กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 495

สรุปบท บทที่ 495.5 ป๋ายอวี้จิงบนท้องฟ้า: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอน บทที่ 495.5 ป๋ายอวี้จิงบนท้องฟ้า จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 495.5 ป๋ายอวี้จิงบนท้องฟ้า คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

แล้วก็จริงดังคาด เขาเหมือนถูกฝ่ามือข้างหนึ่งกระชากคอเสื้อด้านหลังแล้วโยนไปทางทะเลเมฆที่อยู่นอกป๋ายอวี้จิงโดยตรง ไม่เพียงเท่านี้ ยังถูกศิษย์พี่เล็กผู้นั้นกักปราณวิญญาณทั้งหมดเอาไว้ด้วย

เซียนหลายท่านรีบบินออกมาจากจุดต่างๆ ของป๋ายอวี้จิง พยามยามพุ่งเข้าไปรับร่างอาจารย์อาน้อยคนใหม่ที่ตำแหน่งสถานะสูงศักดิ์ผู้นี้

ลู่เฉินยกฝ่ามือไล่ตบเซียนทั้งหลายให้ปลิวกระเด็นไปทีละคน

เด็กหนุ่มร่วงดิ่งลงพื้นอย่างรวดเร็ว

ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งที่รับหน้าที่เป็นผู้ปกป้องมรรคาให้เด็กหนุ่มชั่วคราวกัดฟัน กำลังจะแข็งใจบินออกไปช่วยคน เขาจะปล่อยให้เด็กหนุ่มร่วงตกลงพื้นได้คาตาจริงๆ หรือไร?

หากพูดถึงแค่เรือนกายที่มีเนื้อหนังมังสา ต่อให้เป็นขอบเขตหยกดิบ ตกลงไปก็ต้องกลายเป็นเนื้อเละๆ กองหนึ่ง

ทะเลเมฆเหล่านั้นไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป

มรรคาจารย์เต๋าย่อมสามารถช่วยลูกศิษย์คนสุดท้ายผู้นี้ได้อยู่แล้ว เจ้าลัทธิลู่เองก็ช่วยได้ แต่หากเป็นเช่นนั้นผู้ปกป้องมรรคาอย่างเขาจะไม่กลายไปเป็นตัวตลกของคนทั้งใต้หล้าหรอกหรือ?

ลู่เฉินชำเลืองตามองขอบเขตบินทะยานผู้นั้นด้วยสายตาเย็นชา

จิตแห่งเต๋าของอีกฝ่ายแหลกสลายทันควัน เขารีบยืนกุมมือ รักษาจิตวิญญาณให้มั่นคง

และในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังจะร่วงลงสู่พื้นนั้นเอง ตรงม่านฟ้าก็มีช่องโพรงขนาดใหญ่สองช่องถูกแหวกออกแทบจะเวลาเดียวกัน พลังอำนาจนั้นน่าตะลึงพรึงเพริดเป็นอย่างยิ่ง

จากนั้นก็มีสายรุ้งสองเส้นพุ่งมาทางป๋ายอวี้จิงแห่งนี้

แม้ว่าช่องโพรงทั้งสองจะถูกชดเชยเติมเต็มอย่างรวดเร็ว

ทว่าชั่ววินาทีนั้นก็มีเงาร่างหลายเงาพุ่งพรวดเข้ามาในใต้หล้ามืดสลัว จงใจอ้อมผ่านป๋ายอวี้จิง พยายามที่จะหลบซ่อนตัวตน

ลู่เฉินสีหน้าไร้อารมณ์ เพียงแค่ยกนิ้วชี้ไปทางนั้นทีทางนี้ที

เงามืดทั้งหลายเหล่านั้นเผ่นหนีแตกกระเจิงขึ้นไปด้านบน สิ่งศักดิ์สิทธิ์เกราะทองสูงพันจั้งหลายตนปรากฎขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า ซัดให้เงามืดเหล่านั้นแตกกระจายปั่นป่วน

ลู่เฉินกระโดดขึ้นเบาๆ พริบตาเดียวก็มาถึงด้านล่างสุดของป๋ายอวี้จิง

เด็กหนุ่มลอยตัวอยู่กลางอากาศห่างพื้นดินหนึ่งฉื่อ มือเท้าแข็งทื่อ หัวสมองว่างเปล่าไร้ความคิดใด

