นครปี้ฮว่ากินอาณาบริเวณเท่ากับขนาดของเมืองหงจู๋ เพียงแต่ว่าตรอกซอกซอยค่อนข้างจะระเกะระกะ ความกว้างความแคบไม่แน่นอน ส่วนใหญ่ล้วนเอียงลาด อีกทั้งยังมีจวนหรือหอสูงน้อย นอกจากร้านค้ามากมายที่มีขนาดเหมือนก้อนเต้าหู้แล้ว ยังมีร้านผ้าห่อบุญอีกเป็นจำนวนมากที่ตั้งแผงลอยเอาไว้ เสียงเรียกลูกค้าดังขึ้นๆ ลงๆ แทบไม่ต่างจากเสียงไก่ขันหมาเห่าในหมู่บ้านชนบท แน่นอนว่าที่มากกว่านั้นก็คือพ่อค้าหาบเร่ที่เงียบงัน พวกเขาจะนั่งยองอยู่ข้างทาง ห่อไหล่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ไม่สนใจคนที่เดินอยู่บนถนน อยากดูก็ดู อยากซื้อก็ซื้อ
เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของนครปี้ฮว่า มีคำบอกเล่าที่แตกต่างหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพขุนนางหญิงแห่งสรวงสวรรค์ที่ถูกวาดไว้บนผนังที่มีความงามเลิศล้ำในแบบที่แตกต่างกันออกไป สำนักพีหมาที่มาเลือกสถานที่แห่งนี้เป็นที่เปิดขุนเขาตั้งสำนักก็ยิ่งเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
เฉินผิงอันเดินๆ หยุดๆ ไปตลอดทาง เวลาประมาณหนึ่งถ้วยชา เขาที่เดินตามกระแสคนจำนวนมากที่มาเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียงของที่แห่งนี้มานานก็มาหยุดอยู่ที่หน้าผนังแถบหนึ่ง ผนังภูเขาสูงสิบกว่าจั้ง ภาพวาดเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอำนาจ เฉินผิงอันที่ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนเงยหน้ามองตามทุกคน เนื้อหาในภาพวาดฝาผนังนี้ก็คือเรือนกายของเทพหญิงรูปร่างอรชรที่ยืนหันข้างคล้ายกำลังเดินไปข้างหน้า ท่วงท่าสีหน้าของนางมีชีวิตชีวา ใต้เฝ้าเท้ามีก้อนเมฆมงคลผุดรับ ตรงเอวรัดจานฝนหมึกชิ้นหนึ่งที่ไม่ค่อยพบเห็นในปัจจุบันแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเส้นแสงหรือปราณวิญญาณที่อยู่ในภาพวาดฝาผนัง เห็นเพียงว่าสายตาของเทพหญิงมีประกายไหลวนทำให้ดูเหมือนคนที่มีชีวิตจริง
เทพหญิงบนฝาผนังภาพนี้ถูกคนรุ่นหลังตั้งชื่อให้ว่า ‘กว้าเยี่ยน (ห้อยจานฝนหมึก)’ สีสันใช้สีเขียวเข้มเป็นหลัก แต่ก็มีการไล่สีแต้มขอบทองอย่างพอเหมาะพอเจาะ ประหนึ่งการวาดมังกรแต้มนัยน์ตา เป็นเหตุให้ภาพฝาผนังหนาหนักแต่ไม่ขาดกลิ่นอายความเป็นเซียน มองปราดๆ ทำให้คนรู้สึกเหมือนมองอักษรแบบหวัดในตำรา มองดูเหมือนตวัดพู่กันเรียบง่าย แต่หากเพ่งมองอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นรอยยับของเสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือเส้นลายบนผิวพรรณ แม้กระทั่งขนตาก็ล้วนละเอียดเป็นพิเศษ ประหนึ่งใช้อักษรบรรจงแบบตัวเล็กคัดคัมภีร์ แต่ละพู่กันที่ตวัดสอดคล้องกับกฎเกณฑ์
