เฉินผิงอันเพียงแค่มองประเมินไม่กี่ครั้งก็หลีกทางให้
ท่องอยู่ในยุทธภพมานานแล้ว เรื่องราวแปลกประหลาดมากมายเกี่ยวกับการฝึกตนบนภูเขา ความสารพัดหลากหลายของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ พบเห็นมาบ่อยแล้ว สายตาจึงพอมีแววอยู่บ้าง เรื่องที่ประหลาดจึงไม่ประหลาดอีกต่อไป
ขบวนรถนี้มีทั้งสถานะของตระกูลขุนนางแคว้นซูสุ่ย แล้วก็มีทั้งองค์รักษ์ติดอาวุธเบาคอยคุ้มกัน ตรงหลังของพวกเขาสะพายธนู ตรงเอวห้อยดาบ ส่วนปลายของถุงใส่ลูกธนูมองดูคล้ายหิมะสีขาวที่รวมกันอยู่เป็นก้อน แล้วก็มีเด็กรุ่นหลังในยุทธภพที่ท่วงท่าสุขุมหนักแน่น ห้อยดาบไปในทางตรงกันข้าม
วิธีการพกดาบที่เป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านเหิงเตาทำให้คนจดจำได้อย่างลึกซึ้ง
หนึ่งในนั้นคือชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่ด้านหลังสะพายธนูเขาวัวคันมโหฬาร ซึ่งเฉินผิงอันรู้จักเขาดี คนผู้นี้มีนามว่าหม่าลู่ ปีนั้นตอนที่อยู่ในศาลาริมน้ำตกของหมู่บ้านวารีกระบี่ ข้ารับใช้ของหวังซานหูผู้นี้เกิดข้อพิพาทกับตน จึงถูกหวังอี้หรานตวาดตำหนิเสียงดัง ในเรื่องของคำสั่งสอนประจำตระกูลหมู่บ้านเหิงเตานั้นไม่นับว่าเลว หวังอี้หรานมีหน้ามีตาอย่างทุกวันนี้ได้ หาใช่พึ่งพาหานหยวนซ่านอย่างเดียวไม่
ในเมื่อเฉินผิงอันรู้เรื่องการค้าระหว่างหมู่บ้านวารีกระบี่กับหานหยวนซ่านแล้ว บวกกับที่การประลองกระบี่ของซูหลางเจออุปสรรค อันที่จริงสถานการณ์ใหญ่ของหมู่บ้านก็ถือว่ามั่นคงดีแล้ว ต่อให้จำอีกฝ่ายได้ เฉินผิงอันก็ยังคงไม่ทำอะไรมาก ไม่เพียงแต่หลีกทางให้ ยังเป็นฝ่ายเดินเข้าไปในผืนป่าที่ห่างไปไกลช้าๆ มองดูคล้ายจอมยุทธพเนจรคนหนึ่งที่พอเห็นคนของทางการแล้วก็ยอมอ่อนข้อให้หนึ่งส่วน
หม่าลู่ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงรักภักดี ชำเลืองตามองคนที่ผ่านทางมาผู้นั้น สำรวจอีกฝ่ายอย่างละเอียดไปคำรบหนึ่งก็ไม่เก็บเอามาใส่ใจอีก
ในรถม้าคันหนึ่งมีสตรีนั่งอยู่ด้วยกันสามคน สตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งคือภรรยาเอกของฉู่หาว บุตรสาวสายตรงของผู้นำแห่งยุทธภพแคว้นซูสุ่ยคนก่อน ชั่วชีวิตนี้นางมองหมู่บ้านวารีกระบี่และตระกูลซ่งเป็นศัตรูคู่แค้น ปีนั้นฉู่หาวนำทัพใหญ่ของราชสำนักไปล้อมปราบสกุลซ่ง ก็เป็นฉู่ฮูหยินผู้นี้ที่มีคุณความชอบคอยผลักดันอยู่เบื้องหลัง
