ผีสาวเหวยเว่ยทะยานลมเดินทางไกล ย่อพื้นที่ให้เล็กลง แน่นอนว่าต้องมาถึงหมู่บ้านวารีกระบี่เร็วกว่าขบวนรถ
เหวยเว่ยจากไปและย้อนกลับมา กลับมาเป็นแขกที่หมู่บ้านอีกครั้ง ซ่งอวี่เซายังคงไม่ปรากฏตัว ยังคงเป็นซ่งเฟิ่งซานและหลิ่วเชี่ยนที่ออกมาต้อนรับ
ปีนั้นซ่งอวี่เซาปล่อยเหวยเว่ยไปที่วัดร้าง ไม่ได้หมายความว่าอริยะกระบี่ผู้เฒ่าแห่งแคว้นซูสุ่ยท่านนี้จะต้องปฏิบัติต่อนางอย่างดี ต่อให้เป็นหลิ่วเชี่ยนหนึ่งในสี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ยที่มาอยู่ในฐานะหลานสะใภ้ตัวเอง ปีนั้นซ่งอวี่เซาจะไม่มีปมในใจเลยได้อย่างไร? เพียงแต่ว่าตอนนั้นเขายึดหลักกฎเกณฑ์เก่าๆ ของคนเก่าแก่ในยุทธภพ เมื่ออายุมากแล้วก็มองบ้านเมืองและใต้หล้าย้อนกลับไปทางเดิม กลับไปในบ้านของตัวเอง จากนั้นก็ทบทวนตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผ่านการซื้อขายฝักกระบี่ครั้งนั้น ซ่งอวี่เซาถึงได้ยอมรับ ‘คน’ อย่างหลิ่วเชี่ยนโดยสมบูรณ์ ปล่อยให้หลิ่วเชี่ยนดูแลปกครองเรือน ถึงขั้นยังยินดีเหนื่อยยาก ยอมเป็นฝ่ายไปคบค้าสมาคมกับหานหยวนซ่านด้วยตัวเองเพื่อปูทางให้นางได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำในอนาคต ไม่อย่างนั้นซ่งอวี่เซาก็คงได้รับความโปรดปรานจากสำนักศึกษาไปแล้ว เรื่องการฝ่าทะลุขอบเขตที่เดิมทีเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอนจึงกลายเป็นจันทราในสายน้ำบุปผาในคันฉ่อง
อันที่จริงการที่ได้กลับมาพบกับเฉินผิงอันอีกครั้งคราวนี้ ซ่งอวี่เซามีความสุขมาก ไม่เพียงแต่ได้เห็นเฉินผิงอันกลายเป็นเซียนกระบี่บนภูเขากับตาตัวเอง ยังเป็นเพราะเส้นทางในยุทธภพของเฉินผิงอันคล้ายกับของเขาซ่งอวี่เซาด้วย
บนทางเส้นนั้นมีคนเดินบางตา บางครั้งที่พบเจอกันท่ามกลางลมฝนก็เดินเคียงบ่ากันไป และควรมีเหล้าให้ดื่ม
หากจะบอกว่าการพบกันครั้งแรก ซ่งอวี่เซาแค่มองเด็กหนุ่มเฉินผิงอันที่ยังสะพายหีบหนังสือออกเดินทางไกลไปสี่ทิศเป็นเพียงเด็กรุ่นหลังคนหนึ่งที่มีค่าแก่การคาดหวังรอคอย ถ้าเช่นนั้นการกลับมาพบกันครั้งที่สอง ยามที่ได้ดื่มชา ร่ำสุรา กินหม้อไฟกับเฉินผิงอันชุดเขียวที่สวมงอบสะพายกระบี่คนนั้น กลับเหมือนคนสองคนบนเส้นทางเดียวกันที่จิตใจเชื่อมโยงถึงกัน จึงรักทะนุถนอมและเห็นค่ากันมากกว่า แต่นี่เป็นความรู้สึกของตัวเองซ่งอวี่เซาเองเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงแล้วเมื่อเฉินผิงอันเผชิญหน้ากับซ่งอวี่เซา เขาก็ยังคงเป็นเหมือนในอดีต ไม่ว่าจะถ้อยคำ การกระทำหรือสภาพจิตใจก็ล้วนเป็นดั่งผู้น้อยที่เคารพนับถือผู้ใหญ่ ซ่งอวี่เซาเองก็ไม่คิดจะฝืนเปลี่ยนแปลงมัน คนในยุทธภพ มีใครบ้างที่ไม่ชอบให้คนอื่นนับหน้าถือตา?
