พอมาถึงเมืองเล็ก ยังไม่มีควันไฟจากการทำอาหารใดๆ มีเพียงเสียงหมาเห่า เสียงไก่ขันดังขึ้นสองสามที ยิ่งขับให้เห็นถึงความเงียบสงัด
ซ่งอวี่เซาเคาะประตูใหญ่ของร้านอาหารอย่างแรง ไม่ใช่เถ้าแก่ผู้เฒ่าคนนั้นที่เฉินผิงอันคุ้นเคยอีกแล้ว แต่เป็นชายฉกรรจ์วัยกลางคนที่ยังสะลึมสะลือเป็นผู้มาเปิดประตู เพียงแต่พอเห็นอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งก็ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าหมู่บ้านผู้เฒ่ามาทำอะไรหรือ?”
ซ่งอวี่เซาชี้ไปยังมือกระบี่ชุดเขียวสวมงอบที่อยู่ด้านหลัง “เจ้าหมอนี่อยากกินหม้อไฟ รบกวนพวกเจ้าช่วยจัดให้สักโต๊ะ”
ทั้งบนสีหน้าและในใจของชายฉกรรจ์ต่างก็ไม่มีคำบ่นแม้แต่น้อย ความผูกพันระหว่างร้านอาหารกับหมู่บ้านล้วนสืบทอดมาจากรุ่นบิดาของเขา แม้จะบอกว่าตอนนี้บิดาเสียชีวิตไปแล้ว และว่ากันว่าอีกไม่นานหมู่บ้านก็จะต้องย้ายไป แต่ชายฉกรรจ์ยังคงเห็นแก่ความดีของหมู่บ้านและเจ้าหมู่บ้านผู้เฒ่า จึงยิ้มเอ่ยว่า “ได้เลย ข้าจะไปเตรียมให้เจ้าหมู่บ้านผู้เฒ่าเดี๋ยวนี้ พอดีเลย ตอนนี้บนชั้นสองเงียบสงบนักล่ะ ไม่มีแขกคนอื่นๆ”
ซ่งอวี่เซาพาเฉินผิงอันไปนั่งตรงข้างหน้าต่างชั้นสองเหมือนเดิม
ร้านอาหารแห่งนี้รู้รสปากของอริยะผู้เฒ่าซ่งอวี่เซาดี ไม่ว่าจะเป็นน้ำแกงหรือผักเครื่องเคียงก็ล้วนจัดเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดมาให้อย่างคุ้นเคย
เพียงไม่นานบนโต๊ะก็จัดเรียงจานชามน้อยใหญ่ไว้จนเต็ม น้ำร้อนในหม้อไฟก็เริ่มเดือดปุดๆ
ซ่งอวี่เซาสั่งเหล้าสองกามาจากทางร้าน เขาดื่มกับเฉินผิงอันคนละกา เอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “วันนี้พวกเราดื่มแค่พอเป็นพิธีก็พอ ดื่มให้น้อย กินอาหารให้เยอะ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ซ่งอวี่เซาชำเลืองตามองถ้วยน้ำจิ้มที่เฉินผิงอันปรุงเองซึ่งวางอยู่ตรงข้ามกับเขา แดงฉานน่าดู ลำพังเพียงแค่พริกสับก็มีอยู่ครึ่งถ้วยแล้ว ไม่เลว เจ้าเด็กน้อยนี่ใช้ได้แล้ว
เมื่อเทียบกับเมื่อวาน เฉินผิงอันพูดคุยเรื่องบนภูเขาบางส่วนได้อย่างเปิดเผยเต็มที่มากกว่า
หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องการเดินทางไปเยือนภูเขาเหมิงหลง