และยังมีสตรีอีกสองคนที่อายุน้อยกว่า แต่พวกนางต่างก็แต่งกายและทำทรงผมของสตรีที่ออกเรือนแล้ว คนหนึ่งแซ่หาน มีใบหน้าเหมือนเด็ก ยังแฝงความอ่อนเยาว์ไว้หลายส่วน คือน้องสาวของหานหยวนซ่าน นามว่าหานหยวนเสวี๋ย ในฐานะลูกหลานสกุลหานแห่งภูเขาเสี่ยวฉง หานหยวนเสวี๋ยจึงแต่งงานกับบัณฑิตผู้หนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นผู้แก้ไขงานด้านเอกสารอยู่นานสามปี ระดับตำแหน่งไม่สูง แค่ระดับหกชั้นโท แต่ถึงอย่างไรก็เป็นขุนนางผู้สูงศักดิ์ของสำนักฮั่นหลิน อีกทั้งยังเขียนถ้อยคำสดุดีในงานพิธีการทางศาสนาได้อย่างไพเราะ ฮ่องเต้ที่เลื่อมใสในลัทธิเต๋าจึงโปรดปรานเขามากเป็นพิเศษ แล้วยังมีที่พึ่งใหญ่อย่างสกุลหานแห่งภูเขาฉงซานนี่อีก เส้นทางอนาคตจึงถูกกำหนดมาแน่นอนแล้วว่าต้องถูกปูด้วยผ้าแพร
สตรีสาวแต่งงานแล้วอีกคนหนึ่งเปี่ยมไปด้วยมาดของความองอาจห้าวหาญ นางคือบุตรีโทนของหวังอี้หราน หวังซานหู เมื่อเทียบกับหานหยวนเสวี๋ยที่เป็นสตรีจากตระกูลขุนนางแล้ว บุรุษที่หวังซานหูแต่งงานด้วยนั้นคือบุรุษที่อายุสิบแปดปีก็สอบติดเป็นทั่นฮวา ว่ากันว่าหากไม่เป็นเพราะฮ่องเต้ไม่ชอบเด็กอัจฉริยะถึงได้ผลักอันดับของเขาไปอีกสองอันดับแล้วล่ะก็ เขาย่อมได้เป็นจ้วงหยวนโดยตรง ตอนนี้ก็เป็นเจ้าเมืองเขตการปกครองหนึ่งของแคว้นซูสุ่ยแล้ว ในวงการขุนนางที่ฮ่องเต้แต่ละยุคสมัยต่างก็ผลักไสเด็กอัจฉริยะนี้ การที่ได้เป็นขุนนางใหญ่ของเขตการปกครองด้วยวัยเพียงสามสิบปีก็ถือว่าหาได้ยากมากแล้ว และตอนนี้อาณาเขตที่สามีของหวังซานหูให้การดูแลก็คือเขตการปกครองชิงซงที่อยู่ติดกับหมู่บ้านวารีกระบี่พอดี อยู่มณฑลเดียวกัน แต่คนละเมืองก็เท่านั้น
การที่ครั้งนี้สตรีทั้งสามคนได้มาพบเจอกัน ฉู่ฮูหยินนั้นเดินทางจากเมืองหลวงมาเพื่อร่วมความครึกครื้นโดยเฉพาะ นางอยากเห็นกับตาตัวเองว่าหลังจากซูหลางมาประลองกระบี่ด้วยแล้ว ชื่อเสียงของหมู่บ้านวารีกระบี่ในยุทธภพก็จะร่วงดิ่งลงเหวทันที ส่วนหวังซานหูนั้นเดิมทีก็ติดตามสามีมาอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ฝ่ายของสามีหานหยวนเสวี๋ยที่เป็นจ้วงหยวนกำลังจะได้รับชดเชยเข้าในตำแหน่งที่ขาดแคลน ซึ่งถือว่าเป็นกรณีพิเศษ บางทีอาจจะไม่ได้อยู่ในที่ว่าการหกกรมของต้าหลี แต่ไปเป็นนายอำเภอของอำเภอหลักในมณฑล ในฐานะขุนนางผู้เป็นดั่งพ่อแม่ของชาวบ้านซึ่งมีที่ว่าการอยู่ในมณฑลเดียวกับที่ว่าการเขตการปกครองนั้น ไม่ว่าจะรู้จักวางตัวเข้าสังคมหรือไม่ ก็ล้วนถือว่าเป็นงานย่ำแย่ที่ต้องเหนื่อยทั้งกายและเหนื่อยทั้งใจ
