หยางฉงเสวียนปัดมือ ทิ้งตัวนอนหงายหลัง นอกจากเหตุผลระยำแล้ว ยังมีคำกล่าวอีกอย่างที่ลี้ลับเกินจะหยั่งอยู่อีก
น้องชายที่ใกล้ชิดกับสายน้ำ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเมื่อมาอยู่ที่ภูเขากระจกวิเศษจะเจอกับการช่วงชิงบนมหามรรคาที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตาย นั่นจะอันตรายอย่างยิ่ง
หยางฉงเสวียนไม่เข้าใจเอาเสียเลย อยู่ในหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ เว้นเสียแต่เจ้านครจิงกวานกับเจ้าโครงกระดูกผูหรางผู้นั้นเสียสติขึ้นมา น้องชายตนจะมีอันตรายอะไรได้? น้องชายของเขาคนนี้ไม่ใช่มะพลับนิ่มอะไรสักหน่อย ลื่นไหลอย่างกับปลาหนีชิว ก่อกำเนิดทั่วไป ไหนเลยจะจับเจ้าคนที่เชี่ยวชาญการรักษาชีวิตรอด อีกทั้งยังหนีเก่งอย่างถึงที่สุดเช่นเขาได้
จู๋เฉวียนแห่งสำนักพีหมาไม่ใช่คนโง่ ไม่แน่ว่าอาจจะยังช่วยปกป้องเขาบ้าง ยอดฝีมือนอกโลกสองท่านที่อยู่ในอารามเสวียนตูเล็กและวัดหยวนเยว่ใหญ่ก็ยิ่งไม่ใช่พวกที่ชอบหาเรื่องใคร โดยเฉพาะท่านที่อยู่ในอารามเสวียนตูเล็กผู้นั้นที่อาจจะยังโปรดปรานน้องชายของตนด้วยซ้ำ นี่จะไม่ยิ่งใช่บุญสัมพันธ์ที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กครั้งหนึ่งหรอกหรือ?
คำทำนายประโยคนั้น รวมไปถึงคำพูดคำจาที่ลึกลับซับซ้อนทั้งหลาย ล้วนทำให้เขารู้สึกกร่อยหมดอารมณ์
อยู่ดีๆ หยางฉงเสวียนก็นึกถึงจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่สวมงอบคนนั้นขึ้นมา
มองออกว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายคือคนบนเส้นทางเดียวกับตน
แต่ตอนนั้นหยางฉงเสวียนกลับไม่มีความคิดที่จะงัดข้ออะไร
โชควาสนากำลังจะมาถึง
มีเรื่องเพิ่มขึ้นไม่สู้มีเรื่องน้อยลง คำพูดเก่าแก่ประโยคนี้ ควรจะรับฟังไว้สักหน่อย
หรือว่าจะเป็นคนผู้นี้?
หยางฉงเสวียนเริ่มใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง ยกสองนิ้วขึ้นทำมุทราคำนวณอยู่เงียบๆ ในเรื่องของการอนุมานนี้ แม้ว่าเขาจะเรียนมาอย่างผิวเผิน แต่เมื่อเทียบกับยอดฝีมือทั่วไปก็ยังถือว่าแข็งแกร่งกว่าระดับหนึ่ง เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นต้นกำเนิดแห่งวิชาของต้นตระกูล
เพียงแต่ผ่านไปครู่หนึ่ง หยางฉงเสวียนก็ทิ้งตัวนอนหงาย เริ่มหลับตานอนหลับ “เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ตะวันลอยโด่งข้าก็ยังหลับได้ ไม่สนหรอกว่าคนบนโลกจะกลุ้มกันเท่าไหร่”
หยางฉงเสวียนพึมพำกับตัวเอง “ยังคงอิจฉาฮว่อหลงเจินเหรินผู้นั้นอยู่ดี ตื่นก็ฝึกตน หลับก็ฝึกตน ไม่รู้ว่าใต้หล้านี้จะมีวิชาตระกูลเซียนที่คล้ายคลึงกันหรือไม่ หากมีล่ะก็จะต้องแอบเรียนดูสักหน่อย”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างกายของหยางฉงเสวียน “มีน่ะต้องมีอยู่แล้ว หนึ่งอยู่ที่หลิวเสียทวีป สามารถบรรลุมรรคาในความฝัน เป็นเหตุให้เส้นทางการฝึกตนของเขาเหนื่อยเพียงครึ่งเดียว แต่ได้ผลเป็นเท่าตัว ตอนนี้คนผู้นี้มาเยือนอุตรกุรุทวีปแล้ว หากข้าผู้เป็นนักพรตเดาไม่ผิด ก็คือคนผู้นี้นี่แหละที่ได้โชควาสนาภาพเทพหญิงกว้าเยี่ยนในนครปี้ฮว่าไป”
“ส่วนอีกคนหนึ่ง เนื่องจากต้นสายปลายเหตุบางอย่างทำให้มีความเกี่ยวข้องกับบรรพจารย์บางท่านของสายข้าผู้เป็นนักพรตพอดี ดังนั้นจึงรู้ว่าเขามีชาติกำเนิดมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูของแจกันสมบัติทวีป เพียงแต่ว่าตอนนี้ไปอยู่ที่ทักษินาตยทวีปแล้ว สามารถฝึกกระบี่ในความฝันตอนกลางวัน ขอแค่ไม่ตายไปก่อนวัยอันควร มหามรรคาก็มารออยู่เบื้องหน้า เพียงแต่ว่าระหว่างทั้งสองคนนี้ สักวันจะต้องมีการช่วงชิงบนมหามรรคาเกิดขึ้น”
