แล้วก็จริงดังคาด เขาเหมือนถูกฝ่ามือข้างหนึ่งกระชากคอเสื้อด้านหลังแล้วโยนไปทางทะเลเมฆที่อยู่นอกป๋ายอวี้จิงโดยตรง ไม่เพียงเท่านี้ ยังถูกศิษย์พี่เล็กผู้นั้นกักปราณวิญญาณทั้งหมดเอาไว้ด้วย
เซียนหลายท่านรีบบินออกมาจากจุดต่างๆ ของป๋ายอวี้จิง พยามยามพุ่งเข้าไปรับร่างอาจารย์อาน้อยคนใหม่ที่ตำแหน่งสถานะสูงศักดิ์ผู้นี้
ลู่เฉินยกฝ่ามือไล่ตบเซียนทั้งหลายให้ปลิวกระเด็นไปทีละคน
เด็กหนุ่มร่วงดิ่งลงพื้นอย่างรวดเร็ว
ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งที่รับหน้าที่เป็นผู้ปกป้องมรรคาให้เด็กหนุ่มชั่วคราวกัดฟัน กำลังจะแข็งใจบินออกไปช่วยคน เขาจะปล่อยให้เด็กหนุ่มร่วงตกลงพื้นได้คาตาจริงๆ หรือไร?
หากพูดถึงแค่เรือนกายที่มีเนื้อหนังมังสา ต่อให้เป็นขอบเขตหยกดิบ ตกลงไปก็ต้องกลายเป็นเนื้อเละๆ กองหนึ่ง
ทะเลเมฆเหล่านั้นไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป
มรรคาจารย์เต๋าย่อมสามารถช่วยลูกศิษย์คนสุดท้ายผู้นี้ได้อยู่แล้ว เจ้าลัทธิลู่เองก็ช่วยได้ แต่หากเป็นเช่นนั้นผู้ปกป้องมรรคาอย่างเขาจะไม่กลายไปเป็นตัวตลกของคนทั้งใต้หล้าหรอกหรือ?
ลู่เฉินชำเลืองตามองขอบเขตบินทะยานผู้นั้นด้วยสายตาเย็นชา
จิตแห่งเต๋าของอีกฝ่ายแหลกสลายทันควัน เขารีบยืนกุมมือ รักษาจิตวิญญาณให้มั่นคง
และในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังจะร่วงลงสู่พื้นนั้นเอง ตรงม่านฟ้าก็มีช่องโพรงขนาดใหญ่สองช่องถูกแหวกออกแทบจะเวลาเดียวกัน พลังอำนาจนั้นน่าตะลึงพรึงเพริดเป็นอย่างยิ่ง
จากนั้นก็มีสายรุ้งสองเส้นพุ่งมาทางป๋ายอวี้จิงแห่งนี้
แม้ว่าช่องโพรงทั้งสองจะถูกชดเชยเติมเต็มอย่างรวดเร็ว
ทว่าชั่ววินาทีนั้นก็มีเงาร่างหลายเงาพุ่งพรวดเข้ามาในใต้หล้ามืดสลัว จงใจอ้อมผ่านป๋ายอวี้จิง พยายามที่จะหลบซ่อนตัวตน
ลู่เฉินสีหน้าไร้อารมณ์ เพียงแค่ยกนิ้วชี้ไปทางนั้นทีทางนี้ที
เงามืดทั้งหลายเหล่านั้นเผ่นหนีแตกกระเจิงขึ้นไปด้านบน สิ่งศักดิ์สิทธิ์เกราะทองสูงพันจั้งหลายตนปรากฎขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า ซัดให้เงามืดเหล่านั้นแตกกระจายปั่นป่วน
ลู่เฉินกระโดดขึ้นเบาๆ พริบตาเดียวก็มาถึงด้านล่างสุดของป๋ายอวี้จิง
เด็กหนุ่มลอยตัวอยู่กลางอากาศห่างพื้นดินหนึ่งฉื่อ มือเท้าแข็งทื่อ หัวสมองว่างเปล่าไร้ความคิดใด
ลู่เฉินทรุดตัวลงนั่งยอง เอ่ยเนิบช้าว่า “ผู้ปกป้องมรรคาคือสิ่งนอกกาย สถานะลูกศิษย์ของมรรคาจารย์เต๋าก็เป็นสิ่งนอกกาย ความเป็นความตายของตนก็ยังคงเป็นสิ่งนอกกายอยู่ดี”
เด็กหนุ่มที่มีเหงื่อซึมบนหน้าผากพยักหน้ารับเบาๆ
ลู่เฉินจับศีรษะของเด็กหนุ่มแล้วกดลงด้านล่างเบาๆ หนึ่งที ลูกศิษย์คนสุดท้ายของมรรคาจารย์เต๋าตัวเป็นๆ ก็กลายมาเป็นกองเนื้อเละๆ กองหนึ่ง
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากไม่เคยตายอย่างแท้จริงหนึ่งครั้ง แล้วจะรู้ถึง…เต๋าที่แท้จริงได้อย่างไร?”
