หานหยวนเสวี๋ยที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์เหมือนเด็กกระตุกชายแขนเสื้อของหวังซานหู เอ่ยถามเบาๆ ว่า “พี่หญิงซานหู นั่นคือยอดฝีมือหรือ?”
หวังซานหูพยักหน้ารับ “ไม่แน่ว่าอาจจะมีคุณสมบัติพอจะประมือกับท่านพ่อข้าได้”
แล้วหวังซานหูก็พูดเสริมไปอีกหนึ่งประโยคอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “แน่นอนว่าย่อมไม่อาจทำให้ท่านพ่อข้าออกแรงเต็มกำลังได้ แต่คนรุ่นหลังในยุทธภพที่สามารถทำให้ท่านพ่อข้าออกแรงได้เจ็ดแปดส่วนก็มากพอจะเอาไปคุยโวได้ตลอดชีวิตแล้ว”
หานหยวนเสวี๋ยเอาจริงเอาจังอย่างมาก นางเอ่ยอย่างตกตะลึง “แต่คนผู้นั้นมองดูแล้วยังหนุ่มอยู่มาก เขามีความสามารถขนาดนี้ได้อย่างไร? หรือว่าเป็นอย่างที่เขียนไว้ในนิยายของชาวยุทธที่บอกว่า กินพืชพรรณวิเศษที่สามารถเพิ่มกำลังภายในเป็นเวลาหกสิบปี? หรือว่าเขาเคยตกจากหน้าผาแล้วได้รับวิชาลับในการเรียนวรยุทธไปหนึ่งหรือสองเล่ม?”
หวังซานหูพูดไม่ออก
ผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงไม่เคยมีเรื่องดีงามเช่นนี้หรอก
ผู้ที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาต่างหากถึงจะมีโชควาสนาไร้เหตุผลที่ชวนให้คนอื่นอิจฉาตาร้อนเช่นนี้ ดังนั้นพวกเขาถึงได้วางอำนาจบาตรใหญ่ แต่ละคนเชิดจมูกขึ้นฟ้า ดูแคลนคนในยุทธภพ
ต่อให้เป็นวีรบุรุษใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยมาดองอาจอย่างบิดานาง ตอนที่พูดถึงเทพเซียนที่อยู่เหนือโลกีย์เหล่านั้น น้ำเสียงก็ยังแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ
ฉู่ฮูหยินฟังถ้อยคำไร้เดียงสาของหานหยวนเสวี๋ยด้วยความเพลิดเพลิน สตรีสกุลหานผู้นี้ไม่มีส่วนใดที่เป็นประโยชน์ ความสามารถเดียวก็คือชะตาชีวิตดี คนโง่มีโชคของคนโง่ ได้มาเกิดในครรภ์ที่ดี จากนั้นยังได้มีพี่ชายอย่างหานหยวนซ่าน สุดท้ายยังได้แต่งงานกับบุรุษที่ดี คนเราเมื่อเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่นก็ช่างทำให้คนโมโหตายได้ดีจริงๆ ดังนั้นสายตาของฉู่ฮูหยินจึงชำเลืองมองไปยังหานหยวนเสวี๋ยที่มองไปยังสนามรบด้านนอกอย่างมีสมาธิ ยิ่งมองก็ยิ่งชวนให้คนโมโหอยู่ในใจจริงๆ สตรีแต่งงานแล้วท่านนี้กำลังใคร่ครวญว่าควรจะหาเรื่องให้นังเด็กนี่ลำบากนิดๆ หน่อยๆ ดีหรือไม่ แน่นอนว่าต้องกะกำลังไฟให้เหมาะสม ต้องทำให้ตัวหานหยวนเสวี๋ยเองเป็นดั่งคนใบ้ที่กินหวงเหลียน ไม่อย่างนั้นหากหานหยวนซ่านรู้เข้าว่านางกล้าทำร้ายน้องสาวของเขา เขาคงถลกหนังของ ‘ฮูหยินเอก’ อย่างนางออกมาหนึ่งชั้นแน่นอน
