กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 478

เฉินผิงอันฟังมาถึงตรงนี้ก็อึ้งตะลึงไป หลิ่วชิงซานไม่เหมือนคนประเภทที่จะตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองเอ่ยคำสาบานเลยนะ เขาไม่ใช่ลูกศิษย์เปิดขุนเขาผู้นั้นของตนเสียหน่อย

สือโหรวหัวเราะพลางไขข้อข้องใจให้ฟัง ที่แท้ก็เป็นหลิ่วป๋อฉีที่รับจูเหลี่ยนเป็นพี่ใหญ่ บอกว่าจูเหลี่ยนจะต้องไปที่แคว้นชิงหลวนเพื่อร่วมงานแต่งงานระหว่างนางกับหลิ่วชิงซานให้ได้

เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว นี่มันอะไรกับอะไรกันแน่

นอกจากนี้ยังมีเรื่องจริงจังที่ไม่ถือว่าเล็กอีกสองสามเรื่อง สือโหรวเล่าให้ฟังไม่มาก เพราะนางหวังว่าเฉินผิงอันจะไปคุยกับจูเหลี่ยนเอง นางจำต้องยอมรับว่า ไม่ว่าจูเหลี่ยนทำอะไร เรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ล้วนมั่นคงเชื่อถือได้เสมอ เพียงแต่ปากของเขากลับชวนให้คนหงุดหงิดใจเสียจริง และยังมีสายตาของเขาที่ขนาดนางซึ่งเป็นผีสาวก็ยังอดขนลุกขนชันไม่ได้

หลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไชทะเลสาบซูเจี่ยนยังไม่ได้มาเยือนด้วยตัวเอง แต่ส่งลูกศิษย์คนสนิทคนหนึ่งให้พกของขวัญมาเยี่ยมเยือนภูเขาลั่วพั่ว ตอนนั้นเว่ยป้อปรากฎตัวด้วยตัวเอง ทำให้สตรีอายุน้อยที่มีขอบเขตแค่ถ้ำสถิตผู้นั้นตกใจไม่น้อย ภายหลังก็ถึงขั้นพูดจาไม่คล่องแคล่ว

นอกจากนี้ก็คือเทพวารีสองท่านของแม่น้ำอวี้เจียงและแม่น้ำป๋ายกู่แคว้นหวงถิงที่ทยอยกันมาเยือนภูเขาลั่วพั่ว ยังคงเป็นจูเหลี่ยนและเจิ้งต้าเฟิงที่ทำหน้าที่เป็นผู้ต้อนรับ

เรื่องราวน้อยใหญ่ สิ่งละอันพันละน้อย เฉินผิงอันฟังสือโหรวอธิบายอย่างเป็นระเบียบขั้นตอนจนจบก็ชี้ไปที่ห้องหลัก ยิ้มถามว่า “ใบหน้าของเจ้าสองคนนั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

สือโหรวอึ้งตะลึง ก่อนจะกล่าวอย่างจนใจว่า “เผยเฉียนซุกซนก็แล้วไปเถิด คิดไม่ถึงว่าแม่นางหลี่ก็จะปล่อยให้เผยเฉียนทำตัวเหลวไหลไปด้วย คุณชายท่านไม่รู้อะไร ตอนที่เห็นสภาพน่าสงสารของพวกนางสองคนในร้าน อารมณ์ของข้าก็พอๆ กับสตรีจากเกาะจูไชผู้นั้นเลย แต่พวกนางเองกลับดูมีความสุขสนุกสนานกันดี ยังนัดหมายกันด้วยว่าคราวหน้าหากต่างคนต่างฝึกวิชาดีๆ จนสำเร็จแล้วจะไปบุกบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ด้วยกันอีก”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

ไม่รู้ว่าเหตุใด พอสือโหรวมาอยู่ที่ร้านก็คล้ายว่าจะมีอิสระเสรีกว่าตอนที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว นางถึงกับเอ่ยสัพยอกเฉินผิงอันว่า “คุณชายออกเดินทางครั้งนี้ ได้เอาของขวัญกลับมาให้ใครอีกหรือเปล่า?”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที พลิกหมุนข้อมือหยิบของเล็กๆ สามชิ้นที่ซื้อจากท่าเรือภูเขาตี้หลงออกมา ยื่นถ้วยตื้นที่ทำจากวัสดุสีแดงและแท่นฝนหมึกให้กับสือโหรว ส่วนตัวเองถือตราประทับคู่ที่ถูกแกะสลักด้วยมือของนักประพันธ์บางท่านของแคว้นหนึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เอาวางไว้ข้างหูแล้วเคาะเบาๆ ฟังเสียงใสกังวานนั้นแล้วเอียงศีรษะกล่าวว่า “ของสามชิ้นจ่ายไปสิบสองเหรียญเงินเกล็ดหิมะ หากเจ้าชอบก็เลือกไปได้หนึ่งชิ้น เดี๋ยวข้าค่อยบอกเผยเฉียนว่าซื้อมาแค่สองชิ้น”