ลู่เฉินทรุดตัวลงนั่งยอง เอ่ยเนิบช้าว่า “ผู้ปกป้องมรรคาคือสิ่งนอกกาย สถานะลูกศิษย์ของมรรคาจารย์เต๋าก็เป็นสิ่งนอกกาย ความเป็นความตายของตนก็ยังคงเป็นสิ่งนอกกายอยู่ดี”

เด็กหนุ่มที่มีเหงื่อซึมบนหน้าผากพยักหน้ารับเบาๆ

ลู่เฉินจับศีรษะของเด็กหนุ่มแล้วกดลงด้านล่างเบาๆ หนึ่งที ลูกศิษย์คนสุดท้ายของมรรคาจารย์เต๋าตัวเป็นๆ ก็กลายมาเป็นกองเนื้อเละๆ กองหนึ่ง

ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากไม่เคยตายอย่างแท้จริงหนึ่งครั้ง แล้วจะรู้ถึง…เต๋าที่แท้จริงได้อย่างไร?”

นักพรตวัยกลางคนร่างสูงใหญ่คนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายลู่เฉิน เขาโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เก็บเอาจิตวิญญาณทั้งหมดของเด็กหนุ่มมาแล้วก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ้าทำตัวเป็นศิษย์พี่แบบนี้เองหรือ?”

ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรก็ดีกว่าเจ้าในปีนั้นก็แล้วกัน”

นักพรตร่างสูงใหญ่ส่ายหน้า กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ทะยานตัวขึ้นจากพื้นดิน ตรงไปยังจุดที่สูงที่สุดของป๋ายอวี้จิง

ลู่เฉินพลันถูกคนผู้หนึ่งใช้แขนรัดคอ คนที่หน้าตามอมแมมผู้นั้นน่าจะตัวไม่สูง เพราะต้องเขย่งปลายเท้าเล็กน้อย เขายิ้มหน้าเป็นถามเจ้าลัทธิลู่ผู้นี้ด้วยท่าทางสนิทสนมเป็นกันเองอย่างยิ่ง “หมัดเมื่อครู่นี้ของข้าเป็นอย่างไร? องศาพอดีเลยไหม? ลูกศิษย์คนรองของเต๋าเหล่าเอ้อร์ ป่านนี้น่าจะยังเจ็บอยู่เลยกระมัง?”

ลู่เฉินพยักหน้ารับ “มาดยังคงสง่างามดังเดิม”

คนผู้นั้นเพิ่มแรงที่แขน เป็นเหตุให้ร่างของลู่เฉินเอนไปด้านหลังเล็กน้อย คนผู้นั้นหรี่ตาถามว่า “มีบัญชีเก่าค้างอยู่ พวกเราควรมาชำระกันได้แล้วไหม?”

ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ฟ้านอกฟ้า ข้าไม่มีทางไป สู้กันที่นี่ เจ้าไม่มีกระบี่ก็ทำร้ายข้าไม่ได้ อีกอย่างตอนนี้ที่ป๋ายอวี้จิงมีเทพธิดากี่มากน้อยที่กำลังมองมายังพวกเราสองคน?”

คนผู้นั้นถึงได้คลายแขนออก ลู่เฉินจึงปัดชายแขนเสื้อด้วยความรู้สึกระอาใจเล็กน้อย

คนผู้นั้นหันหน้าไปทางจุดสูงของป๋ายอวี้จิง พยายามเบิกตากว้างมองไปให้ไกล แต่แล้วจู่ๆ ก็ก้มหน้าถ่มน้ำลายใส่ฝ่ามือของตัวเอง เอาฝ่ามือสองข้างถูกัน จากนั้นก็ชูมือทั้งสองขึ้นสูง สะบัดมือลูบเส้นผมจากหน้าไปหลังแรงๆ

เขารู้สึกว่าหากเวลานี้มีกระจกสักบานอยู่ในมือ กระจกคงต้องแตกคาที่เลยกระมัง

เขากระแอมให้ลำคอชุ่มชื้นอยู่สองสามที กำลังจะอ้าปากพูด

ลู่เฉินกลับเอ่ยขึ้นอย่างระอาใจว่า “ไม่ต้องแนะนำตัวเองแล้ว คนทั้งบนและล่างป๋ายอวี้จิงต่างก็รู้ว่าเจ้าชื่ออาเหลียง”

คนผู้นั้นยังคงแนะนำตัวเองแก่เหล่าเทพธิดาในป๋ายอวี้จิงอย่างเอาจริงเอาจัง “เหลียงที่แปลว่าดีงาม”

ลู่เฉินยิ้มถาม “ในเมื่อยืนกรานว่าตัวเองคือมือกระบี่คนหนึ่ง แล้วกระบี่ของเจ้าล่ะ?”