ฉู่ฮูหยินหาวไม่หยุด ชำเลืองตามองเหล่าผู้กล้าในยุทธภพเหล่านั้นแล้ว มุมปากก็ตวัดขึ้น เอ่ยพึมพำว่า “ช่างเป็นปลาโง่ที่มาติดเบ็ดง่ายจริงๆ แต่ละคนเอาเงินมาส่งให้ทั้งนั้น ท่านสามี ภรรยาดีๆ ที่เก่งกาจเรื่องการครองเรือนอย่างข้า ต่อให้ส่องไฟหาก็ยังหาได้ยากนัก”
คนของทั้งสองฝ่ายต่างก็มองไม่ออกว่าจอมยุทธหนุ่มผู้นั้นลงมืออย่างไร ลูกธนูสามดอกก็ถูกกุมไว้ในมือของเขาแล้ว
วิชาการยิงธนูของหม่าลู่แห่งหมู่บ้านเหิงเตาขึ้นชื่อว่าเลิศล้ำเป็นอันดับหนึ่งในแคว้นซูสุ่ย ได้ยินมาว่าในกลุ่มของคนเถื่อนต้าหลีก็มีแม่ทัพบู๊ในสนามรบคนหนึ่งที่หวังว่าหวังอี้หรานจะตัดใจมอบหม่าลู่ให้เข้าร่วมกองทัพ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด หม่าลู่ถึงยังอยู่ในหมู่บ้าน ยอมสละความสูงส่งร่ำรวยที่เพียงแค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครองทิ้งไป
หัวหน้าทหารม้าคนหนึ่งชูมือขึ้นสูงหยุดยั้งการยิงธนูในรอบถัดไปของทหารบู๊ใต้บังคับบัญชา เพราะไม่มีความหมายใดๆ เมื่อผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตปรมาจารย์ในยุทธภพแล้ว เว้นเสียจากว่ากองกำลังของฝ่ายตนเองมีมากพอ หาไม่แล้วก็มีแต่จะสร้างความเสียหายให้กับตัวเอง ซ้ำเติมตัวเองในทุกๆ ด้าน หัวหน้าทหารม้ามีฝีมือผู้นี้หันหน้าไปมอง ไม่ได้มองหม่าลู่ แต่มองผู้เฒ่าท่าทางนิ่งขรึมไม่สะดุดตาสองคน นั่นคือผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่ทางราชสำนักแคว้นซูสุ่ยจัดตั้งขึ้นตามกฎของกองทัพม้าเหล็กต้าหลี มีสถานะขุนนางที่มีระดับขั้นแน่นอน คนหนึ่งคือองค์รักษ์ที่ติดตามฉู่ฮูหยินเดินทางออกจากเมืองหลวงลงใต้ ส่วนอีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกตนของจวนเจ้าเมือง เมื่อเทียบกับหม่าลู่ที่เป็นคนของหมู่บ้านเหิงเตาแล้ว สองท่านนี้ต่างหากจึงจะเป็นเทพเจ้าที่แท้จริง
ผู้ฝึกตนเฒ่าร่างเล็กเตี้ยคนหนึ่งในนั้น ตลอดทางที่ขี่ม้ามานี้ก็ราวกับว่ากระดูกทั้งร่างของเขาจะแยกหลุดจากกันได้ตลอดเวลา ทว่าทันใดนั้นพลังอำนาจทั่วร่างของเขากลับระเบิดออกเหมือนประทัดที่ถูกจุด กระบี่ยาวตรงเอวสั่นสะเทือนร้องครวญไม่หยุด
ท่ามกลางกลุ่มของชาวยุทธที่คุมเชิงอยู่ ‘คนละฝั่ง’ กับขบวนรถ สตรีร่างสูงโปร่ง หน้าตางดงามคนหนึ่งมีแต่ความสิ้นหวังเต็มใบหน้า พูดขึ้นเสียงสั่นว่า “นั่นคือเซียนกระบี่บนภูเขา!”
