กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 457

โจวเฟิงลู่ส่ายหน้า “หลิวจื้อเม่า หวังว่าครั้งหน้าที่พบกัน รอให้ข้าได้เป็นเจ้าประมุขของสำนักเบื้องล่างแล้ว เจ้าจะยังพูดจาด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างแบบนี้ได้อีก”

หลิวจื้อเม่ารีบกล่าวว่า “อย่ารีบร้อนๆ ต่อให้ได้เป็นเจ้าประมุขของสำนักเบื้องล่างแล้ว พวกเราก็ยังพูดคุยกันได้อยู่ดี ผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเรา ความหยิ่งในศักดิ์ศรีจะนับเป็นผายลมอะไรได้ พวกเราชอบขับเรือตามกระแสลมที่สุดเลยล่ะ”

โจวเฟิงลู่ออกไปจากคุกน้ำอย่างเงียบเชียบ

ผู้ฝึกตนอิสระก่อกำเนิดของทะเลสาบซูเจี่ยนผู้นี้สมกับเป็นเนื้อหมาที่เอาขึ้นโต๊ะงานเลี้ยงไม่ได้จริงๆ ฆ่าก็ไม่ได้ กินก็ไม่ลง โจวเฟิงลู่ตัดสินใจแล้วว่าขอแค่วันใดที่ตนได้เป็นเจ้าประมุขของสำนักเบื้องล่าง วันนั้นก็จะสังหารหลิวจื้อเม่าทันที จะไม่เปลืองน้ำลายพูดกับผู้ฝึกตนอิสระคนนี้อีกแม้แต่ครึ่งคำ

หลังจากที่โจวเฟิงลู่กลับไปยังจวนของตัวเองแล้ว

เจ้าของเกาะกงหลิ่วที่แท้จริงอย่างหลิวเหล่าเฉิงก็เดินเข้ามาในชั้นล่างสุดของคุกน้ำ ผู้ฝึกตนสำนักกุยหยกตลอดทางที่เขาเดินผ่านมาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเขา ทั้งไม่ทักทาย แล้วก็ไม่ห้ามปราม

ทะเลสาบซูเจี่ยนมีสายน้ำสามเส้นที่เป็นรากฐาน โชคชะตาน้ำเข้มข้น สายน้ำเส้นอื่นๆ นั้นแตกออกไปอีกเป็นจำนวนมาก แต่กลับเล็กบาง กระจัดกระจายปะปนกันวุ่นวาย แล้วก็ถูกขั้วอำนาจบนเกาะพันกว่าเกาะแบ่งสันปันส่วนกันไปจนสิ้นแล้ว

หนึ่งในนั้นมีเส้นหนึ่งที่เกาะกงหลิ่วยึดครองไว้เพียงลำพัง ค่ายกลของคุกน้ำก็มีสายน้ำนี้เป็นรากฐาน

นี่ก็คือกุญแจสำคัญที่สามารถสยบหลิวจื้อเม่าไว้ได้อย่างสบายๆ

เกาะชิงเสียเองก็ขโมยสายน้ำไปกว่าครึ่งสาย จวนเหิงโปก็คือตาของค่ายกล น่าเสียดายก็แต่ตอนนี้จวนเหิงโปพังครืนไปแล้ว โชคชะตาน้ำไหลซ่านเซ็น ได้ดีผู้ฝึกตนเซียนดินที่อยู่บนเกาะใต้อาณัติอย่างพวกเถียนหูจวิน อวี๋กุ้ยไปเปล่าๆ

ส่วนเกาะใหญ่สามเกาะอย่างเกาะชิงจ่ง เทียนหมู่และลี่ซู่ก็ร่วมกันแบ่งรากฐานสายน้ำเส้นสุดท้ายของทะเลสาบซูเจี่ยนไป

หลิวเหล่าเฉิงที่พอมาถึงชั้นล่างของคุกน้ำแล้วก็สร้างฟ้าดินขนาดเล็กตัดขาดโลกภายนอกทันที

หลิวจื้อเม่าเงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้วน้อยๆ

เขาไม่ได้หวาดเกรงโจวเฟิงลู่ผู้นั้นสักเท่าไหร่ แต่สำหรับผู้อาวุโสของทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างหลิวเหล่าเฉิงกลับกริ่งเกรงอย่างมาก

เพราะผู้ฝึกตนอิสระนั้นคุ้นเคยกับการรับมือกับผู้ฝึกตนอิสระดีที่สุด

กลับกลายเป็นว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลต่างหากที่กว่าจะคลำหาทางเจอก็ต้องใช้เวลาช่วงหนึ่ง

หลิวเหล่าเฉิงหยิบม้วนภาพวาดม้วนหนึ่งออกมา สะบัดเบาๆ ม้วนภาพก็คลี่ออก บนม้วนภาพมีบุรุษคนหนึ่งที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มเดินออกมา

เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างกรงขัง เอาสองมือไพล่หลัง ค้อมเอวยิ้มตาหยีมองหลิวจื้อเม่าแล้วเอ่ยถามว่า “ได้ยินว่าเจ้ากับเฉินผิงอันเป็นทั้งมิตรทั้งศัตรู ความสัมพันธ์คลุมเครือไม่ชัดเจน ยังไม่ต้องพูดถึงเขา ข้าก็เคยได้ยินหลิวเหล่าเฉิงเล่าว่า พวกเจ้าต่างก็ยอมรับว่าตัวเองคือคนรู้ใจของอีกฝ่ายครึ่งตัว?”