ดูท่าแล้วคนที่วาดจะต้องเป็นจิตรกรมือหนึ่งที่ฝีมือสุดยอดเลิศล้ำคนหนึ่งอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันเข้าใจภาษาทางการของอุตรกุรุทวีปแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนข้างกาย เขาจึงฟังออกแค่คร่าวๆ ภาพวาดบนฝาผนังแปดภาพในเมืองใต้ดินแห่งนี้ ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมาได้ถูกคนมีวาสนาของแต่ละยุคแต่ละสมัยทยอยกันดึงเอาโชควาสนาห้าส่วนที่มาจากเจตนารมณ์สวรรค์ไปแล้ว อีกทั้งเมื่อเทพหญิงทั้งห้าท่านเดินออกมาจากภาพวาด เลือกเจ้านายเพื่อให้การปรนนิบัติรับใช้แล้ว สีสันบนภาพวาดก็จะจางหายไปในเสี้ยววินาที ลวดลายของภาพยังคงอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนไปเหมือนการวาดลายเส้นบนกระดาษขาวเท่านั้น ไม่ได้มีสีสันสดใสสะดุดตาอีกต่อไป อีกทั้งปราณวิญญาณยังไหลหายไปด้วย ดังนั้นภาพบนฝาผนังทั้งห้าจึงถูกสำนักพีหมาเชื้อเชิญบรรพบุรุษของสำนักที่มีอักษรจงในชื่อจากหลิวเสียทวีปซึ่งสนิทสนมกันมานานท่านหนึ่ง ให้มาใช้วิชาลับเฉพาะร่ายปิดภาพวาดเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ภาพฝาผนังที่สูญเสียการประคับประคองจากปราณวิญญาณถูกกาลเวลากัดเซาะให้สูญสลายไป
นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมสถานที่แห่งนี้ ส่วนใหญ่ล้วนมาเพื่อชมความงามล่มเมืองของเทพหญิง แน่นอนว่าเฉินผิงอันเองก็ดูด้วย เพราะถ้าไม่ดูก็ถือว่ามาเสียเที่ยว ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ภาพวาดฝาผนังเท่านั้น ดูไปแล้วจะยังเป็นอย่างไรได้อีก
เพียงแต่ความสนใจส่วนใหญ่ของเฉินผิงอันอยู่ที่จานฝนหมึกโบราณขนาดเล็กที่สตรีห้อยไว้ตรงเอวมากกว่า เขาพอจะมองเห็นตัวอักษรโบราณสองคำว่า ‘ฟ้าแลบ’ ที่สลักเอาไว้ได้อย่างเลือนราง การที่เขาอ่านออกต้องยกคุณความชอบให้กับ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้ ในตำราเล่มนั้นมีตัวอักษรฉงเหนี่ยว (ตัวอักษรนกและแมลง คือตัวอักษรโบราณชนิดหนึ่งของจีน รูปแบบของตัวอักษรคล้ายภาพนกและแมลง) อยู่มาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วตัวอักษรประเภทนี้ได้หายสาบสูญไปจากใต้หล้าไพศาลนานแล้ว