สายตาของสือโหรวเหลือบมองถ้วยตื้นสีแดงน่ารักน่าเอ็นดูใบนั้นอยู่หลายที แต่สุดท้ายก็ยังส่ายหน้า “ช่างเถิด”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เวลามอบของให้คนอื่น ส่วนใหญ่ล้วนมอบเป็นคู่ เลขคี่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อีกไม่นานข้าก็ต้องออกเดินทางไกลอีกครั้งหนึ่งแล้ว คงไม่กลับมาในระยะเวลาสั้นๆ นี้ เจ้าก็ถือซะว่าเป็นหงเปาของตรุษจีนปีหน้าก็แล้วกัน”

สือโหรวชูถ้วยตื้นสีแดงในมือขึ้นเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ชิ้นนี้?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วเอ่ยเตือนว่า “อย่าหลุดพูดไปล่ะ เด็กน้อยชอบจดจำบัญชีแค้น นางไม่กล้าพูดมากกับข้า แต่เจ้าคงต้องทนฟังนางบ่นอยู่หลายปีอย่างเลี่ยงไม่ได้”

สือโหรวเก็บถ้วยใบเล็กนั่นไป แล้วยื่นแท่นฝนหมึก ‘โชคดีตลอดกาล’ ใบนั้นคืนให้กับเฉินผิงอัน

สือโหรวกล่าวอย่างสงสัยว่า “คุณชายชอบมอบของขวัญให้คนอื่นขนาดนี้เชียวหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าอาจจะไม่รู้ ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าชอบหาเงินและเก็บสะสมเงินมากที่สุด เหรียญทองแดงแต่ละเหรียญที่เก็บสะสมมาอย่างยากลำบากตอนนั้น บางครั้งเวลานอนไม่หลับก็จะหยิบไหใบเล็กออกมาแกว่งเบาๆ เสียงที่เหรียญทองแดงกระทบกันอยู่ในไหใบเล็ก เจ้าคงไม่เคยได้ยินมาก่อนกระมัง? ภายหลังตอนที่เจิ้งต้าเฟิงยังเป็นคนเฝ้าประตูตะวันออกของเมืองเล็ก ข้าเคยทำการค้าอย่างหนึ่งกับเขา ทุกครั้งที่เอาจดหมายฉบับหนึ่งไปส่งให้ครอบครัวในเมืองเล็กก็จะได้เหรียญทองแดงมาหนึ่งเหรียญ ทุกครั้งที่ไปเอาจดหมายจากเจิ้งต้าเฟิง ข้าแทบอยากจะให้เจิ้งต้าเฟิงโยนจดหมายเป็นกระบุงมาให้ข้าด้วยซ้ำ แต่ว่าถึงท้ายที่สุดก็หาเงินมาได้แค่ไม่กี่เหรียญทองแดง หลังจากนั้นมาก็เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ข้าจึงออกจากบ้านเกิดไป”

สือโหรวยิ้มพลางส่ายหน้า

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ โน้มตัวไปด้านหน้า “ไม่ได้บอกว่าตอนนี้ข้ามีเงินแล้วเลยเปลี่ยนมามีนิสัยมือเติบใจกว้าง ไม่ใช่แบบนั้น แต่เป็นเพราะการที่ปีนั้นข้าหลงใหลในทรัพย์สินเงินทองขนาดนั้นก็เพื่อที่ว่าวันใดวันหนึ่งข้าจะได้ไม่ต้องคอยคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเล็กน้อยอีก ไม่ต้องรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าในทุกครั้งที่ควรต้องจ่ายเงิน ยกตัวอย่างเช่นตอนที่ไปไหว้หลุมศพพ่อแม่ของข้าก็จะได้ซื้อของที่ดีมากขึ้น เวลาถึงปีใหม่ ก็ไม่ถึงขั้นที่ซื้อกลอนคู่ไม่ได้ ได้แต่ไปมองกลอนคู่บนประตูใหญ่ของเรือนด้านข้าง แล้วก็คิดว่าบ้านตัวเองก็มีเหมือนกัน ความยากจนที่ตัวเองเคยชินแล้ว และการพยายามหาความสุขท่ามกลางความทุกข์แบบนั้น ไม่ว่าใครที่มองเห็นก็ต้องรู้สึกว่าไร้เดียงสาเบาปัญญาอย่างยิ่ง”

สือโหรวไม่รู้แล้วว่าควรจะต่อคำอย่างไร

เฉินผิงอันเงียบคิดไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “คำพูดบางอย่างอาจจะทำลายบรรยากาศ แต่ถึงอย่างไรอีกเดี๋ยวข้าก็ต้องไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว เจ้าก็ฝืนใจฟังหน่อยแล้วกัน เพราะฟังไปแล้ว อย่างน้อยภายในเวลาสามปีก็ไม่ต้องได้ยินข้าพูดให้รำคาญใจอีก”