หลังจากได้ยินว่าซ่งเฟิ่งซานกับหลิ่วเชี่ยนออกไปรับรองเหวยเว่ยอีกครั้ง ซ่งอวี่เซาก็ไปนั่งอยู่ในศาลาริมน้ำตกเพียงลำพัง
ซ่งอวี่เซาที่ไม่ได้พกกระบี่และไม่ได้ฝึกกระบี่มานานหลายปีแล้ว วันนี้กลับนำเจ้าเพื่อนยากมาวางพาดไว้บนหัวเข่า กระบี่เล่มนี้มีชื่อว่า ‘ตั้งตระหง่าน’ ปีนั้นเขาไปงมเจอมันท่ามกลางกลไกของก้อนหินที่ตั้งอยู่ในบ่อน้ำลึกตรงหน้าโดยบังเอิญ ฝักกระบี่ไม้ไผ่เขียวชิ้นนั้นก็เช่นกัน เพียงแต่ว่าปีนั้นซ่งอวี่เซาเกิดกังขาเล็กน้อย เพราะดูเหมือนว่าทั้งกระบี่และฝักกระบี่ล้วนถูกคนที่ทิ้งมันไว้จับมาประกอบกันเอง ไม่ได้เป็น ‘คู่กัน’ มาตั้งแต่แรก
แน่นอนว่าตั้งตระหง่านคือศาสตราวุธเทพที่ผู้ฝึกยุทธในยุทธภพปรารถนาอยากครอบครองแม้ในยามหลับฝัน ตลอดชีวิตที่ผ่านมาซ่งอวี่เซาชอบเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว ไปเยือนภูเขามีชื่อเสียงแห่งต่างๆ สะพายกระบี่ท่องยุทธภพ เจอกับภูตภูเขาและผีวิญญาณมาไม่น้อย หากสามารถกำจัดปีศาจปราบมาร ตั้งตระหง่านก็ได้สร้างคุณความชอบอย่างยิ่งใหญ่ ส่วนฝักไม้ไผ่ที่ทำมาจากวัสดุวิเศษชิ้นนั้น ซ่งอวี่เซาเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศ สืบค้นตามตำราโบราณและหอเก็บตำราส่วนตัวของตระกูลขุนนางไปทั่ว ถึงจะหาข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์เจอแผ่นหนึ่ง นั่นถึงทำให้เขารู้ว่ากระบี่เล่มนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยมือของเทพแห่งการต่อสู้ของทวีปอื่น ไม่รู้ว่าเป็นเซียนท่านใดที่เดินทางข้ามทวีปมาท่องเที่ยวแล้วทำหล่นไว้ในแจกันสมบัติทวีป ในตำราโบราณที่ไม่สมบูรณ์แบบแผ่นนั้นมีบันทึกที่บอกไว้ว่า ‘ประกายแสงผ่าห้าขุนเขา ปราณกระบี่ฟันแม่น้ำใหญ่’ เป็นคำกล่าวที่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ
เพียงแต่ที่มาของฝักไม้ไผ่ชิ้นนั้น ซ่งอวี่เซาสอบถามตระกูลเซียนบนภูเขาจนถ้วนทั่วก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัด มีเซียนซือให้การคาดเดาคร่าวๆ ว่า บางทีอาจจะเป็นของวิเศษจากภูเขาชิงเสินในถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ แต่เนื่องจากบนฝักกระบี่ไม้ไผ่ไม่มีตัวอักษรใดๆ สลักไว้ จึงไม่มีเบาะแสใดๆ ให้ตามหา บวกกับที่นอกจากฝักไม้ไผ่จะสามารถกลายเป็นห้องเก็บกระบี่ของ ‘ตั้งตระหง่าน’ โดยที่ด้านในยังแข็งแกร่งทนทานไม่เคยถูกเกลากลึงให้เกิดความเสียหายแล้ว ก็ไม่มีความมหัศจรรย์อื่นใดอีก ก่อนหน้านี้ซ่งอวี่เซาจึงแค่มองฝักกระบี่เป็นตัวเลือกที่เจ้าของกระบี่ตั้งตระหง่านถอยมาเลือกในอันดับรอง นึกไม่ถึงว่าที่แท้จะเป็นการทำให้ฝักไม้ไผ่ได้รับความอยุติธรรม?