วันนี้ซ่งอวี่เซาค่อนข้างจะควบคุมตัวเองในการดื่มเหล้า ส่วนใหญ่เขาจะเพียงจิบเหล้าคำเล็กๆ ฟังเฉินผิงอันเล่าเรื่องตอนฝ่าค่ายกลภูเขาแม่น้ำของภูเขาเหมิงหลงแล้วแล่นไปเล่นงานศาลบรรพจารย์ของที่แห่งนั้นจบ เขาก็คลี่ยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้ารับ “เมื่อเป็นเช่นนี้ ควันธูปของศาลบรรพจารย์ถึงจะขาดสะบั้นอย่างแท้จริง นับแต่นี้ไปบิดาและบุตรกลับกลายมาเป็นศัตรู ต่อให้จะยังไม่แตกหักกันในทันที ไม่แน่ว่าอาจจะยังระบายทุกข์ให้กันและกันฟัง หลังจบเรื่องใบหน้าเปื้อนยิ้มหัวเราะร่า แสร้งทำเป็นบิดาผู้มีเมตตา บุตรผู้กตัญญูกันต่อไป แต่ลวี่อวิ๋นไต้และลวี่ทิงเจียวกลับรู้กันดีอยู่แก่ใจว่า ยากที่บิดาและบุตรจะร่วมแรงร่วมใจกันได้อีกครั้ง วิธีการนี้ของเจ้าใช้ได้ผลยิ่งกว่าไปรื้อศาลบรรพจารย์ของอีกฝ่ายจริงๆ เสียอีก เจ้าเด็กน้อย ใช้ได้นี่นา ไม่ฆ่าคน แต่พิฆาตใจของเขา เจ้าไปเรียนรู้มาจากใคร?”
เฉินผิงอันเองก็จิบเหล้าคำเล็ก “เรียนรู้มาจากบนภูเขาส่วนหนึ่ง แล้วก็เรียนรู้มาจากยุทธภพส่วนหนึ่ง”
เฉินผิงอันคุยถึงเรื่องอู๋ซั่วเหวินอวี๋เวิงเซียนเซิงและยังมีเด็กหนุ่มจ้าวซู่เซี่ยกับเด็กสาวจ้าวหลวน ยิ้มบอกว่าเคยเล่าเรื่องหมู่บ้านวารีกระบี่ให้พวกเขาฟัง ไม่แน่ว่าวันหน้าพวกเขาอาจจะมาเยี่ยมเยือน หวังว่าทางหมู่บ้านจะไว้หน้าเขาบ้าง ต้องรับรองให้ดี หลีกเลี่ยงไม่ให้อาจารย์และศิษย์สามคนรู้สึกว่าเขาเฉินผิงอันเป็นคนขี้โม้ เป็นสหายข้ามรุ่นกับอริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยกะผายลมอะไร แท้จริงแล้วก็แค่รู้จักกันผิวเผินเท่านั้น ชอบแต่งเรื่องคุยโวไปทั่ว คิดจะแปะแผ่นทองบนหน้าตัวเองหรืออย่างไร?
ซ่งอวี่เซาหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ช่วยลวกผ้าขี้ริ้ว (กระเพาะอาหารของวัว) ให้ชิ้นหนึ่งแล้ววางลงในจานของเฉินผิงอัน
เครื่องเคียงหม้อไฟมื้อหนึ่งกินกันจนเกลี้ยง เหล้าหนึ่งกาก็ดื่มหมดแล้ว
ซ่งอวี่เซามาส่งเฉินผิงอันที่นอกเมืองเล็กอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เฉินผิงอันคอแข็งแล้ว และก็กินเผ็ดได้แล้ว ไม่ได้มีสภาพน่าอนาถเหมือนอย่างในปีนั้นอีกต่อไป นี่ทำให้ผู้เฒ่ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เฉินผิงอันสวมงอบ ยืนนิ่งแล้วกุมหมัดกล่าว “ผู้อาวุโส ข้าไปแล้วนะ”
ซ่งอวี่เซาพยักหน้ารับ สุดท้ายเอ่ยว่า “หน้าตาก็ไม่หล่อเหลา จะสวมงอบบังอะไรกัน”
เฉินผิงอันประคองงอบ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ประโยคนี้ท่านพูดไม่ถูก บุรุษหน้าตาเป็นอย่างไร ต้องให้สตรีเป็นผู้ตัดสินเอาเอง”
ซ่งอวี่เซาด่าอย่างขันๆ “ตัดสินกะผีอะไรเล่า เจ้าเด็กบ้า!”