ครั้งนี้หานหยวนเสวี๋ยเดินทางลงใต้มาเยี่ยมเยียนหวังซานหู แน่นอนว่าหวังให้สามีของหวังซานหู ซึ่งในอนาคตก็คือหัวหน้างานของบุรุษตนจะช่วยดูแลกันบ้าง ไม่อย่างนั้นหากผู้ว่าการมณฑลไม่เห็นดีเห็นงาม เจ้าเมืองก็หาเรื่องเล่นงาน ตำแหน่งนายอำเภอของอำเภอหลักที่เป็นที่จับตามองของคนนับหมื่นผู้นี้ย่อมเป็นดั่งดาบสองคม อันที่จริงในวงการขุนนางมีอยู่จุดหนึ่งที่คล้ายคลึงกับการละเล่นของเด็กเล็ก ใครที่สวมรองเท้าคู่ใหม่ก็จะต้องถูกคนโน้นคนนี้เหยียบกันคนละทีสองที พอรองเท้าถูกเหยียบจนสกปรกแล้ว ทุกคนก็จะได้เป็นเหมือนกัน ต่างก็ต้องวางตัวสำรวม ไม่แสดงความสามารถ ไม่ฉายประกายออกมา
ฉู่ฮูหยินขมวดคิ้วมุ่นไม่คลาย ท่าทางน่าสงสาร ต่อให้นางจะอายุไม่น้อยแล้ว แต่เพราะบำรุงตัวเองมาเป็นอย่างดี เสน่ห์แห่งสตรีจึงยังคงอยู่ ไม่เป็นรองให้แก่หญิงสาวอย่างพวกหวังซานหูและหานหยวนเสวี๋ยเลยสักนิด
ก็ไม่แปลกที่ฉู่ฮูหยินจะอดเจ็บใจไม่ได้ เดิมทีคืองิ้วที่น่าสนุกเรื่องหนึ่ง แล้วก็ตีฆ้องตีกลองเปิดม่านการแสดงแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าเศษสวะซูหลางเซียนกระบี่ไม้ไผ่เขียวแห่งแคว้นซงซีผู้นั้นลงมือหาเรื่องคนอื่นถึงสองครั้ง แต่กลับไม่อาจช่วงชิงความได้เปรียบใดๆ มาจากหมู่บ้านวารีกระบี่ได้เลย ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าทำให้เจ้าตะพาบเฒ่าที่ครึ่งร่างลงไปอยู่ในดินแล้วอย่างซ่งอวี่เซาผู้นั้นได้ชื่อเสียงดีงามไปไม่น้อย
นางกลัดกลุ้มเป็นกำลัง อดยกมือขึ้นนวดคลึงตรงหัวใจไม่ได้ ชะตาชีวิตของตนช่างรันทดนัก ชีวิตนี้ต้องมาเจอกับบุรุษแล้งน้ำใจถึงสองคน ล้วนไม่มีใครดีสักคน! คนหนึ่งเอาแต่เห็นแก่ส่วนรวม ได้ตัวนางไปแล้ว ยังได้สินสอดก้อนใหญ่ที่เทียบเท่าได้กับเกือบครึ่งหนึ่งของยุทธภพแคว้นซูสุ่ยมาอีก ซ้ำร้ายยังดันมาเป็นพวกขี้ขลาดตาขาว ให้ตายก็ไม่ยอมแตกหักกับซ่งอวี่เซา บอกให้นางรอแล้วรออีก กว่าจะรอจนฉู่หาวรู้สึกว่าสถานการณ์ใหญ่มั่นคงแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย ผลกลับกลายเป็นว่าอยู่ดีๆ ก็มาตายไปเสียนี่