คราวนี้กลายเป็นหลิวจื้อเม่าที่ต้องมึนงงบ้างแล้ว เขาไม่ได้ตอบคำถามนั้น “เจ้าคือ…เจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยก?”

บุรุษผู้นั้นหัวเราะคิกคัก “เจ้าตอบคำถามของข้ามาก่อน แล้วข้าค่อยคิดดูว่าจะตอบคำถามของเจ้าหรือไม่ อย่างไรก็ควรพูดถึงกฎการมาก่อนมาหลังนี่นะ”

หลิวจื้อเม่าชำเลืองตามองหลิวเหล่าเฉิง กับโจวเฟิงลู่ หลิวจื้อเม่าเคยผ่านการ ‘ประมือ’ กับเขามาแล้วสองครั้ง จึงพอจะรู้เส้นขีดจำกัดของโจวเฟิงลู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถถ่วงเวลาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะเป็นเจียงซ่างเจินคนของสำนักกุยหยกตัวจริงเสียงจริงผู้นี้ อารมณ์ของหลิวจื้อเม่าพลันหนักอึ้ง ไม่กล้าพูดจาส่งเดช หลังจากใคร่ครวญดูแล้วก็พยักหน้ากล่าวว่า “ข้ากับเฉินผิงอันไม่อาจเป็นสหายกันได้ชั่วชีวิต ไม่ว่าข้าจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน หรือในอนาคตเขามีความสามารถพอจะงัดข้อกับข้า ไม่แน่ว่าอาจจะยังต้องมีการประมือกันเกิดขึ้นหนึ่งครั้ง แต่สำหรับข้ากับเฉินผิงอันในตอนนี้ ถือเป็นคนรู้ใจกันครึ่งตัว ก่อนหน้านี้ก็เคยดื่มเหล้าร่วมกันสองสามครั้งเท่านั้น”

บุรุษผู้นั้นปรบมือ แผดเสียงหัวเราะดังลั่น “ลำพังเพียงแค่ข้อนี้ เสี่ยวหลิว บวกกับเหล่าหลิวที่อยู่ด้านหลังข้า นับจากวันนี้เป็นต้นไป พวกเราสามคนก็ถือเป็นสหายตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกันแล้ว!”

หลิวจื้อเม่ามองไปทางหลิวเหล่าเฉิงอีกครั้ง ทั้งสีหน้าและสภาพจิตใจของฝ่ายหลังประหนึ่งบ่อน้ำโบราณที่ไร้คลื่น ไม่บอกกล่าวหรือให้คำเตือนใดๆ แก่หลิวจื้อเม่าแม้แต่น้อย

บุรุษยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าเดาไม่ผิด ข้าก็คือเจียงซ่างเจินผู้นั้น คือเจ้าประมุขของสำนักเบื้องล่างที่มาถึงอย่างล่าช้า”

บุรุษพลันลูบหน้าตัวเองแล้วบ่นพึมพำด้วยท่าทางเศร้ารันทดดุจสตรี “ในใจข้ามีความยากลำบากนี่นะ เจ้าโจวเฟิงลู่หน้าไม่อายผู้นั้นเกือบจะทำลายเรื่องดีๆ ของข้าเสียแล้ว หากไม่เป็นเพราะหลี่ฝูฉวีฉลาดมากพอ ตอนนี้ต่อให้ข้าต้องทุ่มสุดชีวิตก็คงต้องฆ่าโจวเฟิงลู่ผู้นั้นให้ตายให้จงได้ จากนั้นค่อยหิ้วหัวโจรเฒ่าผู้นั้นไปค้อมเอวก้มหัวขออภัยผู้อื่น! พอคิดถึงเรื่องนี้ ข้าก็นึกอยากจะวิ่งไปโขกหัวให้หลี่ฝูฉวีดีๆ สักครั้งแล้ว ให้รับนางเป็นแม่บุญธรรมจะเป็นไรไป”