เฉินผิงอันหัวเราะพลางหมุนตัวเดินจากไป
ซ่งอวี่เซารอให้เฉินผิงอันเดินจากไปไกลมากแล้วถึงได้หมุนตัวกลับ เดินไปตามถนนที่เงียบสงบแห่งนั้น กลับไปยังหมู่บ้าน
ผู้เฒ่าเดินผ่านซุ้มประตูหินที่ก่อนหน้านี้ซูหลางพุ่งทะยานผ่าน คิดจะไปประชันกระบี่กับตนเพียงลำพัง
คำพูดบางอย่าง เฉินผิงอันอยากถามแต่ไม่สะดวกให้ถาม เจ้าเด็กนั่นพูดอ้อมไปอ้อมมาตอนอยู่บนโต๊ะกินข้าว พูดเรื่องที่ฟังดูคล้ายไม่เกี่ยวข้องกันเลย ยกตัวอย่างเช่นมาดและบารมีของเขาตอนอยู่บนภูเขาเหมิงหลง
เขาซ่งอวี่เซาวิชากระบี่ไม่สูงส่ง แต่หลายปีที่อยู่ในยุทธภพมาล้วนเสียเวลาเปล่าอย่างนั้นหรือ? จะไม่รู้จักนิสัยของเฉินผิงอันหรือไร? จะไม่รู้เลยหรือว่าถ้อยคำที่แสดงถึงความสงสัยไม่มากก็น้อยพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่เฉินผิงอันอยากจะพูดในเวลานั้น? เพราะอะไร หากไม่ใช่เพราะอยากให้ตาแก่อย่างเขาปล่อยใจให้กว้าง บอกกับเขาซ่งอวี่เซาว่าหากเกิดเรื่องจริงๆ ขอแค่เขาเฉินผิงอันเปิดปากถามก็ขอให้พูดมาได้เต็มที่ อย่าเก็บกลั้นไว้ในใจเด็ดขาด ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ ซ่งอวี่เซาได้ใช้ทุกคำพูดทุกการกระทำแสดงให้รู้อย่างชัดเจน เท่ากับเป็นการบอกเฉินผิงอันว่า ตนไม่มีเรื่องอะไรในใจ ทุกเรื่องล้วนดีหมด เป็นเด็กน้อยอย่างเจ้าที่คิดมากไปเอง
ซ่งอวี่เซาเอาสองมือไพล่หลัง แหงนหน้ามองท้องฟ้า
ดวงอาทิตย์ส่องแสงเรืองรองหมื่นลี้ ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้ก้อนเมฆ วันนี้เป็นวันที่อากาศดี
หวังว่าบนเส้นทางที่เจ้าเด็กนั่นเดินอยู่ในยุทธภพวันหน้า ทุกวันจะเป็นวันที่อากาศดีเช่นนี้
……
เที่ยงวันของวันนี้ เป็นวันที่สามที่เฉินผิงอันไปจากหมู่บ้านบนภูเขา
หมู่บ้านวารีกระบี่ก็ได้ต้อนรับเด็กสาวดวงตารูปผลซิ่ง สวมรองเท้าปักลายบุปผาคนหนึ่งที่มาเยือนอย่างรีบร้อน
พบหลิ่วเชี่ยนกับซ่งเฟิ่งซาน พอได้ยินว่าเฉินผิงอันจากไปแล้ว นางก็พลันโอดครวญไม่หยุด บอกว่าพวกเขาสองสามีภรรยาไม่มีคุณธรรม ไม่รู้จักรั้งเขาให้อยู่ต่อสักหลายๆ วัน
หลิ่วเชี่ยนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ถามนางว่าเกิดเรื่องขึ้นที่ภูเขาใช่หรือไม่ ก็เลยอยากจะขอให้เฉินผิงอันช่วยเหลือ? จากนั้นหลิ่วเชี่ยนก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “บุญคุณความแค้นระหว่างเจ้ากับเทพภูเขา ขอแค่เจ้าเหวยเว่ยเปิดปาก หมู่บ้านวารีกระบี่ของเราสามารถออกแรงช่วยเหลือ แต่ทางหมู่บ้านจะไม่ยอมให้เฉินผิงอันเป็นผู้ลงมือเด็ดขาด”
เหวยเว่ยมีสีหน้าประหลาด “เซียนกระบี่ใหญ่ท่านนี้ไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวัดร้างให้พวกเจ้าฟังหรอกหรือ?”
