กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 449

เฉินผิงอันเอาศพไปฝังไว้ตรงจุดที่ห่างจากถนนไปค่อนข้างไกล ก่อนจะทำเช่นนั้น เขาก็ได้พยายามประกอบร่างของคนที่น่าสงสารเหล่านั้นให้สมบูรณ์แบบมากที่สุดเสียก่อน

เฉินผิงอันทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ และแน่ใจแล้วว่ารอบด้านไร้ผู้คนก็หยิบหอแก้วจำลองชิ้นนั้นออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ เชิญวัตถุหยินตนหนึ่งที่ตอนยังมีชีวิตอยู่คือผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร แต่พอตายไปถูกอวี๋กุยจับทำเป็นทหารผีออกมา

จากนั้นทหารผีที่ยังเหลือสติปัญญาตนนี้ก็ใช้เวลาครึ่งวันกว่าๆ จึงจะพาม้าทั้งสามตัวไปเยือนเทือกเขาสูงชันที่ร้างผู้คนแห่งหนึ่งได้ เมื่อมาอยู่ในบริเวณแถบชายแดนของพื้นที่นี้ เฉินผิงอันได้เก็บหม่าตู่อี้เข้าไปไว้ในยันต์ แล้วให้ทหารผีเข้าสิงร่างเจิงเย่

แล้วพวกเขาก็เริ่มขึ้นเขา สุดท้ายหาถ้ำกลางภูเขาแห่งหนึ่งที่สลักสองคำว่า ‘จั๋วฉิน’ ไว้บนหน้าผาเจอ

เดิมทีสภาพของภูเขาลูกนี้ก็เรียกได้ว่าภูเขาเขียวน้ำใส ที่ตั้งของถ้ำก็ราวกับภาพวาดที่ถูกแต้มนัยน์ตามังกร (เปรียบเปรยถึงผลงานทางวรรณกรรม ภาพวาด ฯลฯ ที่หากถูกแต่งเสริมอย่างถูกจุดก็จะยิ่งงดงามสมบูรณ์แบบ) อย่างไรอย่างนั้น

เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนที่เป็นคนบุกเบิกถ้ำแห่งนี้ในช่วงแรกสุดกลับไม่อยู่แล้ว ภายหลังจึงถูกพวกภูตผีบนภูเขายึดครองไป

เฉินผิงอันและ ‘เจิงเย่’ ก้าวเข้าไปภายใน

หลังเดินมาได้ร้อยก้าวกว่า การมองเห็นก็พลันสว่างไสวเปิดกว้าง นี่คือถ้ำขนาดมโหฬารแห่งหนึ่งที่สว่างไสวไปด้วยแสงเทียน มีภูตภูเขาสิบกว่าตนที่ยังไม่อาจจำแลงร่างเป็นคนได้อย่างสมบูรณ์แบบ รวมไปถึงปีศาจใหญ่แห่งภูเขาลึกที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานอีกหนึ่งตน ซึ่งหากยืนขึ้น ความสูงก็น่าจะถึงสองจั้งกว่า เป็นเหตุให้เรือนกายใหญ่โตดุจภูเขาลูกย่อม เห็นเพียงว่าเขาสวมเสื้อเกราะสีทองทับชุดคลุมสีเหลือง กวานบนศีรษะค่อนข้างเอียง มีสาวงามที่สวมชุดเปิดเผยเนื้อหนังสองคนเอนตัวพิงบัลลังก์ตัวนั้น กำลังบีบนวดน่องขาให้ปีศาจใหญ่ ด้านข้างบัลลังก์ยังมีเก้าอี้กวานเม่า (เก้าอี้ทรงหมวกขุนนาง มีที่มาจากรูปทรงหมวกขุนนางในสมัยราชวงศ์ซ่งที่เป็นหมวกทรงครอบศีรษะและมีแขนยื่นยาวออกไปทั้งสองข้าง) ไม้จื่อถานอีกตัวหนึ่ง ผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้คือบุรุษชุดเขียวที่คลี่ยิ้มแฝงเลศนัย