เห็นเพียงว่าผู้เฒ่าหน้าตาธรรมดาคนนั้นกระทุ้งสีข้างม้าเบาๆ เขาปล่อยให้กระบี่ออกจากฝักมาอย่างไม่รีบร้อน เสียงครูดของโลหะดังเสียดสีกันชวนให้คนใจสั่นสะท้าน
ผู้เฒ่าควบม้าเดินมาข้างหน้าช้าๆ สายตาจดจ้องมือกระบี่ชุดเขียวที่สวมงอบคนนั้นเขม็ง “ข้าผู้อาวุโสรู้ว่าเจ้าไม่ใช่ฉู่เยว่อี้แห่งหมู่บ้านวารีกระบี่อะไรนั่น จงรีบถอยออกไปซะ แล้วจะเว้นชีวิตเจ้า”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เทพเซียนลงมาจากภูเขาแล้ว ถ้าอย่างนั้นเข้าเมืองตาหลิ่วก็ควรต้องหลิ่วตาตาม มีอะไรก็พูดจากันดีๆ”
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เจ้ารีบร้อนอยากไปเกิดใหม่งั้นรึ?”
ยุทธภพในแคว้นซูสุ่ยเล็กๆ จะมีน้ำหนักสักกี่ตำลึงกันเชียว?
หากซูหลางแห่งแคว้นซงซีหรือซ่งอวี่เซาแห่งหมู่บ้านวารีกระบี่มาเยือนที่นี่ด้วยตัวเอง เขาก็ยินดีจะให้ความเคารพสักสองสามส่วน แต่คนหนุ่มเด็กรุ่นหลังที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ แม้จะแข็งแกร่งก็จริง แต่เขาดีดนิ้วทีเดียวก็สิ้นชื่อแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายไม่รับน้ำใจ ถ้าอย่างนั้นก็จะโทษที่เขาออกกระบี่ไม่ได้ ขอแค่ไม่ใช่ลูกหลานของหมู่บ้านวารีกระบี่ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มียันต์คุ้มกันกาย ฆ่าไปก็ตายเปล่า แม่ทัพใหญ่ฉู่มาพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวว่า เดินทางลงใต้ครั้งนี้ห้ามเกิดข้อพิพาทกับซ่งอวี่เซาและหมู่บ้านวารีกระบี่เด็ดขาด ส่วนคนอื่นๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์ในยุทธภพก็ดี ผู้ฝึกตนอิสระที่ไล่เก็บหาของดีไปทั่วก็ช่าง ฆ่าจนคมกระบี่ม้วนตลบก็ล้วนถือว่าเป็นคุณความชอบทางการทหารทั้งสิ้น
เฉินผิงอันหันหน้ามาโบกมือให้ชาวยุทธทั้งหลาย พลางอธิบายอย่างใจเย็นว่า “ไปเถอะ คิดดูแล้วพวกเจ้าเองก็คงมองออก ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะเข้ามามีส่วนร่วมด้วยได้ ข้ายังคงยืนยันคำเดิม วันหน้าหากคิดจะผดุงคุณธรรม สังหารคนพรรคฉู่อะไรนั่น จะทำให้คนบริสุทธิ์เดือดร้อนหรือไม่ คาดว่าพวกเจ้าเองคงไม่ยินดีจะคิดให้มากความ ถ้าอย่างนั้นก็ขอแนะนำพวกเจ้าว่าอย่าเอาชื่อของหมู่บ้านวารีกระบี่มาใช้ คุณธรรมในยุทธภพควรต้องมีกันบ้าง ไม่ใช่คิดว่าตัวเองมีคุณธรรมแล้วจะทำอะไรตามใจชอบก็ได้”