คนผู้นั้นย้อนถาม “มือกระบี่จะต้องมีกระบี่เสมอไปหรือ?”

เขาถามเองตอบเอง “ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก”

ลู่เฉินพยักหน้ารับ “จุดใดในฟ้าดินที่มีกลิ่นอายของความองอาจกล้าหาญ ที่นั่นก็คือจุดที่จะออกกระบี่ได้อย่างสาแก่ใจ หากทำสำเร็จจะต้องยิ่งใหญ่ตระการตาอย่างมากแน่นอน”

ชายฉกรรจ์ที่ตัวไม่สูง ส่วนหน้าตาก็…งั้นๆ กระทืบเท้าทะยานตัวขึ้นสูงเช่นกัน ไม่ได้ตรงไปหาเต๋าเหล่าเอ้อร์ แต่ใช้หมัดต่อยม่านฟ้าให้เปิดอ้าแล้วย้อนกลับไปยังฟ้านอกฟ้าอีกครั้ง

ลู่เฉินยืนสองมือไพล่หลัง แหงนหน้ามองไป เป็นนานก็ยังไม่ถอนสายตากลับคืนมา

มักจะมีคนประเภทหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรูก็ล้วนทำให้ผู้อื่นเกิดความเลื่อมใสได้เสมอ

ข้อนี้ อาเหลียงผู้นี้ อันที่จริงทำได้ดียิ่งกว่าตนและฉีจิ้งชุนเสียอีก

ลู่เฉินพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ยิ้มอย่างชอบใจ

บางทีฮูหยินภูเขาชิงเสินของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ผู้นั้นอาจจะไม่ได้คิดแบบนี้กระมัง

……

ถ้ำสถิตของปี้สู่เหนียงเนียงสร้างขึ้นบนสถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าภูเขาโปลั่ว ตัวภูเขาไม่สูงมากนัก ไม่ถือว่าเป็นสถานที่ที่ฮวงจุ้ยดีอะไรนัก

เดิมทีนางก็เป็นหนึ่งในกองกำลังที่อ่อนแอที่สุดของหกอริยะ เพียงแต่ว่าไม่รู้ทำไม ภูเขาโปลั่วถึงได้ตั้งตระหง่านไม่ล้มลงอยู่ในหุบเขาผีร้าย

ทั้งสองฝ่ายเงียบงันไปพร้อมกันราวกับนัดหมายกันมา

บัณฑิตน่าจะกริ่งเกรงว่ากระบี่เล่มนั้นของเซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้จะเร็วกว่าวิชาหลบหนีเฉพาะตนของตัวเองหรือไม่?

ส่วนเฉินผิงอันก็กลัวว่าเขาจะเผ่นหนีได้เร็วเกิน อยู่ดีๆ จะหนีหายไปทั้งอย่างนี้ แล้วบัญชีนี้จะคิดคำนวณกันอย่างไร?

ส่วนเรื่องที่จะถูกไอ้หมอนี่ป้ายสีใส่ อันที่จริงเขาไม่ได้คิดอะไรมาก ต่อจากนี้จะเกิดปัญหาอะไรขึ้นเขาก็พร้อมรับ เดิมทีก็มาที่นี่เพื่อฝึกประสบการณ์อยู่แล้ว หากมีชีวิตสงบสุขเกินไป กลับกลายเป็นว่าจะทำให้เฉินผิงอันไม่คุ้นชิน หากไม่ได้จริงๆ ก็จะใช้ยันต์ย่อพื้นที่สีทองแผ่นนั้นร่วมกับเจี้ยนเซียน ออกไปจากหุบเขาผีร้ายก่อนชั่วคราว รอให้รู้รากฐานของอีกฝ่ายคร่าวๆ เสียก่อนแล้วค่อยกลับเข้ามาในหุบเขาผีร้ายอีกครั้ง ใช้วิธีการโง่เง่าเหมือนการเฉือนเนื้อด้วยมีดทื่อ ค่อยๆ ขัดเกลากันไป ดูว่าใครจะอดทนได้ดีกว่ากัน สู้ไม่ได้ก็ค่อยหนี หนีแล้วก็ค่อยกลับมาใหม่