หานหยวนซ่านที่เป็นดั่งนกพิราบยึดครองรังนกกางเขนก็ยิ่งหน้าไม่อายยิ่งกว่าเจ้าสวะฉู่หาวผู้นั้นเสียอีก ปีนั้นหลังจากได้ทั้งกายและใจของนางไปแล้ว เขากลับบอกกับนางตามตรงว่า ชีวิตนี้อย่าได้หวังว่าจะแก้แค้นอีกเลย ไม่แน่ว่าวันหน้าสองครอบครัวอาจต้องไปมาหาสู่กันเป็นปกติก็ได้
ยังดีที่ซูหลางมาประลองกระบี่ครั้งนี้ หานหยวนซ่านไม่ได้ปฏิเสธที่นางขอออกจากเมืองหลวงมาชมงิ้ว แต่เขาให้นางรับปากว่าห้ามฉวยโอกาสปล้นสะดมยามไฟไหม้ ห้ามตัดสินใจทำอะไรโดยพลการเด็ดขาด ได้แต่นั่งดูไฟชายฝั่งเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็อย่ามาโทษหากเขาไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ทางกายและความผูกพันฉันท์สามีภรรยาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้
ฟังเข้าสิ นี่ใช่คำพูดที่คนควรพูดออกมาไหม?
หลายปีมานี้หานหยวนซ่านอาศัยตัวตนของฉู่หาวยึดครองทั้งฟ้าอำนวย ดินอวยพรและคนสามัคคี ตอนนี้ยังเป็นบุรุษที่มีอำนาจมากที่สุดนอกเหนือจากฮ่องเต้แคว้นซูสุ่ยด้วย แต่เขากลับยังแล้งน้ำใจกับนางถึงเพียงนี้
แต่ว่ายามที่อยู่เพียงลำพัง บางครั้งที่ครุ่นคิดกับตัวเอง หากหานหยวนซ่านไม่ได้ใจจืดใจดำเช่นนี้ เขาก็คงไม่สามารถเดินมาสู่ตำแหน่งสูงได้อย่างทุกวันนี้ และฉู่ฮูหยินอย่างนางก็คงไม่สามารถถูกเหล่าสตรีตระกูลขุนนางที่มีตำแหน่งเป็นฮูหยินตราตั้งในเมืองหลวงพวกนั้นห้อมล้อมเอาใจประดุจดาวล้อมเดือน
หลักการแค่นี้นางยังพอจะเข้าใจอยู่บ้าง
หานหยวนเสวี๋ยเห็นว่าฉู่ฮูหยินอารมณ์ไม่ดีจึงเลิกผ้าม่านขึ้นเบาๆ หวังสูดอากาศผ่อนคลาย
นับตั้งแต่ที่ปีนั้นพี่ชายหายตัวไป อันที่จริงสกุลหานภูเขาเสี่ยวฉงก็เดือดร้อนติดร่างแหเจอกับหายนะใหญ่ ตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์อันตรายไปด้วย บิดาออกคำสั่งไม่อนุญาตให้ทุกคนเข้าร่วมงานเลี้ยงใดๆ ทางตระกูลปิดประตูทบทวนตัวเองถึงสองปี เพียงแต่ว่าภายหลังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางถึงได้รู้สึกว่าบุรุษในตระกูลเริ่มมีชีวิตชีวาโลดแล่นในราชสำนักและบนสนามรบได้อีกครั้ง ถึงขั้นเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าในอดีตเสียอีก