หยางฉงเสวียนไม่ได้ลืมตา เพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ที่แท้ก็ท่านเจ้าอารามที่มาเยือนด้วยตัวเอง ทำไม คิดจะมาแย่งชิงโชควาสนากับเด็กรุ่นหลังอย่างข้างั้นหรือ? แบบนี้คงไม่ดีกระมัง ก็แค่กระจกใสที่สามารถส่องร่างจริงของปีศาจได้เท่านั้น หรือว่าเจ้าอารามผู้เฒ่าก็หมายตามันด้วย”
นักพรตเฒ่าคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ใกล้กับหยางฉงเสวียน ไม่จำเป็นต้องใช้ปราณวิญญาณใดๆ แค่จิตขยับ ไอหมอกของธารน้ำก็มารวมตัวกันเป็นเบาะรองนั่งใบหนึ่งด้วยตัวเอง
เขาก็คือเจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามเสวียนตูเล็ก
นักพรตเฒ่าไม่ได้ตอบคำถามที่ค่อนข้างจะไร้มารยาทของหยางฉงเสวียน เพียงแค่มองบ่อลึกแล้วกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ได้มามองน้ำของที่นี่อีกครั้งก็ยังคงรู้สึกว่ามีโชคดีไร้ที่สิ้นสุด ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก”
หยางฉงเสวียนลุกขึ้นยืน ถอนหายใจ “คิดไม่ถึงว่าข้าเองก็มีวันที่ต้องพึ่งชาติกำเนิดของตัวเองถึงจะพอสบายใจได้บ้าง”
นักพรตเฒ่ายิ้มกล่าว “พ่อแม่มีความสามารถมาก ก็แสดงว่าตนเองมีความสามารถในการมาจุติ นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายอะไร สหายน้อยไยต้องหงุดหงิดถึงเพียงนี้”
หยางฉงเสวียนยิ้มกว้าง “เจ้าอาราม ตกลงกันก่อนว่า ข้าแค่ขอว่าท่านอย่าได้มาแย่งชิงโชควาสนาจากกระจกวิเศษบานนี้ของข้า ส่วนเรื่องดีๆ อย่างการถ่ายทอดมรรคกถาหรือผูกบุญสัมพันธ์อะไรนั่น น้องชายของข้าอาจจะไม่ปฏิเสธ แต่กับข้าผู้นี้ เจ้าอารามก็อย่าได้ทำเลย ข้าไม่รับไว้หรอก”
นักพรตเฒ่าหัวเราะเสียงดังก้องกังวาน “ข้าผู้เป็นนักพรตกลับรู้สึกว่าเจ้ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าน้องชายของเจ้าเสียอีก”
หยางฉงเสวียนสอดสองมือหนุนใต้ท้ายทอย “จะคิดว่าเป็นคำพูดชื่นชมดีๆ ก็แล้วกัน”
ราชวงศ์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคกลางของอุตรกุรุทวีปจัดตั้งหน่วยฉงเสวียนแห่งหนึ่งขึ้นมา เพื่อจัดการดูแลเรื่องรายนามของอารามต่างๆ บัญชีรายชื่อนักพรตที่อยู่ในเมืองหลวงและเรื่องของการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเต๋า นอกจากนี้ก็ดูแลทำเนียบของวัดและภิกษุทั้งหมด
และผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจของหน่วยฉงเสวียนก็แซ่หยาง เป็นทั้งราชครูของแคว้นหนึ่ง อีกทั้งยังได้ครอบครองตำหนักนภากาศแห่งหนึ่ง รุ่นของบรรพบุรุษเคยมีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนปรากฏถึงสามคน เพียงแต่ว่าล้วนทยอยกันลาจากโลกนี้ไปแล้ว
ตำหนักนภากาศคือฉงหลินลูกหลาน (มาจากระบบสือฟางฉงหลิน คือระบบการดูแลวัดอย่างหนึ่ง สือฟางหมายถึงสิบทิศได้แก่ออก ตก เหนือ ใต้ ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ บนและล่าง ฉงหลินเป็นคำเรียกขานวัดวาอารามหมายถึงสถานที่ที่พระสงฆ์มารวมตัวกัน สถานที่ที่ใช้ฝึกบำเพ็ญตน) แห่งหนึ่งของลัทธิเต๋า คล้ายคลึงกับจวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์
