เว่ยป้อเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า เชื่อใจข้าเว่ยป้อหรือไม่ กับการที่เจ้าเฉินผิงอันจะลงนามสัญญาพันธมิตรภูเขานี่หรือไม่ สามารถนำมาเป็นหนึ่งในเรื่องที่ต้องพิจารณา ทว่าน้ำหนักกลับไม่มากนัก
เมื่อเกี่ยวพันกับมหามรรคา จำเป็นต้องระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก
ช่วงท้ายสุดของจดหมายลับ เว่ยป้อก็บอกว่าเรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน เขาสามารถช่วยถ่วงเวลาไปให้ได้อีกครึ่งปีถึงหนึ่งปี ค่อยๆ ครุ่นคิดใคร่ครวญก็แล้วกัน ต่อให้ถึงเวลานั้นสถานการณ์ของแจกันสมบัติทวีปจะชัดเจนดีแล้ว สกุลซ่งต้าหลีโจมตีราชวงศ์จูอิ๋งได้สำเร็จแล้วเคลื่อนพลลงใต้ต่อ ถึงเวลานั้นเขาเว่ยป้อที่เป็นคนกลางที่ดี เฉินผิงอันที่เป็นผู้ซื้อก็ช่าง ก็แค่ทำตัวหน้าหนาสักหน่อย ยืนกรานอย่างหน้าไม่อายว่าจะลงนามสัญญากับต้าหลีก็เท่านั้น ไม่ว่าบนหรือล่างภูเขา เดิมทีการทำการค้าก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องลำบากใจ
เฉินผิงอันจึงเปิดหีบไม้ใบเล็กใบนั้น ส่งกระบี่บินส่งข่าวกลับไปยังเนินกระบี่ขนาดเล็กที่เป็นของหลิวจื้อเม่าโดยเฉพาะ เนื่องจากต้องขอให้เจ้าเกาะท่านนี้ช่วยส่งข่าวต่อไปยังภูเขาพีอวิ๋น เขาจึงตอบกลับไปในจดหมายแค่สองคำว่า ‘ตกลง’
เฉินผิงอันทำเรื่องพวกนี้เสร็จก็เดินมาที่หน้าต่าง พวกแม่ทัพหอกยาวอย่างสวี่เม่าที่เป็นผู้กล้าแห่งแคว้นสือหาว ยามอยู่ในช่วงกลียุค ความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะลุกผงาดขึ้นมาย่อมมีสูงมาก หากต้าหลีสามารถโจมตีราชวงศ์จูอิ๋งแล้วเดินทางลงใต้ไปอย่างราบรื่น สวี่เม่าที่ตอนนี้ถือเป็นขุนนางระดับกลางที่กุมอำนาจอยู่ในต้าหลีแล้วก็จะสามารถบัญชาการณ์และระดมกองทัพม้าเหล็กฝีมือดีของต้าหลีได้หนึ่งกอง นี่ก็ไม่ต่างจากพยัคฆ์ติดปีก บนเส้นทางการกรีฑาทัพลงใต้ของกองทัพใหญ่ก็จะมีคุณความชอบทางการทหารมากมายรอให้เขาไปกอบโกย ประเด็นสำคัญคือทั้งจิตใจและฝีมือของสวี่เม่าล้วนเหนือกว่าองค์ชายหันจิ้งซิ่น สิ่งที่สวี่เม่าขาดก็แค่สถานะที่มีมาแต่กำเนิดเท่านั้น
ซูเกาซาน ว่ากันว่ามีชาติกำเนิดมาจากตระกูลยากจนของชายแดนเช่นเดียวกัน นี่ไม่ต่างจากสวี่เม่าแห่งแคว้นสือหาวเลย เชื่อว่าการที่สวี่เม่าได้รับการผลักดันเลื่อนขั้นเป็นพิเศษก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย หากเปลี่ยนไปเป็นเฉาผิงแม่ทัพหลักของกองทัพใหญ่อีกกองหนึ่ง หากสวี่เม่าเลือกสวามิภักดิ์กับแม่ทัพใหญ่ซึ่งเป็นหนึ่งในแซ่สกุลของนายพลผู้ค้ำยันแคว้นท่านนี้ เขาเองก็จะต้องได้รับรางวัลเช่นเดียวกัน แต่ย่อมไม่ใช่ได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นแม่ทัพบู๊ระดับสี่ชั้นเอกโดยตรงแน่นอน บางทีในอนาคตอาจได้ตบรางวัลใหญ่ แต่ความเร็วในการปีนป่ายและอนาคตในกองทัพของสวี่เม่าจะต้องช้ากว่าหลายส่วน
การเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ เฉินผิงอันเดินทางผ่านอำเภอ เมืองและมณฑลมากมาย กองทัพม้าเหล็กใต้บัญชาการณ์ของซูเกาซานย่อมไม่อาจพูดได้ว่าจะไม่แตะต้องผลประโยชน์ของมวลชนแม้แต่เส้นผมเดียว ทว่ากฎเกณฑ์มากมายในกองทัพชายแดนต้าหลีก็พอจะทำให้มองเห็นได้เลือนๆ ยกตัวอย่างเช่นเมืองอันเป็นบ้านเกิดของโจวกั้วเหนียนที่ถูกตีแตกก่อนหน้านี้ ได้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงเนื่องจากผู้กล้าแคว้นสือหาวลอบสังหารเลขาธิการบุ๋นของต้าหลี หลังเกิดเรื่องต้าหลีก็ระดมกองทัพม้าฝีมือดีกองหนึ่งให้มาช่วยเหลือที่เมืองอย่างรวดเร็ว ร่วมมือกับผู้ฝึกตนติดตามกองทัพ ภายหลังจับตัวการสำคัญมาได้แล้วประหารทันที หัวแต่ละหัวถูกแขวนไว้บนกำแพงเมือง ขุนนางท้องถิ่นระดับขั้นไม่ต่ำของเมืองที่มีความผิดหลายคนซึ่งรวมถึงผู้ตรวจการและรองผู้ตรวจการล้วนถูกจับขังคุก คนในครอบครัวถูกกักบริเวณอยู่ในจวน แต่ไม่ได้มีผลกระทบเดือดร้อนอย่างอื่นโดยที่ไม่จำเป็น ระหว่างนี้เกิดเรื่องขึ้นเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่าตนเองต้องมองซูเกาซานเสียใหม่ นั่นก็คือในค่ำคืนที่เกิดพายุหิมะ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งปีนขึ้นกำแพงเมืองไปเก็บศีรษะของอาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถูกแขวนอยู่บนกำแพงเมืองมา ผลกลับกลายเป็นว่าถูกทหารที่เฝ้าอยู่บนกำแพงจับได้ แต่กระนั้นก็ยังปล่อยให้เด็กหนุ่มผู้ฝึกยุทธคนนั้นหนีไปได้ เพียงแต่ว่าไม่นานเขาก็ถูกเลขาธิการฝ่ายบู๊สองคนดักตัวไว้ เรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก อีกทั้งยังเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเคยเกิดขึ้นในการกรีฑาทัพลงใต้ครั้งนี้ รายงานจึงถูกส่งต่อเบื้องบนไปเป็นทอดๆ สุดท้ายดังเข้าหูซูเกาซานแม่ทัพใหญ่ ซูเกาซานบอกให้คนพาตัวเด็กหนุ่มผู้ฝึกยุทธของแคว้นสือหาวคนนั้นมาไว้นอกกระโจมแม่ทัพ หลังจากพูดคุยกันก็โยนเงินถุงใหญ่ให้เด็กหนุ่มคนนั้น อนุญาตให้เขาฝังศพอาจารย์ในสภาพสมบูรณ์ครบถ้วน แต่ข้อเรียกร้องเพียงอย่างเดียวก็คือต้องการให้เด็กหนุ่มรู้ว่าตัวการที่แท้จริงของเรื่องนี้คือเขาซูเกาซาน วันหน้าห้ามสร้างปัญหาให้แก่กองทัพชายแดนต้าหลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางบุ๋นอีก หากคิดจะแก้แค้น วันหน้ามีปัญญาก็ให้มาหาเขาซูเกาซานโดยตรง