นางรู้แค่ว่าฉู่หาวแม่ทัพใหญ่ที่อยู่ในตำแหน่งสูงกุมอำนาจสำคัญผู้นั้นคล้ายจะสนิทสนมกับสกุลหานอย่างมาก และนางเองก็เคยพบเจอเขาอยู่สองสามครั้ง แล้วก็มักจะรู้สึกว่าสายตาที่แม่ทัพใหญ่ผู้นั้นมองตนประหลาดอย่างยิ่ง ไม่ใช่สายตาที่บุรุษใช้มองสตรีที่ตัวเองถูกใจ กลับเหมือนสายตาที่ผู้อาวุโสมีต่อเด็กรุ่นหลังมากกว่า ส่วนฉู่ฮูหยินที่มีหน้ามีตาที่สุดในเมืองหลวงผู้นี้ก็ยิ่งชอบพานางออกไปท่องเที่ยวชานเมืองในช่วงฤดูใบไม้ผลิด้วยกัน สนิทสนมกับนางเป็นอย่างยิ่ง
ครั้งนี้หลังจากได้ยินข่าวว่าการประลองกระบี่ของซูหลางล้มเหลว อันที่จริงความคิดแรกของฉู่ฮูหยินก็คือกลับเมืองหลวงทันที แต่นางและจวนเจ้าเมืองต่างก็ได้จดหมายลับจากทางเมืองหลวงมาคนละฉบับ ดังนั้นถึงได้มีการออกนอกเมืองในครั้งนี้
จดหมายทางบ้านที่ฉู่ฮูหยินได้รับฉบับนั้น หานหยวนซ่านใช้ถ้อยคำเฉียบขาด บอกกับนางว่าให้นางเป็นฝ่ายไปเยี่ยมเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่ด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นวันหน้าก็อย่าหวังว่าจะได้เป็น ‘ผู้นำฮูหยินตราตั้ง’ ท่ามกลางกลุ่มสตรีทั้งหลายในเมืองหลวงอีก ในเมื่อตอนนั้นนางมาจากยุทธภพ ถ้าอย่างนั้นก็จงไสหัวกลับยุทธภพไปซะ
ฉู่ฮูหยินทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว เจ็บปวดเจียนขาดใจ แล้วจะไม่ให้นางกลัดกลุ้มเป็นทุกข์ได้อย่างไร
ยังดีที่เด็กรุ่นหลังอย่างหวังซานหูและหานหยวนเสวี๋ยสองคนนี้ให้ความเคารพนับถือนางตลอดมา ในใจนางจึงพอจะรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง
เฉินผิงอันพลันหยุดเท้า เพียงไม่นานในผืนป่าก็มีคนในยุทธภพกลุ่มใหญ่กรูกันออกมา ต่างคนต่างถืออาวุธ เรือนกายแข็งแรงปราดเปรียว
ทางฝั่งของขบวนรถก็สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของผืนป่าแถบนี้ ทหารม้าฝีมือดีของแคว้นซูสุ่ยที่สวมเกราะเบาทำขึ้นเป็นพิเศษรีบกระจายตัวกันออกไป ปลดธนูที่สะพายไว้ด้านหลังลงมา
ลูกหลานหมู่บ้านเหิงเตาก็ยิ่งไม่หวาดเกรง พวกเขาโอบล้อมรถม้าคันนั้นเอาไว้ ตั้งท่าเตรียมพร้อมรับมือกับศัตรู
เฉินผิงอันไม่รู้ความเป็นมาของ ‘นักฆ่า’ กลุ่มนี้ เขามองประเมินทั้งสองฝ่ายคร่าวๆ ก็ไม่อาจพูดได้ว่าใช้ไข่กระทบหินอะไร แต่ย่อมพ่ายแพ้อย่างมิต้องสงสัย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!