คนก็ดี ปีศาจก็ช่าง ดูเหมือนว่าจะกำลังรอคอยเจ้าโง่สองคนที่พาตัวมาติดร่างแห

ส่วนศีรษะของปีศาจใหญ่ชุดเหลืองสวมเกาะยังคงเป็นหัวเสือดาวซึ่งเป็นร่างที่แท้จริง มันนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน แกว่งจอกเหล้าใบใหญ่ในมือไปมา พอมีสุราสีแดงสดหล่นกระเซ็นลงบนพื้น มันก็จะยกเท้าขึ้นเหยียบเบาๆ บนศีรษะของสตรีหน้าตางามพิลาสนางหนึ่ง ฝ่ายหลังจะรีบนอนหมอบลงกับพื้น แลบลิ้นเลียสุราเหล่านั้นให้แห้ง พอเงยหน้าขึ้น ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้มหลงใหล

บุรุษชุดเขียวหันตัวมายกนิ้วโป้งให้ แล้วเอ่ยชื่นชมว่า “ต้าหวัง (คำเรียกที่หมายถึงท่านอ๋องใหญ่ ท่านราชาผู้ยิ่งใหญ่) ช่างมีมาดของ ‘จอมทัพถือจอกเหล้ามองหิมะโปรยปราย’ จริงๆ!”

ปีศาจใหญ่แสยะปากหัวเราะ “มองหิมะกับมารดาเจ้าสิ จะไปเอาหิมะโปรยปรายมาจากไหน? อย่าว่าแต่ในถ้ำแห่งนี้ของข้าเลย หิมะข้างนอกก็หยุดตกไปนานแล้วด้วย”

บุรุษหัวเราะพลางชี้ไปยังหน้าอกที่อวบอิ่มของสตรีงดงามผู้หนึ่ง “แค่ต้าหวังก้มหน้าลงก็มองเห็นแล้ว”

ปีศาจใหญ่หัวเราะฮ่าๆ อย่างชอบใจ

ในถ้ำพลันมีเสียงไชโยโห่ร้องขานรับดังสนั่น

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “คุยกันจบแล้ว?”

ปีศาจใหญ่ที่พลังอำนาจท่วมท้นน่าเกรงขามตนนั้นหรี่ตาลง “รีบร้อนอยากลงกระทะน้ำมันขนาดนี้เชียวหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ยังต้องเดินทางต่ออีก จึงค่อนข้างรีบ”

บุรุษชุดเขียวยิ้มกล่าว “โลกวุ่นวายขนาดนี้ ก็เลยอยากรีบตายรีบไปเกิดใหม่งั้นรึ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับอีกครั้ง “มีเหตุผล”

ครึ่งชั่วยามต่อมา

เฉินผิงอันและเจิงเย่ตัวจริงก็ออกมาจากถ้ำแห่งนี้

แม่ทัพผีที่เลือกจะอยู่ต่อในจวน ‘จั๋วฉิน’ เดินมาส่งคนทั้งสองที่หน้าประตู

ส่วนในถ้ำที่อยู่ด้านหลังเขานั้น

‘ปีศาจใหญ่’ ขอบเขตชมมหาสมุทรที่สวมชุดเหลืองเสื้อเกราะสีทองตายจนตายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ส่วนบุรุษชุดเขียวที่เป็นกุนซือของปีศาจใหญ่ผู้นั้น เขาไม่ใช่ภูตผีปีศาจอะไร เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง เขาจึงตายก่อนปีศาจใหญ่ อีกทั้งจิตวิญญาณยังถูกแม่ทัพผีกลืนกินเสียจนสิ้น

