กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 484

เรือข้ามทวีปของสำนักพีหมาแห่งชายหาดโครงกระดูกลำนี้มีรูปลักษณ์เหมือนเรือหอเรือนข้ามแม่น้ำ ไม่แตกต่างจากเรือขนาดเล็กจำนวนมากที่เฉินผิงอันเคยนั่งมาก่อน เพียงแต่ว่าพอลอยขึ้นกลางอากาศแล้วกลับมีความลี้ลับมหัศจรรย์ บริเวณโดยรอบเรือลำยักษ์มีไอหมอกกลิ้งตลบอบอวล ก่อนจะปรากฏเป็นร่างมายาของมัลละสวมเสื้อเกราะที่พากันกรูออกมาประหนึ่งคนดึงเชือกลากเรือที่วิ่งตะบึงอยู่กลางอากาศท่ามกลางทะเลเมฆ เป็นเหตุให้ความเร็วของเรือข้ามฝากดั่งสายฟ้าแลบ เหนือกว่าเรือข้ามฟากของภูเขาต่าเจี้ยวของตระเซียนที่มาจากอุตรกุรุทวีปเหมือนกันมากนัก

เฉินผิงอันปลดเจี้ยนเซียนและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่วางไว้บนโต๊ะนานแล้ว นอกจากจะฝึกหมัดเงียบๆ อยู่ในห้อง บางครั้งก็จะหยิบเอาแผ่นไม้ไผ่สองสามแผ่นออกมาแล้วไปชมทัศนียภาพอยู่ที่ระเบียง ใช้ฝ่ามือลูบแผ่นไม้ไผ่อยู่เป็นระยะ ตอนนี้แผ่นไม้ไผ่ออกสีเหลืองที่อยู่ในมือของเขาสลักตัวอักษรแปดคำที่มีความหมายว่า ‘ไม่มีเรื่องทำสมองให้แจ่มชัด เจอเรื่องตัดสินใจให้เด็ดขาด’ หนึ่งคำคือแจ่มชัด อีกหนึ่งคำคือเด็ดขาด ล้วนทำให้เฉินผิงอันรู้สึกถูกชะตามากเป็นพิเศษ

แม้ว่าก่อนที่ชุยตงซานจะจากไปได้มอบพัดพับไม้ไผ่หยกเล่มหนึ่งมาให้ แต่พอนึกถึงท่วงท่าเปี่ยมเสน่ห์ยามโบกพัดพัดลมเย็นเข้าสู่ตัวขณะที่เอนกายนอนบนเปลญวนระหว่างที่ลู่ไถเดินทางร่วมกับตนในปีนั้น เมื่อมีผลงานโดดเด่นให้เปรียบเทียบ เฉินผิงอันจึงรู้สึกว่าเมื่อพัดพับเล่มนั้นมาตกอยู่ในมือของตนก็ช่างน่าสงสารมันเสียจริง เพราะเขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าภาพที่ตัวเองโบกพัดจะชวนให้กระอักกระอ่วนเพียงใด

หลังจากที่เรือข้ามฟากลอยพ้นไปจากอาณาเขตของพื้นที่มงคลหลีจูแล้วก็จะจอดเทียบท่าที่ท่าเรือตำหนักฉางชุนซึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองหลวงต้าหลีครู่หนึ่ง ตำหนักฉางชุนคือถ้ำสถิตตระกูลเซียนอันดับหนึ่งของต้าหลี ผู้ฝึกตนล้วนเป็นสตรี หลังจากที่เหนียงเนียงในวังผู้นั้นสูญเสียอำนาจก็มาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่ ตอนนั้นราชสำนักต้าหลีต่างก็นึกว่าเหนียงเนียงที่ออกห่างจากใจกลางอำนาจผู้นี้จะไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก คิดไม่ถึงว่าถึงท้ายที่สุดแล้วนางต่างหากถึงจะเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ให้กำเนิดบุตรชายสองคน คนหนึ่งมีราชครูชุยฉานคอยให้การสนับสนุน ได้เป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของต้าหลี อีกคนหนึ่งก็ยิ่งสนิทสนมกับอ๋องเจ้าเมืองซ่งจ่างจิ้ง และกำลังจะได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องให้ไปอยู่พื้นที่ศักดินาอย่างนครมังกรเฒ่า ปกครองเมืองหลวงแห่งที่สองอยู่ไกลๆ