เจียงซ่างเจินทุบหัวใจตัวเองเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดขมขื่น แต่ปากกลับผรุสวาทถ้อยคำหยาบคาย “ข้าเจียงซ่างเจินไม่ได้มาเช็ดตูดให้ใครที่ทะเลสาบซูเจี่ยนสักหน่อย เรื่องใหญ่ขนาดนี้ คงต้องไปพบเจอกับเฉินผิงอันเพื่อพูดคุยเรื่องในวันวานกันเสียแล้ว ส่วนตอนนี้ พูดคุยอย่างครื้นเครงกะผายลมอะไรกัน ตาแก่ที่ความสามารถทำงานให้สำเร็จมีไม่พอ แต่ความสามารถในการสร้างหายนะกลับเหลือเฟืออย่างโจวเฟิงลู่ผู้นี้ ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย ข้าก็จัดงานเลี้ยงที่สำนักใบถงไปแล้วนี่นา และตอนนี้ก็เป็นคนกันเองแล้ว เขากลับยังผลักข้าลงหลุมได้ลงคอ จิตใจชั่วร้ายต่ำทราม สมควรตาย สมควรตายจริงๆ …”

หลิวจื้อเม่าปากอ้าตาค้าง

หลิวเหล่าเฉิงเองก็หนังตากระตุกเบาๆ เห็นได้ชัดว่าเคยเจอเหตุการณ์ทำนองนี้จากเจียงซ่างเจินมาก่อน อาการจึงดีกว่าหลิวจื้อเม่าที่ทำท่าราวกับถูกฟ้าผ่าเล็กน้อย

เจียงซ่างเจินพลันหยุดพูดและเก็บรอยยิ้ม เงียบงันอยู่ครู่หนึ่งก็ถามขึ้นเบาๆ ว่า “หลิวจื้อเม่า ข้าจะถามเจ้าแทนโจวเฟิงลู่ประโยคหนึ่ง เจ้ายินดีจะเป็นผู้ถวายงานของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยกหรือไม่?”

หลิวจื้อเม่าลังเลตัดสินใจไม่ได้

แล้วทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าหลิวเหล่าเฉิงพยักหน้าให้เขาเบาๆ

หลิวจื้อเม่าจึงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผงกศีรษะ “ได้”

แล้วจากนั้นเขาก็พบว่ามีใบหลิวสีเขียวมรกตเปล่งปลั่งราวกับจะสามารถเค้นน้ำได้ใบหนึ่งหล่นลงกลางหว่างคิ้วของเขาอย่างพอดิบพอดี

เจียงซ่างเจินดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “ผู้ที่รู้สถานการณ์คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ หลิวจื้อเม่า นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือผู้ถวายงานลำดับสามของสำนักเบื้องล่างข้าแล้ว หลิวเหล่าเฉิง โจวเฟิงลู่ หลิวจื้อเม่า แต่ข้าหวังว่าหลังจากเจ้าเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนแล้วจะสามารถช่วยข้าสังหารโจวเฟิงลู่ผู้นั้นได้ ไม่ว่าใช้วิธีอะไรก็ได้ทั้งนั้น ตอนนี้ข้าสามารถรับปากกับเจ้าได้เลยว่า สมบัติพิทักษ์ภูเขาชิ้นสำคัญที่อยู่ในมือโจวเฟิงลู่ ทางสำนักเบื้องล่างสามารถให้เจ้ายืมใช้ได้หนึ่งร้อยปี ขอแค่หลังจากนี้มีคุณความชอบมากพอ จะยืมอีกร้อยปีก็ไม่ยาก แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ฆ่าคนไม่สำเร็จ แถมยังดันเป็นฝ่ายถูกฆ่าเสียเอง ถึงเวลานั้นก็อย่ามาโทษหากข้าไม่ช่วยเก็บศพให้เจ้า”

หลิวจื้อเม่าถาม “เรื่องเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน?”

เจียงซ่างเจินยื่นนิ้วโป้งข้างหนึ่งชี้ไปที่ตัวเอง “ข้าผู้อาวุโสมีอะไร? มีเงินเท่านั้น รอเจ้าสนิทกับข้าเมื่อไหร่คงอดสงสารข้าไม่ได้ มีเงินมากเกินไปก็น่ากลุ้มจริงๆ”

เจียงซ่างเจินทอดถอนใจหนึ่งที “อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนอิสระในแจกันสมบัติทวีปที่ยากจนจนไม่ได้ยินเสียงเหรียญกระทบกันเลย ต่อให้เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลห้าขอบเขตบนของใบถงทวีปอย่างพวกเราก็ยังไม่มีใครรู้ถึงความหงุดหงิดใจจากการที่มีเงินมากมายของข้า น่ารำคาญยิ่งนัก”

หลิวจื้อเม่ามองไปทางหลิวเหล่าเฉิงอีกครั้ง ร่วมมือกับคนประเภทนี้ไม่รู้สึกหวาดหวั่นบ้างหรือ? ลงเรือลำเดียวกับโจวเฟิงลู่จะไม่มั่นคงกว่าจริงๆ หรือไร?

สีหน้าหลิวเหล่าเฉิงไร้อารมณ์

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!