เฉินผิงอันกับบัณฑิตขยับปากแทบจะพร้อมกัน แต่ก็หุบปากลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายอีกครั้ง

บัณฑิตเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก “เจ้าพูดมาก่อน เซียนกระบี่นี่นะ ข้าเคารพนับถือมากที่สุดในชีวิตแล้ว”

เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าพูดก่อน ยังคงเป็นบัณฑิตอย่างพวกเจ้าที่สูงศักดิ์ล้ำค่ามากกว่า”

บัณฑิตทำสีหน้าแปลกใจ “พวกเราสองคนจะเสียเวลากันอยู่อย่างนี้หรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ขอแค่เจ้าสบายใจก็พอ”

บัณฑิตได้แต่มองดูเจ้าหมอนั่นเรียกกระบี่ยาวอีกเล่มหนึ่งมาเพิ่มในมือ เขานั่งแปะลงกับพื้น โบกชายแขนเสื้อสองข้าง เลือดสดเหล่านั้นก็มารวมตัวกันกลายเป็นลูกกลมๆ ลูกหนึ่งที่หมุนกลิ้งช้าๆ ไปรอบกายเขา จากนั้นเขาก็ถามหยั่งเชิงว่า “ในเมื่อเจ้ายึดในหลักคุณธรรมของยุทธภพ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะยึดหลักปรองดองก่อให้เกิดเงินทองแล้วกัน?”

เฉินผิงอันถาม “ก่อให้เกิดเงินทองด้วยวิธีใด?”

บัณฑิตชี้ไปนอกกำแพงสูง พูดด้วยท่าทางผ่าเผยน่าเลื่อมใส “ที่นี่ยังมีปีศาจอีกห้าตนไม่ใช่หรือ ไม่เหมือนกับปี้สู่เหนียงเนียงที่ยากจนข้นแค้นผู้นี้ แต่ละตนที่เหลือล้วนมีรากฐานทรัพย์สมบัติมหาศาล พวกเรามาเป็นพี่น้องที่ร่วมแรงร่วมใจกัน ก่อให้เกิดพลังยิ่งใหญ่ ร่วมกันกำจัดภัยร้ายเพื่อปวงประชา!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ดี”

บัณฑิตพลันสบถด่าเสียงดัง “ดีกับท่านปู่เจ้าเถอะ เจ้าเก็บซ่อนปราณสังหารไว้ได้ดี แต่กระบี่เล่มนั้นของเจ้าขาดก็แค่ไม่มีปากเท่านั้น เห็นชัดๆ ว่ามันตะโกนว่าจะตีจะฆ่าข้าผู้อาวุโสแล้ว!”

เฉินผิงอันหรี่ตาลง

บัณฑิตลุกขึ้นยืนช้าๆ สีหน้าเฉยชา

แม้เขาจะเพิ่งเคยได้พบจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่เรื่องราวแพร่ระบือไปทั่วทั้งทิศใต้ของหุบเขาผีร้ายผู้นี้เป็นครั้งแรก

ดังนั้นจึงไม่รู้เลยว่า เฉินผิงอันในเวลานี้จะทำให้ทุกคนที่สนิทคุ้นเคยกับเขา ไม่ว่ามิตรหรือศัตรูก็ล้วนรู้สึกเหมือนว่าเขาได้กลายเป็นคนแปลกหน้า

แต่บัณฑิตกลับรู้เรื่องหนึ่ง

ไอ้หมอนี่มีจิตสังหารที่เข้มข้นอย่างยิ่ง

ถึงขั้นข่มทับปราณกระบี่ของกระบี่เล่มนั้นได้!

บัณฑิตรู้สึกว่าก็ดีเหมือนกัน ไม่สู้เข่นฆ่าสังหารกันให้เต็มคราบดูสักครั้ง!

ฆ่าคนชิงสมบัติ แสวงหาความร่ำรวยท่ามกลางความเสี่ยง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขามีโชคด้านการเสี่ยงโชคดีเยี่ยมมากเป็นพิเศษ ไม่เคยแพ้เลยสักครั้ง!

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง โคลงศีรษะ จากนั้นก็ยกมือขึ้นตบที่หน้าอก ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ขอโทษที ข้าเมากลิ่นเลือดน่ะ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!