ผู้ฝึกตนเฒ่าที่ขี่ม้าเดินหน้ามาตลอดเวลาเคลื่อนตัวผ่านขบวนรถมาแล้ว อยู่ห่างจากมือกระบี่ชุดเขียวไม่ถึงสามสิบก้าว เขาหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าพวกแมลงในยุทธพเหล่านี้คิดจะจากไปก็ต้องเดินไปให้ได้ก่อน ข้าผู้อาวุโสอนุญาตแล้วหรือ? รู้หรือไม่ว่าหัวของคนเหล่านี้แลกเงินมาได้กี่มากน้อย? เจ้าคนที่ถูกเจ้าช่วยตีจนสลบไปผู้นั้น อย่างน้อยก็มีค่าถึงสามเหรียญเงินเกล็ดหิมะ สตรีที่สายตาไม่เลว รู้จักเรียกข้าผู้อาวุโสด้วยความเคารพว่าเซียนกระบี่ผู้นั้น เจ้าคงจะรู้จักอยู่บ้างกระมัง ไม่รู้ว่ามีบุรุษในยุทธภพมากน้อยแค่ไหนที่ต่อให้ฝันก็ยังอยากจะเป็นม้าที่อยู่ใต้ก้นของนาง อยากจะถูกนางควบขี่สักครั้ง หญิงหม้ายผู้นี้ สามีของนางคือผู้กล้าคนหนึ่งที่อาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวก็สามารถสังหารผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีไปได้ถึงสองคน เป็นเหตุให้หลังจากบุรุษผู้นั้นตายไป หญิงหม้ายอย่างนางจึงมีชื่อเสียงบารมีอยู่ในแคว้นซูสุ่ยของพวกเจ้าอย่างมาก คาดว่าหัวของนางน่าจะมีค่ามากถึงหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยเลยทีเดียว”
เฉินผิงอันฟังผู้เฒ่าพูดจ้อแล้วกำหมัดเบาๆ สูดลมหายใจเข้าลึก ข่มกลั้นความร้อนรุ่มที่อยากออกหมัดชักกระบี่โดยเร็วขุมนั้นในใจลงไป
ก่อนจะออกมาจากภูเขาลั่วพั่ว การป้อนหมัดครั้งสุดท้ายของผู้เฒ่าชุยเฉิงบนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ นอกจากจะแสดงศักยภาพที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบขั้นสูงสุดให้เฉินผิงอันดูแล้ว ยังมีคำพูดประโยคหนึ่งของเขาที่มีน้ำหนักอย่างยิ่ง
‘เฉินผิงอัน เจ้าควรตั้งใจฝึกฝนจิตใจแล้ว ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นชุยเฉิงคนที่สอง หากไม่เป็นบ้า ก็คงต้อง…อนาถยิ่งกว่านั้น นั่นคือธาตุมารเข้าแทรก ตอนนี้เจ้าชอบใช้เหตุผลมากเท่าไหร่ เฉินผิงอันในวันพรุ่งนี้ก็จะยิ่งไม่ชอบใช้เหตุผลมากเท่านั้น’
เฉินผิงอันเอามือจับประคองงอบ กวาดตามองไปรอบด้าน อากาศคือฤดูใบไม้ร่วง จิตใจก็เยือกเย็น รวมกันก็เป็นคำว่ากลุ้มพอดี (ฤดูใบไม้ร่วงภาษาจีนคือคำว่า 秋 จิตใจเยือกเย็นในประโยคนี้ก็ใช้คำว่า 秋 เช่นเดียวกัน ส่วนคำว่ากลุ้ม ภาษาจีนคือคำว่า 愁 ซึ่งประกอบด้วยตัวอักษร 秋 และด้านล่างคือตัวอักษร 心 ที่แปลว่าหัวใจ)
ควรจะต้องมีวิธีในการแก้ไขคลี่คลายสักหน่อย
เฉินผิงอันถอนสายตากลับคืนมา มองไปยังผู้ฝึกกระบี่เฒ่าบนภูเขาคนนั้น “ในเมื่อมีกระบี่ ถ้าอย่างนั้นก็ออกกระบี่”