บริเวณใกล้เคียงกับผนังแถบนี้มีร้านค้าร้านหนึ่งเปิดอยู่ ซึ่งขายสำเนาคัดลอกของภาพเทพหญิงนี้ไว้โดยเฉพาะ ราคาไม่เท่ากัน หนึ่งในนั้นคือสมุดกระดาษไขที่ใช้การเขียนแบบสองตะขอเติมเต็ม (ซวงโกวคว่อเถียนคือเทคนิคการวาดภาพและเขียนพู่กันของจีนอย่างหนึ่ง คือการใช้เส้นตวัดปลายงอเป็นตะขอในวาดเค้าโครงของวัตถุ เนื่องจากจะใช้เส้นสองเส้นที่อาจจะซ้ายกับขวา หรือบนกับล่างประกบกันจึงเรียกว่าซวงโกวหรือสองตะขอ และการเติมหมึกในช่องวางของเส้นที่วาดร่างเอาไว้ก็เรียกว่าคว่อเถียน) ที่มีราคาแพงที่สุด ภาพหนึ่งที่มีขนาดเท่าพัดก็กล้าตั้งราคาเริ่มต้นไว้ที่ยี่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ แต่เฉินผิงอันก็เห็นว่าสำเนาภาพนี้วาดได้งดงามอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่รูปร่างเหมือนภาพบนฝาผนัง ยังมีความเหมือนทางจิตวิญญาณอีกสองสามส่วน เฉินผิงอันจึงซื้อมาสองภาพ คิดว่าในอนาคตตนจะเก็บไว้ภาพหนึ่งและมอบให้จูเหลี่ยนภาพหนึ่ง
จูเหลี่ยนเคยบอกว่า เรื่องของการเก็บของสะสมนั้นมีข้อต้องห้ามใหญ่หลวงที่สุดก็คือการเก็บปะปนกันมั่วซั่ว
ร้านแห่งนี้มีเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่หนึ่งเป็นผู้ดูแลกิจการ เด็กสาวไม่ค่อยสนใจลูกค้าเท่าใดนัก แต่เด็กหนุ่มกลับคล่องแคล่วว่องไว พอเห็นว่าเฉินผิงอันซื้อภาพที่แพงที่สุดในร้านก็เริ่มแนะนำภาพชุดแบบเติมเต็มซึ่งบรรจุภาพวาดของเทพหญิงห้าภาพครบชุดให้แก่แขกผู้มีเกียรติอย่างเฉินผิงอัน สมุดเล่มนี้บรรจุไว้ในกล่องไม้สีแดงสด เด็กหนุ่มบอกว่าลำพังแค่ราคาของกล่องไม้นี้ ต้นทุนก็หลายเหรียญเงินเกล็ดหิมะแล้ว
เฉินผิงอันเอามือปาดผ่านกล่องไม้เบาๆ เนื้อไม้เนียนเรียบลื่น ปราณวิญญาณบางเบาแต่บริสุทธิ์ น่าจะมาจากภูเขาตระกูลเซียนจริงๆ
เด็กหนุ่มยังบอกอีกว่าภาพเทพหญิงอีกสองภาพที่เหลือหาซื้อที่นี่ไม่ได้ ลูกค้าต้องเดินไปอีกหน่อยถึงจะซื้อจากร้านอื่นได้ ตอนนี้นครปี้ฮว่าเหลือร้านที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของใครของมันอยู่อีกแค่สามร้าน เหล่าพวกผู้อาวุโสได้ร่วมกันตั้งกฎเอาไว้ ไม่อนุญาตให้แย่งกันทำการค้า แต่ภาพทั้งห้าที่ถูกสำนักพีหมาปิดการทำสำเนาคัดลอกเอาไว้แล้วล้วนสามารถหาซื้อได้จากทั้งสามร้าน
เฉินผิงอันคิดแล้วก็บอกว่าขอดูก่อน จากนั้นก็เก็บภาพเทพหญิง ‘กว้าเยี่ยน (ห้อยจานฝนหมึก)’ แผ่นนั้นกลับไป แล้วจึงเดินออกมาจากร้าน
ส่วนเรื่องโชควาสนาจากเทพหญิงอะไรนั่น เฉินผิงอันไม่แม้แต่จะคิดถึงด้วยซ้ำ
ได้ยินพวกนักท่องเที่ยวพูดคุยกันว่าหากเทพหญิงเดินออกมาจากภาพวาดก็จะปรนนิบัติรับใช้เจ้านายไปชั่วชีวิต ในประวัติศาสตร์คนทั้งห้าในภาพวาดล้วนผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับเจ้านายของตัวเอง จากนั้นอย่างน้อยก็สามารถพากันเลื่อนขั้นสู่เซียนดินก่อกำเนิดได้ หนึ่งในนั้นมีบัณฑิตตกอับที่พรสวรรค์การฝึกตนธรรมดาที่พอได้รับความโปรดปรานจากเทพหญิง ‘ไม้เท้าเซียน’ ไป ก็ฝ่าทะลุขอบเขตครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเหนือการคาดการณ์ของทุกคน สุดท้ายกลายเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินในประวัติศาสตร์ของอุตรกุรุทวีป เรียกได้ว่าได้กอดสาวงามกลับบ้านอย่างแท้จริง เทพเซียนบนภูเขาก็ได้เป็นแล้ว ชีวิตนี้เดินมาถึงขั้นนี้ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
ตอนนั้นเฉินผิงอันฟังจนเหงื่อออกเต็มฝ่ามือ รีบดื่มเหล้าระงับความตกใจของตัวเอง ขาดก็แค่ไม่ได้ยกมือขึ้นพนมเท่านั้น เขาภาวนาในใจเงียบๆ ว่าขอให้ผู้อาวุโสเทพหญิงบนผนังสายตาสูงสักหน่อย อย่าได้ตาบอดมาหมายตาตนเลย
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ไปเยือนภาพวาดฝาผนังที่เหลืออีกสองภาพ และยังซื้อสมุดสำเนาเติมเต็มที่แพงที่สุดมา รูปแบบเหมือนกับที่ซื้อจากร้านแรก ร้านค้าที่อยู่ใกล้เคียงก็ขายภาพเทพหญิงทั้งห้าครบชุดเหมือนกัน ราคาเหมือนกับที่เด็กหนุ่มคนก่อนหน้านี้บอก นั่นคือหนึ่งร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ไม่ลดราคาแล้ว ภาพขุนนางหญิงสองภาพที่เหลือนี้แบ่งออกเป็นชื่อ ‘สิงอวี่ (โปรยฝน)’ และ ‘ฉีลู่ (ขี่กวาง)’ ฝ่ายแรกถือถ้วยหยกสีขาวเอียงลงเบื้องล่างเล็กน้อย นักท่องเที่ยวพอจะมองเห็นได้ว่าในถ้วยมีริ้วคลื่นแสงเป็นประกาย และยังมีเจียวหลงตัวหนึ่งส่องแสงสีทองระยิบระยับ ฝ่ายหลังขี่กวางเจ็ดสีตัวหนึ่ง ชุดกระโปรงของเทพหญิงลากสะบัดอยู่ด้านหลัง พลิ้วไหวล่องลอยดุจเซียน เทพหญิงท่านนี้ยังสะพายกระบี่ไม้ไร้ฝักสีเขียวไว้บนหลังอีกหนึ่งเล่ม บนกระบี่สลักสามคำว่า ‘สายลมแห่งความสุข’
เฉินผิงอันเดินปะปนไปกับกระแสผู้คนตลอดทาง ฟังให้มากและมองให้มาก
ระหว่างนี้มีบทสนทนาหนึ่งที่ทำให้คนหลงใหลในทรัพย์สินอย่างเฉินผิงอันรู้สึกสนใจ คิดว่าจะต้องทำตัวเป็นร้านผ้าห่อบุญดูสักครั้ง การมาเยือนอุตรกุรุทวีปครั้งนี้ นอกจากจะเพื่อฝึกกระบี่แล้วก็อาจจะถือโอกาสลองทำการค้าดู ถึงอย่างไรในวัตถุจื่อชื่อและวัตถุฟางชุ่นก็แทบจะว่างโล่งอยู่แล้ว
มีคนที่เดินอยู่บอกว่าภาพเทพหญิงของนครปี้ฮว่าแห่งนี้ เนื่องจากฝีมือการวาดงามวิจิตรอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีชื่อเสียงที่ผู้คนตลอดทั้งเหนือและใต้ในทวีปรู้จัก ทางแถบทิศเหนือของอุตรกุรุทวีปจึงมักจะมีผู้ฝึกตนที่ให้ราคาสูง ค่อนข้างได้รับความนิยมในวงการขุนนางของทางทิศเหนือ ถึงขั้นที่ว่ายังมีเซียนซือตระกูลเศรษฐียินดีจ่ายด้วยเงินห้าเหรียญเงินร้อนน้อยเพื่อซื้อภาพเทพหญิงแห่งนครปี้ฮว่าครบชุดทั้งแปดภาพ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!