หลังจากอดีตฮ่องเต้ตายไป ทั้งๆ ที่นางถูก ‘กักบริเวณ’ แล้ว ราวกับว่าไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แต่กลับกลายเป็นว่าผลลัพธ์ที่ออกมาดีต่อนางที่สุด

ดูเหมือนว่าจะโทษที่พวกชาวบ้านชอบพูดติดปากว่าคนทำดีต้องได้ดีตอบแทน แต่แท้จริงแล้วในใจกลับไม่เชื่อเท่าไหร่นักไม่ได้จริงๆ

เฉินผิงอันไม่ค่อยเหมือนกับกู้ช่านและเผยเฉียน การลงบัญชีของเขาไม่ใช่การจดลงบนกระดาษน้อยใหญ่ เพราะหากมากเกินไปกลับจะทำให้จำได้ไม่แม่นยำ ปีนั้นที่เฉินผิงอันออกจากบ้านเดินทางไกลเป็นครั้งแรก เหนียงเนียงแห่งต้าหลีผู้นี้เกิดจิตคิดสังหารเขาอย่างแรงกล้า จึงส่งยอดนักฆ่ากลุ่มใหญ่ของต้าหลีให้ติดตามมา หากไม่เจอกับอาเหลียงเข้าพอดี ต่อให้มีเฉินผิงอันเป็นร้อยคน ป่านนี้ก็คงตายไร้ศพอยู่ดี

แน่นอนว่าสตรีผู้นั้นมีเหตุผลของนางเอง บุตรชายอย่างซ่งจี๋ซินต้องเจอกับความอัปยศใหญ่หลวงจากเขาเฉินผิงอัน อีกนิดเดียวก็เกือบจะถูกลูกศิษย์เตาเผามังกรอย่างเขาบีบคอตายอยู่ในตรอกหนีผิงท่ามกลางสายฝนแล้ว

หลังจากได้เดินทางผ่านพื้นที่มงคลดอกบัวและทะเลสาบซูเจี่ยน อันที่จริงเฉินผิงอันพอจะเรียบเรียงเส้นสายของสตรีผู้นั้นได้คร่าวๆ แล้ว

เห็นได้ชัดว่าในช่วงเวลาที่เหนียงเนียงต้าหลีซึ่งกุมอำนาจใหญ่อยู่ในมือผู้นี้มีบารมีมากที่สุด นางก็ได้เริ่มวางแผนแล้ว ช่วยซ่งเหอบุตรชายที่ถูกเลี้ยงอยู่ข้างกายในเมืองหลวงสร้างชื่อเสียงที่ดีงาม สานสัมพันธ์ตีสนิทกับขุนนางบุ๋นบู๊ ส่วนซ่งจี๋ซินที่ไปช่วงชิงโชควาสนาจากถ้ำสวรรค์หลีจูเพื่อช่วยให้โชคชะตาแคว้นของสกุลซ่งต้าหลีเป็นดั่ง ‘ลมโชยน้ำขึ้น’ นั้น สามารถช่วยสกุลซ่งช่วงชิงมาได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น หากซ่งจี๋ซินตายไป นางก็คงยังบีบน้ำตาร่ำไห้ เพียงแต่ว่าซ่งมู่ที่เกิดมาได้มานานก็ ‘เสียชีวิตก่อนวัยอันควร’ จึงถูกตัดชื่อออกจากทำเนียบวงศ์ตระกูลสกุลซ่งไปนานแล้ว หากตายไปแล้วก็ตายไป ก็แค่ต้องตายอีกครั้งเท่านั้น แต่ความดีความชอบของซ่งจี๋ซิน อย่างน้อยก็มีครึ่งหนึ่งที่เป็นคุณความชอบของมารดาอย่างนาง ความดีความชอบของนาง แน่นอนว่าก็เป็นคุณความชอบของซ่งเหอบุตรชายอีกคน เรื่องราววงในทั้งหลายเหล่านี้ ไม่แน่เสมอไปว่าเหล่าขุนนางสำคัญที่เป็นเสาค้ำยันแคว้นของต้าหลีจะไม่รับรู้ แต่ไม่เป็นไร อดีตฮ่องเต้ยอมรับ ชุยฉานยอมรับ ซ่งจ่างจิ้งก็ต้องยอมรับ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