ผู้เฒ่าชำเลืองตามองจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ จากนั้นก็ทอดสายตาออกไปไกลอีกนิด มองไปยังสตรีที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งยุทธภพของหนึ่งแคว้นผู้นั้น “ข้าผู้อาวุโสก็คือเซียนกระบี่งั้นหรือ? ยุทธภพแคว้นซูสุ่ยของพวกเจ้าช่างน่าขำจริงๆ แต่ว่าสำหรับพวกเจ้าแล้ว คิดได้แบบนี้ก็เหมือนว่าจะไม่ผิดเท่าไหร่”
กระบี่ยาวออกจากฝักพร้อมเสียงครูดของโลหะ
พลังอำนาจประดุจสายฟ้าที่ผ่าปลาบลงมา
ส่วนมือทั้งสองของผู้เฒ่านั้นยังคงกุมเชือกบังคับบังเหียนม้าเอาไว้ ท่าทางผ่อนคลายสบายอารมณ์
หนึ่งกระบี่พุ่งออกไป เป็นเหตุให้ทั้งสองฝ่ายที่ไม่ว่าจะเป็นฝั่งคนกันเองหรือฝังศัตรูก็ล้วนรู้สึกว่าเยื่อแก้วหูส่งเสียงดังอื้ออึง จิตใจสั่นสะท้าน
เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนติดตามกองทัพอีกคนหนึ่งที่มาจากจวนตระกูลเซียนของแคว้นซูสุ่ยกลับสัมผัสได้ว่าท่าไม่ดี
เห็นเพียงว่ามือกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นเขย่งปลายเท้าขึ้นไปเหยียบอยู่บนปลายกระบี่ที่บินออกจากฝักโดยตรง จากนั้นก็ยกเท้าราวกับคนเดินขึ้นบันได เป็นเหตุให้กระบี่ยาวเอียงปักลงดินไปเกือบครึ่งเล่ม ส่วนคนหนุ่มก็ยืนอยู่บนด้ามกระบี่ทั้งอย่างนั้น
ผู้ฝึกตนเฒ่าที่ออกกระบี่กุมหมัดเอ่ยอย่างไม่ลังเล “ขอผู้อาวุโสโปรดอภัยที่ข้าน้อยล่วงเกิน”
ออกกระบี่เร็ว ก้มหัวยอมรับผิดก็เร็วเช่นกัน
ท่ามกลางความลี้ลับครั้งนี้ เกรงว่าคงมีเพียงผู้ฝึกตนของสองฝ่ายและคนที่ชมศึกผู้นั้นที่มองออก
เฉินผิงอันก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าว พลิ้วกายกลับลงบนพื้นอีกครั้ง เขาเหยียบกระบี่ยาวให้แนบติดพื้น แล้วปาดเท้าไปข้างหน้าหนึ่งที ปลายกระบี่ยาวหันชี้เข้าหาตัวเขา จากนั้นเขาก็ถอยหลังกรูดออกไป กระทืบเท้าเบาๆ หนึ่งครั้ง กระบี่ยาวหยุดชะงักก่อน จากนั้นก็พุ่งขึ้นกลางอากาศเป็นเส้นตรง เฉินผิงอันยื่นสองนิ้วออกไปประกบ บิดหมุนหนึ่งรอบ ใช้วิชาบังคับกระบี่ของอาจารย์กระบี่ผลักกระบี่ยาวเล่มนั้นกลับเข้าฝัก ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่กุมหมัดอยู่ตลอดเวลาผู้นั้นพูดต่อว่า “ขอบพระคุณผู้อาวุโสที่คืนกระบี่ให้…”
มือข้างที่บังคับกระบี่ของเฉินผิงอันถูกดึงกลับมาแล้ว เขาเอามือไพล่ไว้ด้านหลัง เปลี่ยนมาประกบสองนิ้วของมือซ้าย ระหว่างสองนิ้วนั้นมีเส้นแสงเจิดจ้าบาดตายาวประมาณชุ่นกว่าไหลเวียนวน
เฉินผิงยิ้มกล่าว “ต้องมีการตอบแทนอย่างงาม?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!