สือโหรวยิ้มกล่าว “เชิญคุณชายพูด”

เฉินผิงอันชี้ไปที่สือโหรว “คราบร่างเซียนร่างนี้ ข้าไม่เคยรู้สึกว่าเจ้าเป็นฝ่ายได้เปรียบอะไร แต่ความโชคดีในใต้หล้านี้ เมื่อผ่านประตูบ้านเข้ามาแล้วก็เหมือนลมและน้ำที่พัดหมุนวนไปรอบหนึ่ง ส่วนใหญ่ล้วนรั้งเอาไว้ไม่อยู่ ในเมื่อรับโชควาสนานี้ไว้แล้ว อันดับแรกในใจก็ไม่ควรมีความคลางแคลง ควรทำอย่างไรถึงได้ถือไว้ได้อย่างมั่นคง นั่นต่างหากจึงจะถือว่ามีความสามารถ ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ อาจรู้สึกว่าข้าจงใจเอ่ยถ้อยคำที่เป็นการซื้อใจคน แต่ข้าก็ต้องพูด ข้าไม่เคยหวังให้เจ้าสือโหรวอาศัยคราบร่างเซียนนี้ทำอะไรบางอย่างเพื่อภูเขาลั่วพั่วในอนาคต ข้าหวังเพียงว่าเจ้าสือโหรวอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วก็ดี อยู่ที่ร้านเล็กๆ ในตรอกฉีหลงแห่งนี้ก็ดี ล้วนสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างปรองดอง ไม่เอาแต่รู้สึกว่าตัวเองเข้ากับคนอื่นไม่ได้ แล้วนั่นคือปัญหาของคนอื่น ต้องหัดเรียนรู้ที่จะเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นงานที่ต้องอดทนดั่งน้ำหยดลงหินทุกวัน ทว่าพวกเราที่มีชีวิตอยู่ก็ล้วนเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือ? ถูกไหม?”

สือโหรวใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง “คุณชายพูดจาจริงใจมีคุณธรรม ข้าจะไตร่ตรองให้มาก”

เฉินผิงอันเก็บตราประทับคู่และแท่นฝนหมึกลงไป ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้า “เจ้าสังเกตหรือไม่ว่า บนภูเขาลั่วพั่ว หรือไม่ก็บ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิง ตอนนี้คนเหล่านี้ต่างก็มีระดับความสูงต่ำของสถานะและขอบเขต แต่ความใกล้ชิดหรือห่างเหินของความสัมพันธ์ ล้วนไม่ได้อาศัยสิ่งนี้มาเป็นตัวตัดสิน ที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าสือโหรว ไม่ใช่ว่าต้องการให้เจ้าเปลี่ยนไปเป็นคนในแบบที่ข้าคิดไว้ในใจให้จงได้ เพียงแต่ไม่อยากให้ในใจเจ้าเกิดความรู้สึกอยุติธรรม แม้ความน้อยเนื้อต่ำใจจะเป็นเรื่องจริง แต่กลับคิดไปเลยเถิดเกินความจริง”

สือโหรวถาม “เฉินผิงอัน วันหน้าหากคนบนภูเขาลั่วพั่วมีมากขึ้นแล้ว เจ้าก็จะพูดคุยแลกเปลี่ยนความในใจแบบนี้กับทุกคนทุกครั้งหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “หากในอนาคตมีสำนักบนภูเขาเป็นของตัวเองจริงๆ มีคนมาเพิ่มสิบกว่าคนหรืออาจถึงร้อยคน ถึงเวลานั้นข้าต้องไม่มีเวลามาให้ความสนใจได้หมดเป็นแน่ แต่ก็ไม่เป็นไรนี่นา ข้ามีพวกเจ้าอยู่ด้วย อีกทั้งข้าก็รู้สึกมาโดยตลอดว่าไม่จำเป็นต้องใช้หลักการเหตุผลเสมอไป เมื่อคนเรายืนได้ตรง จิตใจดี เจ้ากับพวกจูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิง แต่ละคนต่างก็มีข้อดีในแบบของตน หลักการและเหตุผลก็จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ…”

เฉินผิงอันพลันยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นออกไป “ก็เหมือนกับลมวสันตฤดูยามค่ำคืนที่บำรุงให้ความอบอุ่นแก่สรรพสิ่งอย่างไร้เสียง เมื่อเทียบกับคำพร่ำบ่นของคนที่ไม่ถือว่าเป็นบัณฑิตอย่างข้าแล้วก็ดีกว่ามากนัก”

สือโหรวจ้องใบหน้าด้านข้างของคนหนุ่มนิ่ง นางได้แต่เหม่อลอยไร้คำพูด

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็เริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู ส่วนสือโหรวกลับไปที่ห้องของตัวเอง

เว่ยป้อมาปรากฏตัวอยู่ใต้ชายคา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าทำธุระของตัวเองไปก่อน ข้ารอได้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!