เรื่องนี้ถูกนำมาเล่าลือกันอย่างแพร่หลายในวงการขุนนางและยุทธภพแถบภาคกลางของแคว้นสือหาว
จากนั้นก็คือเรื่องใหญ่เรื่องแรกที่หลิวจื้อเม่าพูดถึง
สตรีชุดเขียว เด็กหนุ่มชุดขาว
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม
จิตของเขาขยับเคลื่อนเล็กน้อย ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนหน้าต่าง แตะปลายเท้าเบาๆ ทะยานขึ้นไปบนสันหลังคาแล้วเริ่มเดินช้าๆ เดินไปอย่างไร้จุดหมาย แค่เดินเล่นอยู่บนหลังคาเรือนแห่งแล้วแห่งเล่าเท่านั้น
น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ยังวางไว้บนโต๊ะ ดาบไม้ไผ่และกระบี่เลียนแบบฉวีหวงก็ไม่ได้พกมาด้วย
ทำตามใจปรารถนา ไม่ละเมิดกฎเกณฑ์
ฟ้าดินกว้างใหญ่ อยากไปไหนก็ไป
สุดท้ายเฉินผิงอันหยุดเดิน ยืนอยู่บนหลังคาตวัดงอนของเรือนหลังหนึ่ง หลับตาลงแล้วเริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู เพียงแต่ไม่นานก็เลิกทำ เงี่ยหูตั้งใจฟัง ดูเหมือนว่าระหว่างฟ้าดินจะมีเสียงหิมะละลาย
เลขาธิการฝ่ายบู๊คนหนึ่งของต้าหลีที่เฝ้าพิทักษ์เมืองแห่งนี้ คือผู้ฝึกตนติดตามกองทัพคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามาจากภูเขาลูกไหนของต้าหลี ไม่แน่ว่าอาจจะมาจากภูเขาเจินอู่หนึ่งในปฐมสำนักของสำนักการทหาร
คือบุรุษหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเกราะเบา เขาเองก็เดินอยู่บนหลังคาเช่นเดียวกัน วันนี้ไม่มีเรื่องอะไรทำ อีกทั้งยังไม่ถือว่าเป็นคนในกองทัพ ในมือจึงหิ้วเหล้ากาหนึ่งที่อุ่นมาไว้เรียบร้อยแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงชายคาห่างไปสิบกว่าก้าว คลี่ยิ้มเอ่ยเตือนด้วยภาษากลางของทวีป “แค่ชมทิวทัศน์ย่อมไม่เป็นปัญหา ต่อให้จะไปชมบนหัวกำแพงเมืองก็ยังได้ ข้าเองก็ออกมาผ่อนคลายอารมณ์เหมือนกัน สามารถไปด้วยกันได้”
นี่เป็นประโยคที่เกรงใจและมีมารยาทมากแล้ว เมื่อกองทัพม้าเหล็กต้าหลีบุกไปที่ไหนที่นั่นก็พังราบเป็นหน้ากลอง ภายใต้การบดขยี้ของกีบเท้าม้า ทุกคนที่ไม่ใช่คนของต้าหลีย่อมถือเป็นคนต่างถิ่น ถือเป็นแคว้นใต้อาณัติที่ต้องหันมาพึ่งพาต้าหลีทั้งหมด แต่ในคำพูดของผู้ฝึกตนหนุ่มก็แฝงการตักเตือนไว้ด้วย
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!