หลิ่วเชี่ยนกล่าวอย่างสงสัย “เล่าสิ เล่าว่าเจ้ายังกล้ากลับมาทำอาชีพเดิม ปีนั้นเจอกับความยากลำบากด้วยน้ำมือท่านปู่ของพวกเรายังไม่รู้จักหลาบจำ ยังจะไปหลอกเอาพลังหยางจากบุรุษที่วัดร้างอีก ทำไม หรือว่าหลังจากพวกเจ้าเจอกันแล้วยังมีเรื่องอะไรที่ปิดบังไว้อีก?”
เหวยเว่ยหัวเราะหึหึ “ไม่มีเรื่องปิดบังอะไรทั้งนั้น ก็แค่เขาถูกใจข้า แต่ไม่กล้าจะพูดออกมา อันที่จริงข้าเองก็หวั่นไหวอยู่บ้าง เลยอยากจะขอให้ท่านผู้เฒ่าซ่งช่วยเป็นพ่อสื่อให้…”
ซ่งเฟิ่งซานกระตุกยิ้มมุมปาก พูดจาเหลวไหลอะไร คิดจะหลอกผีจริงๆ หรือไง เจ้าเหวยเว่ยชอบทำอะไรกันแน่ ข้าจะไม่รู้เลยหรือ อีกอย่างด้วยนิสัยและตบะของเฉินผิงอันในทุกวันนี้ ตอนนั้นไม่ได้ใช้หนึ่งกระบี่กำจัดปีศาจปราบมารก็ถือว่าเจ้าเหวยเว่ยดวงแข็งแล้ว
หลิ่วเชี่ยนก็ยิ่งหัวเราะพลางพูดเปิดโปงเหวยเว่ยโดยตรง “พอเถอะน่า คำพูดล้อเล่นที่รังเกียจว่าตัวเองดวงแข็งเช่นนี้พูดให้น้อยหน่อยจะดีกว่า หากท่านปู่ของพวกเราหรือเฉินผิงอันได้ยินเข้าจริงๆ เจ้านั่นแหละที่จะเดือดร้อน!”
เหวยเว่ยชำเลืองตามองสองสามีภรรยาที่มีสีหน้าผ่อนคลายแล้วขมวดคิ้วถาม “ซูหลางคงจะไม่ได้เดินไม่ระวังแล้วสะดุดล้มระหว่างทางหรอกกระมัง เหตุใดเขาถึงไม่มาหาเรื่องหมู่บ้านของพวกเจ้าแล้วเล่า? ไม่อย่างนั้นทำไมพวกเจ้าถึงยังยิ้มออก? คงไม่ใช่ว่าใช้น้ำตาอาบหน้าทุกวันกระมัง? เจ้าหลิ่วเชี่ยนเช็ดน้ำตาให้ซ่งเฟิ่งซาน ส่วนซ่งเฟิ่งซานก็ร้องว่าเมียจ๋า อย่าร้องไห้ๆ แล้วก็หันกลับมาเป็นคนเช็ดน้ำตาให้เจ้าบ้าง…”
ซ่งเฟิ่งซานทนรับคำหยอกล้อของผีสาวแคว้นซูสุ่ยผู้นี้ไม่ได้ จึงหาข้ออ้างลุกขึ้นจากไปก่อน
หลิ่วเชี่ยนจึงเล่าเรื่องที่ซูหลางถูกเล่นงานให้ถอยร่น และภายหลังยังมาเยือนที่หมู่บ้านอีกครั้งให้เหวยเว่ยฟังคร่าวๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!