มีบารมีอำนาจยิ่งใหญ่ รากฐานลึกล้ำจนมิอาจจะจินตนาการได้ถึง
ในกลุ่มของคนหนุ่มสาวมีคนหนุ่มสองคนที่เป็นคู่พี่น้องแท้ๆ ตอนเป็นเด็กก็ได้รับการขนานนามว่าคือเมล็ดพันธ์เต๋าแต่กำเนิด
คนหนึ่งถูกเทียนจวินเซี่ยสือหมายตา เนื่องจากเซี่ยสือไม่สามารถรับลูกศิษย์ได้ และคนหนุ่มก็ไม่อาจรับใครเป็นอาจารย์ แต่กระนั้นเซี่ยสือก็ยังคงถ่ายทอดมรรคกถาให้กับอีกฝ่าย ส่วนอีกคนหนึ่งที่แม้จะเป็นพี่ชาย ทว่าตอนเป็นเด็กกลับชอบท่องเที่ยวไปทั่วทิศมากกว่า ทำตัวดั่งมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหาง ว่ากันว่าเกิดมาก็มีดวงตาดำซ้อนเป็นคู่ ทั้งได้เปรียบที่เกิดก่อน แล้วก็ยังมีความพิเศษมากกว่าน้องชายออย่างหนึ่ง เดิมทีควรจะได้เป็นเจ้าประมุขในอนาคตอย่างถูกต้องเหมาะสม แต่น่าเสียดายที่นิสัยเอ้อระเหยลอยชายเกินไป ทางตระกูลเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่เป็นผล จึงได้แต่ปล่อยเขาไปใช้ชีวิตตามใจชอบ
เมื่อกาลเวลาเลยผ่าน ฝ่ายแรกจึงเหมือนจะกลายมาเป็นตัวเลือกของตำแหน่งเสนาบดีอวี่อี (อวี่อีแปลว่าเสื้อผ้าที่ทำจากขนนก มักจะใช้เรียกเสื้อขนนกของนักพรตเต๋าหรือเทพเซียน และยังสามารถนำมาเรียกแทนตัวนักพรตเต๋าได้ด้วย) คนถัดไปของหน่วยฉงเสวียน ส่วนฝ่ายหลังกลับถูกเงามืดจากชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ของน้องชายปกคลุม ยิ่งนานวันก็ยิ่งเก็บตัวเงียบไร้ชื่อเสียง
นักพรตเฒ่าเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศไกล น่าจะเป็นตรงซุ้มประตูหินทางเข้าของหุบเขาผีร้าย จากนั้นก็เบนสายตาออกไปมองยังทิศทางของเมืองหลันเซ่อ แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “การที่ข้าเดินทางมาครั้งนี้ก็เพราะจะมาบอกเจ้าว่า โชควาสนามาถึงแล้ว”
หยางฉงเสวียนไม่สะทกสะท้าน “เหตุใดเจ้าอารามต้องวิ่งมาบอกข้าเรื่องนี้ด้วย?”
นักพรตเฒ่ามีสีหน้าเคร่งเครียด เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ก่อนหน้านี้ข้าผู้เป็นนักพรตลองทำนายดู ไม่นึกว่าจะได้ผลเป็นมหาฤกษ์ฆ่าคน ทว่าโชคดีมาพร้อมกับโชคร้าย นี่กลับทำให้ข้าผู้เป็นนักพรตจิตใจไม่สงบ จนเกิดจุดด่างพร้อยเสี้ยวหนึ่งขึ้นระหว่างจิตดั้งเดิมกับมหามรรคา สุดท้ายข้าจึงเลือกที่จะมอบมันให้คนอื่น ตอนนี้จึงทั้งรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก เพราะสามารถรักษาจิตดั้งเดิมเอาไว้ได้ แล้วก็ทั้งหมดอาลัยตายอยากกับการสูญเสีย ดูเหมือนว่าโชควาสนาจะเดินสวนไหล่กับข้าไป”
หยางฉงเสวียนพูดเหน็บแนม “ความหมายในคำพูดนี้ก็คือเจ้าอารามคิดจะยืมมีดฆ่าคน? ตัวเองมือสะอาด แต่ให้ข้ามาอยู่แนวหน้า รับบทเป็นคนโง่ที่หลอกได้ง่าย? แม้แต่เจ้าอารามยังลังเลว่าจะฆ่าหรือไม่ฆ่าเขาดี ต่อให้ข้าสามารถสังหารเขาได้ ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายก็คงมหาศาล ข้าที่แขนขาเล็กลีบเช่นนี้จะแบกรับได้ไหวหรือ?”
นักพรตเฒ่าส่ายหน้า “เจ้าไม่รู้หรอกว่าเมล็ดพันธ์เต๋าแต่กำเนิดในสามสายของใต้หล้ามืดสลัวนั้นล้ำค่าแค่ไหน ข้าผู้เป็นนักพรตถึงได้ออกมาจากอารามเสวียนตูเล็กเพื่อพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า”
นักพรตเฒ่าลุกขึ้นยืน “ดูแลตัวเองก็แล้วกัน”
หยางฉงเสวียนพลันถามขึ้นว่า “ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจ หวังว่าเจ้าอารามจะช่วยแถลงไข”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!