ซ่งอวี่เซาก้มหน้าลงมอง กระบี่โบราณตั้งตระหง่านยังคงฉายประกายคมกริบ ภายใต้แสงแดดที่สาดส่อง คมกระบี่ส่องประกายระยิบระยับ เส้นแสงไหลเวียนวน ไอหมอกที่แผ่อบอวลอยู่รอบศาลาริมน้ำแห่งนี้กลับไม่อาจบดบังรัศมีเรืองรองของตัวกระบี่ได้เลย
ซ่งอวี่เซาแบฝ่ามือมาตบตัวกระบี่เบาๆ แล้วเงยหน้ามองไปยังน้ำตกที่สายน้ำทิ้งตัวดิ่งลงมาเบื้องล่างประดุจเส้นผมยาวสีขาวโพลนของเซียนที่ห้อยลงมาจากท้องฟ้าอีกครั้ง พึมพำกับตัวเองว่า “เจ้าเพื่อนยาก พวกเราน่ะ ต่างก็แก่กันแล้ว”
ในห้องโถงใหญ่ เหวยเว่ยเล่าเหตุการณ์ของสนามรบแห่งนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ รวมไปถึงถ้อยคำที่เฉินผิงอันบอกให้นางช่วยนำมาบอกต่อ ซ่งเฟิ่งซานมีสีหน้าเคร่งเครียด
หลิ่วเชี่ยนมีนิสัยสุขุมไม่เคยเปิดเผยอารมณ์ใดๆ ออกมา นี่เป็นผลจากการครอบครองตัวตนสองอย่างในเวลาเดียวกัน เพียงแต่ว่าเมื่อได้ยินประโยคนั้นของเฉินผิงอัน รู้ถึงน้ำหนักที่ซ่อนอยู่ในถ้อยคำ นางก็ยังอดทอดถอนใจไม่ได้ “ท่านปู่มองคนไม่ผิดจริงๆ”
ซ่งเฟิ่งซานพูดเบาๆ “เหตุผลที่ว่านี้ พูดได้ยาก”
หลิ่วเชี่ยนพยักหน้ารับ ถึงอย่างไรนางก็เป็นสายลับเดนตายที่ต้าหลีนำมาแทรกซอนไว้ในแคว้นซูสุ่ย อันที่จริงวิสัยทัศน์ของนางจึงสูงกว่าปรมาจารย์วิถีวรยุทธและเซียนซือบนภูเขาทั่วไปอยู่มาก
ดังนั้นนางจึงรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวผู้นั้นได้ดียิ่งกว่าซ่งเฟิ่งซานและซ่งอวี่เซา
ยุทธภพในสถานที่อย่างแคว้นซูสุ่ย แคว้นซงซีนี้ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดก็คือเทพแห่งการต่อสู้ในตำนานแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงขอบเขตร่างทองเพิ่งจะเป็นขอบเขตแรกของสามขอบเขตในการหลอมจิตเท่านั้น หลังจากนั้นยังมีขอบเขตเดินทางไกลและขอบเขตยอดเขาอยู่อีกสองขอบเขตซึ่งน่ากลัวยิ่งกว่า ส่วนขอบเขตสิบที่อยู่ถัดไปนั้นก็ยิ่งเป็นบุคคลน่าหวาดกลัวที่แม้แต่ผู้ฝึกตนบนยอดเขาก็ยังรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลที่มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางผู้นั้นแข็งแกร่งมากแค่ไหนกันแน่ นางพอจะรู้ได้คร่าวๆ เนื่องจากนางเคยใช้ช่องทางงานหลวงของศาลาคลื่นมรกตต้าหลีช่วยสืบข่าวให้กับหมู่บ้านมาหนหนึ่ง และเรื่องจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ผู้ฝึกยุทธคนนั้นไม่เพียงแต่เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตแปด อีกทั้งยังเป็นขอบเขตเดินทางไกลที่ไม่ใช่ในความหมายทั่วไปอีกด้วย มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นกลุ่มคนที่แข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตเดินทางไกลบนโลก คล้ายคลึงกับนักเล่นหมากล้อมระดับแคว้นซึ่งอยู่ในขอบเขตที่เก้า คือบุคคลที่อาจได้รับเกียรติเลื่อนขั้นเป็นฉีไต้จ้าว เหตุผลนั้นง่ายมาก ศาลาคลื่นมรกตเคยส่งยอดฝีมือมาที่นี่เพื่อสอบถามหลิ่วเชี่ยนและเทพภูเขาในพื้นที่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นโดยละเอียด เพราะเรื่องนี้ดังไปเข้าหูของซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งต้าหลี! หากไม่เป็นเพราะคนต่างถิ่นที่บังคับซื้อบังคับขายฝักกระบี่ผู้นั้นรีบจากไป ไม่แน่ว่าซ่งจ่างจิ้งอาจมาเยือนที่นี่ด้วยตัวเอง แต่หากเป็นเช่นนี้จริง เรื่องราวก็คงง่ายขึ้นมาก เพราะถึงอย่างไรเทพเจ้าแห่งกองทัพต้าหลีผู้นี้ก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางขอบเขตสิบ ขอแค่ยินดีลงมือ หลิ่วเชี่ยนก็เชื่อว่าต่อให้อีกฝ่ายมีที่พึ่งใหญ่แค่ไหน ต้าหลีและซ่งจ่างจิ้งก็ไม่มีทางเกรงกลัวอย่างแน่นอน
นี่ไม่ใช่ว่าหมัดของใครแข็งแกร่งกว่าแล้ว แต่เป็นเพราะทิศทางการดำเนินไปของใต้หล้าที่จะเป็นตัวตัดสิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!