความกล้า ขุดพื้นหิมะแถบนั้นไปให้ถึงที่สุด
ตอนที่จากไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ บนร่างของเด็กหนุ่มก็มีแผ่นหยกที่สามารถแผ่ความอบอุ่นได้มาเพิ่มอีกแผ่นหนึ่ง
แผ่นหยกที่หันจิ้งซิ่นชื่นชอบจึงเอามาถือเล่นในมือแผ่นนั้น ด้านหนึ่งสลักตัวอักษรโบราณสามคำว่า ‘ภูเขาเมฆาเรือง’ อีกด้านหนึ่งสลักบทกวีอันเป็นคาถาท่อนหนึ่งของภูเขาเมฆาเรือง
บนมหามรรคา โชคและภัยยากจะคาดเดา หนึ่งดื่มหนึ่งจิก แตกต่างกันดุจเมฆกับโคลน
หลังจากนั้นพวกเฉินผิงอันสามคนก็เดินทางกันต่อ ยามสนธยาของหลายวันถัดมา บนเส้นทางที่ค่อนข้างเปลี่ยวแห่งหนึ่ง เฉินผิงอันพลันพลิกตัวลงจากหลังม้า เดินออกจากถนนไปประมาณสิบกว่าก้าว ในพื้นหิมะที่มีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นแห่งหนึ่ง เขาโบกชายแขนเสื้อสลายกองหิมะที่ทับถมกันออกไป เผยให้เห็นภาพที่น่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้ในพื้นหิมะ ไม่เพียงแต่เศษแขนขากระจัดกระจายเป็นท่อนเป็นชิ้น อวัยวะภายในยังถูกแหวกอกควักออกมาจนเกลี้ยง สภาพการตายน่าอนาถอย่างถึงที่สุด อีกทั้งน่าจะเพิ่งตายได้ไม่นาน มากสุดก็เมื่อหนึ่งวันก่อน หนำซ้ำแถบพื้นที่นี้ที่ควรมีปราณดุร้ายอึมครึมอาบย้อมกลับไม่มีสัญญาณเลยแม้แต่น้อย
นี่ต้องเป็นการกระทำของผู้ฝึกตนที่มีเวทลับเฉพาะ
หม่าตู่อี๋ไม่อาจทนมองดูได้ เจิงเย่ก็ยิ่งวิ่งไปอาเจียนแห้งอยู่อีกทาง
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!