ซ่งจี๋ซินมีชีวิตออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูก็ยิ่งเป็นเรื่องดี แน่นอนว่าก่อนที่จะบอกว่าเป็นเรื่องดี ซ่งมู่ที่กลับคืนมามีชื่อในทำเนียบวงศ์ตระกูลอีกครั้งผู้นี้ต้องไม่มีใจละโมบ ต้องเป็นเด็กดีว่าง่าย ต้องเข้าใจว่าจะไม่แย่งชิงบัลลังก์ตัวนั้นกับซ่งเหอผู้เป็นน้องชายเสียก่อน

ดังนั้นคราวก่อนที่เฉินผิงอันกับซ่งจี๋ซินซึ่งเป็นทูตที่มาเยือนเมืองหลวงต้าสุยได้พบเจอกันโดยบังเอิญในสำนักศึกษาซานหยา จึงสามารถพูดคุยกันได้อย่างผ่อนคลาย ไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น

ตอนที่ซ่งจี๋ซินยังเป็นเพื่อนบ้านของเฉินผิงอัน อีกฝ่ายคอยพูดจาแฝงความนัยเหน็บแนมอยู่ไม่น้อย อย่างเช่นคำว่าบ้านหลังใหญ่โตของเฉินผิงอัน ของสิ่งเดียวที่พอมีเสียงได้ก็คือขวดไห กลิ่นหอมกลิ่นเดียวที่พอจะได้กลิ่นก็คือกลิ่นยา

แต่นอกจากครั้งนั้นที่หลอกให้เฉินผิงอันต้องผิดคำสาบานแล้ว โดยภาพรวมซ่งจี๋ซินกับเฉินผิงอันก็ถือว่าอยู่ร่วมกันได้อย่างดี แค่ไม่ถูกชะตากันก็เท่านั้น จึงเป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง คนหนึ่งเดินบนทางกว้างใหญ่ คนหนึ่งเดินบนทางสะพานไม้คับแคบ ใครก็ไม่ถ่วงรั้งใคร ส่วนคำพูดเสียดสีค่อนแคะทั้งหลาย เมื่ออยู่ในสถานที่อย่างตรอกหนีผิง ตรอกซิ่งฮวาก็ช่างเบาบางเหมือนขนห่าน ใครเอาเก็บไปใส่ใจ คนนั้นก็เสียเปรียบ ในความเป็นจริงแล้วปีนั้นซ่งจี๋ซินก็ถูกพวกสตรีในหมู่ชาวบ้านนำมาเป็นหัวข้อซุบซิบนินทา เขาเองก็เคยเจอกับความยากลำบากในเรื่องนี้มาเหมือนกัน แล้วก็เพราะเก็บมาใส่ใจมากเกินไป ปมในใจจึงกลายมาเป็นเงื่อนตาย ต่อให้เทพเซียนก็ยากจะคลายออก

เมื่อเรือข้ามฟากใกล้จะเข้าสู่แถบเมืองหลวงต้าหลี ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้ แสงจันทร์แสงดาวบางตา เฉินผิงอันนั่งอยู่บนราวระเบียง แหงนหน้ามองท้องฟ้าพลางดื่มเหล้าอยู่กับตัวเองเงียบๆ

ยามที่ยังเป็นเด็ก เฉินผิงอันกลัวว่าจะเจ็บป่วยมากที่สุด หลังจากที่เริ่มคุ้นเคยกับการขึ้นภูเขาไปเก็บยาสมุนไพร จากนั้นก็ได้มาเป็นลูกศิษย์ของเตาเผา ติดตามผู้เฒ่าเหยาที่ให้ตายก็ไม่ยอมเห็นดีในตัวเฉินผิงอันเรียนการเผาเครื่องปั้น เฉินผิงอันจะต้องระมัดระวังเรื่องสุขภาพของตัวเองเป็นพิเศษ หากมีแนวโน้มว่าจะเป็นไข้ ก็จะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรมาต้มเป็นยา หลิวเสี้ยนหยางเคยหัวเราะเยาะว่าเฉินผิงอันเป็นคนที่บอบบางที่สุดในโลก คิดว่าตัวเองมีร่างกายของคุณหนูน้อยบนถนนฝูลวี่จริงๆ หรือไร