ส่วนสตรีสองคนที่เป็นมนุษย์เหมือนกันนั้น เมื่อไม่มีเวทลับพันธนาการ คนหนึ่งก็เลือกจะพักพิงพึ่งพาแม่ทัพผีที่เป็นเจ้านายคนใหม่ ส่วนอีกคนหนึ่งเอาหัวพุ่งชนผนังถ้ำตายไปแล้ว แต่ตามข้อตกลงที่มีกับนางก่อนหน้านี้ ดวงวิญญาณของนางจึงถูกเฉินผิงอันรับไปไว้ในที่พักเดิมของแม่ทัพผีในเรือนแก้วจำลอง

ภูตภูเขาตนอื่นๆ บ้างก็ถูกฆ่า แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่ตาย คาดว่าแม้แต่พวกมันก็คงไม่รู้ว่าเหตุใดถึงรอดชีวิตมาได้

เพราะอันที่จริงแล้วเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูปนับจากที่เฉินผิงอันซึ่งเป็นนักบัญชีสมชื่อของเกาะชิงเสียลงมือไปจนถึงออกหมัดเสร็จสิ้น เขาก็ล้วนกำลังคิดคำนวณอยู่ตลอดเวลา

เฉินผิงอันพูดกับแม่ทัพผีตนนั้นว่า “ก่อนที่ข้าจะไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนจะแวะมาดูใหม่ หลังจากนั้นก็จะเป็นเจิงเย่ที่มา”

แม่ทัพผีพยักหน้ารับ “ข้าจะตั้งใจฝึกตนอยู่ที่นี่ ไม่มีทางไปรบกวนคนธรรมดา ตอนนี้แคว้นสือหาววุ่นวายขนาดนี้ ผีร้ายวิญญาณพยาบาทที่ค่อนข้างหาตัวได้ยากในเวลาปกติย่อมมีไม่น้อย”

เฉินผิงอันถาม “สิบปีร้อยปีให้หลังล่ะ?”

แม่ทัพผีตกตะลึง

เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่า “พยายามช่วงชิงสถานะเทพภูเขามาให้ได้ ต่อให้ตอนแรกจะเป็นแค่ศาลเถื่อนที่ทางราชสำนักไม่ให้การยอมรับก็ตาม”

แม่ทัพผีกุมหมัดคารวะอย่างนับถือ “พระคุณยิ่งใหญ่ของท่านเฉิน ข้าจะจดจำไว้ขึ้นใจ!”

แต่เฉินผิงอันกลับไม่ได้พูดอะไร เพียงพาเจิงเย่ลงภูเขาจากไปไกล

เดินมาได้ครึ่งทาง เฉินผิงอันก็หยิบยันต์ออกมา หม่าตู่อี๋จึงได้มาเห็นแสงสว่างอีกครั้ง

แล้วนางก็เริ่มชวนเจิงเย่คุยอย่างคนคุ้นเคยกันทันที

เฉินผิงอันส่ายหน้าอย่างระอาใจ

หลังจากนั้นก็ยังคงควบม้าเดินทางไม่หยุด มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับตอนอยู่ทางใต้ของแคว้นสือหาวที่สามารถเลือกถนนทางหลวงสายใหญ่ได้แล้ว ตอนนี้เฉินผิงอันสามคนกลับพยายามเลือกถนนสายเล็กเป็นหลัก

ยามพลบค่ำของวันหนึ่ง ม้าทั้งสามตัวก็พากันมาถึงเมืองแห่งหนึ่งก่อนที่ประตูเมืองจะปิดลงได้อย่างหวุดหวิด หลังจากทหารที่เฝ้าประตูตรวจเอกสารผ่านทางของพวกเขาอย่างเข้มงวดแล้ว พวกเขาก็รีบร้อนพากันเข้าเมือง