ไม่เพียงแค่เพราะตอนเป็นเด็กเฉินผิงอันต้องเห็นมารดาเปลี่ยนจากล้มป่วยนอนติดเตียง รักษาอย่างไรก็ไร้ผล จนกระทั่งผ่ายผอมราวกับท่อนฟืน สุดท้ายก็จากโลกนี้ไปในวันที่หิมะตกหนัก ยังเป็นเพราะเฉินผิงอันกลัวอย่างยิ่งว่าหากตัวเองตายไป ใต้หล้านี้ก็จะไม่มีคนที่คอยคิดถึงพ่อแม่ของเขาอีก

ปีนั้นท่านแม่มักจะบอกว่าอาการป่วยของนางไม่เจ็บปวด ก็แค่มักจะง่วงนอนบ่อยๆ ดังนั้นจึงบอกกับเขาว่าผิงอันน้อยไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวล

แรกเริ่มเด็กที่ยังไร้เดียงสาก็เชื่อจริงๆ เพียงแต่ภายหลังถึงเพิ่งรู้ว่าไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะท่านแม่ไม่อยากให้เขาคิดมาก ไม่อยากให้เขาต้องทำงานเหนื่อยยาก ถึงได้กัดฟันทน แบกรับความเจ็บปวดทรมานไว้กับตัว

ผ้าห่มผืนเก่าบนเตียงหลังนั้น มุมผ้าห่มด้านในหลายจุดล้วนถูกนางจิกจนฉีกขาด

คนในตระกูลร่ำรวยไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่ ต่างก็บอกว่าเด็กเล็กหากรู้ความเร็ว ก็จะได้ดิบได้ดีมีอนาคต

ครอบครัวยากจน ต่อให้เด็กน้อยจะรู้ความเร็ว แต่จะยังทำอะไรได้อีก ก็แค่ต้องรับความลำบากเร็วกว่าเด็กคนอื่นเท่านั้น

ตรอกหนีผิงในปีนั้นไม่มีใครสนใจหรอกว่าเด็กที่เหยียบม้านั่งทำอาหาร สำลักควันและน้ำมันจนน้ำตาไหลอาบหน้า ทว่าใบหน้ากลับยังมีรอยยิ้มคนนั้น กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

เด็กคนหนึ่งที่วิ่งไปขอพรจากสุสานเทพเซียนเพียงลำพังจะกลัวความมืดหรือไม่ จะกลัวคำเล่าลือเกี่ยวกับภูตผีหรือไม่ ตอนที่คุกเข่าโขกหัวคำนับเหล่าเทพเซียนพระโพธิสัตว์ บอกว่าขอติดควันธูปเอาไว้ก่อน วันหน้าเมื่อเติบใหญ่แล้ว เขาจะต้องชดใช้คืนเป็นแน่ จะถือว่าจริงใจพอหรือเปล่า

ไม่มีใครจำได้ว่าปีนั้นในห้องแห่งหนึ่งมีสตรีแต่งงานแล้วผู้หนึ่งกัดฟันข่มกลั้นความเจ็บปวดทรมานเพื่อลุกออกจากผ้าห่ม แต่กระนั้นก็ยังมีเสียงเล็กๆ ลอดออกมาจากไรฟัน

นอกประตู เด็กคนนั้นใบหน้าซีดขาว ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งยองอยู่บนพื้น ยกสองมืออุดหู ไม่กล้าส่งเสียงร้อง กลัวว่าท่านแม่จะรู้ว่าเขารู้แล้ว

ไม่ใช่ญาติสนิททุกคนบนโลกที่จะรับรู้ความเศร้าโศกความยินดีของกันและกันได้

เกิดขึ้นเร็วเกินไป ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องดีทั้งหมด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!