ตอนนี้เมืองสำคัญทางทิศเหนือที่ ‘เต็มไปด้วยบาดแผล’ แห่งนี้ได้เป็นของในกระเป๋าของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีแล้ว แต่ต้าหลีไม่ได้ทิ้งทหารม้าไว้เฝ้าเมืองมากนัก มีแค่ร้อยกว่านายเท่านั้น อย่าว่าแต่พิทักษ์เมืองเลย แค่เฝ้าประตูเมืองแห่งหนึ่งยังไม่พอด้วยซ้ำ นอกจากนี้แล้วก็มีขุนนางบุ๋นติดตามกองทัพที่มีตำแหน่งขุนนางเป็นเลขาธิการฝ่ายบุ๋นอยู่อีกกลุ่มหนึ่ง รวมไปถึงเลขาธิการฝ่ายบู๊ที่ทำหน้าที่เป็นองค์รักษ์ผู้ติดตาม หลังจากเข้าเมืองมา ต้องเดินหากันเกือบครึ่งเมืองกว่าจะเจอกับโรงเตี๊ยมเล็กๆ ให้พักแรม

สาเหตุนั้นเรียบง่ายมาก เพราะหลังจากที่ศึกใหญ่ปิดฉากลง คนบาดเจ็บล้มตายมีจำนวนมาก หลังจากนั้นยังเกิดคลื่นมรสุมที่นักฆ่าลอบสังหารขุนนางบุ๋นต้าหลี และอีกอย่างวันมะรืนก็จะเป็นวันสิ้นปีแล้ว ตอนนี้ชาวบ้านใช้ชีวิตกันอย่างอดอยาก เดิมทีกิจการก็ซบเซาอยู่แล้ว พอบวกเข้ากับเป็นช่วงปีใหม่ พวกเฉินผิงอันสามารถหาโรงเตี๊ยมแห่งนี้เจอได้ก็ถือว่าโชคไม่เลวแล้ว

วันต่อมาเจิงเย่ถูกบุรุษวัตถุหยินตนหนึ่งสิงร่าง เขาพาเฉินผิงอันไปเยือนสำนักแห่งหนึ่งในยุทธภพที่ตั้งรกรากอยู่ในเมืองแห่งนี้ ตลอดทั้งยุทธภพของแคว้นสือหาว สำนักนี้ถือว่าเป็นแค่กลุ่มอิทธิพลระดับสามเท่านั้น แต่สำหรับชาวบ้านที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในเมืองแห่งนี้กลับยังคงเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจสั่นคลอนได้ วัตถุหยินตนนั้น ในอดีตก็คือหนึ่งในชาวบ้านของที่นี่ พี่สาวที่มีชีวิตพึ่งพากันและกันกับเขาถูกเจ้าสำนักที่เป็นดั่งงูเจ้าถิ่นของมณฑลหมายตา แม้แต่ว่าที่สามีของนาง อาจารย์สอนหนังสือยากจนที่ไม่มีตำแหน่งติดตัวคนหนึ่งก็ยังต้องจมน้ำตายอยู่ในลำคลองกับนาง เสื้อผ้าของสตรีขาดวิ่นไม่เป็นระเบียบ เพียงแต่ว่าศพลอยแช่อยู่ในน้ำ ใครยังจะกล้ามองมากอีก? สภาพการตายของบุรุษอนาถยิ่งกว่า ดูเหมือนว่าก่อนจะ ‘ตกน้ำ’ ยังถูกตัดเท้าทิ้งด้วย

เด็กหนุ่มคนหนึ่งใช้เงินสะสมทั้งหมดในบ้านจัดงานศพให้พี่สาวและบุรุษที่เขามองเป็นพี่เขยมานานแล้วเรียบร้อยก็แอบออกจากเมืองไปอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็เดินทางผ่านสถานที่หลายแห่งจนไปถึงอาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยน กลายไปเป็นนักการในจวนเทพเซียน ไม่มีคุณสมบัติในการฝึกตน แม้แต่ฝึกวรยุทธก็ยังไม่ได้ หลังจากนั้นก็ต้องมาตายเหมือนกับพี่สาวและพี่เขยในปีนั้น

‘เจิงเย่’ ยืนอยู่นอกประตูใหญ่ของจวนแห่งหนึ่งที่เปลี่ยนป้ายจวนไปแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!