นักพรตวัยกลางคนร่างสูงใหญ่คนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายลู่เฉิน เขาโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เก็บเอาจิตวิญญาณทั้งหมดของเด็กหนุ่มมาแล้วก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ้าทำตัวเป็นศิษย์พี่แบบนี้เองหรือ?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรก็ดีกว่าเจ้าในปีนั้นก็แล้วกัน”
นักพรตร่างสูงใหญ่ส่ายหน้า กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ทะยานตัวขึ้นจากพื้นดิน ตรงไปยังจุดที่สูงที่สุดของป๋ายอวี้จิง
ลู่เฉินพลันถูกคนผู้หนึ่งใช้แขนรัดคอ คนที่หน้าตามอมแมมผู้นั้นน่าจะตัวไม่สูง เพราะต้องเขย่งปลายเท้าเล็กน้อย เขายิ้มหน้าเป็นถามเจ้าลัทธิลู่ผู้นี้ด้วยท่าทางสนิทสนมเป็นกันเองอย่างยิ่ง “หมัดเมื่อครู่นี้ของข้าเป็นอย่างไร? องศาพอดีเลยไหม? ลูกศิษย์คนรองของเต๋าเหล่าเอ้อร์ ป่านนี้น่าจะยังเจ็บอยู่เลยกระมัง?”
ลู่เฉินพยักหน้ารับ “มาดยังคงสง่างามดังเดิม”
คนผู้นั้นเพิ่มแรงที่แขน เป็นเหตุให้ร่างของลู่เฉินเอนไปด้านหลังเล็กน้อย คนผู้นั้นหรี่ตาถามว่า “มีบัญชีเก่าค้างอยู่ พวกเราควรมาชำระกันได้แล้วไหม?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ฟ้านอกฟ้า ข้าไม่มีทางไป สู้กันที่นี่ เจ้าไม่มีกระบี่ก็ทำร้ายข้าไม่ได้ อีกอย่างตอนนี้ที่ป๋ายอวี้จิงมีเทพธิดากี่มากน้อยที่กำลังมองมายังพวกเราสองคน?”
คนผู้นั้นถึงได้คลายแขนออก ลู่เฉินจึงปัดชายแขนเสื้อด้วยความรู้สึกระอาใจเล็กน้อย
คนผู้นั้นหันหน้าไปทางจุดสูงของป๋ายอวี้จิง พยายามเบิกตากว้างมองไปให้ไกล แต่แล้วจู่ๆ ก็ก้มหน้าถ่มน้ำลายใส่ฝ่ามือของตัวเอง เอาฝ่ามือสองข้างถูกัน จากนั้นก็ชูมือทั้งสองขึ้นสูง สะบัดมือลูบเส้นผมจากหน้าไปหลังแรงๆ
เขารู้สึกว่าหากเวลานี้มีกระจกสักบานอยู่ในมือ กระจกคงต้องแตกคาที่เลยกระมัง
เขากระแอมให้ลำคอชุ่มชื้นอยู่สองสามที กำลังจะอ้าปากพูด
ลู่เฉินกลับเอ่ยขึ้นอย่างระอาใจว่า “ไม่ต้องแนะนำตัวเองแล้ว คนทั้งบนและล่างป๋ายอวี้จิงต่างก็รู้ว่าเจ้าชื่ออาเหลียง”
คนผู้นั้นยังคงแนะนำตัวเองแก่เหล่าเทพธิดาในป๋ายอวี้จิงอย่างเอาจริงเอาจัง “เหลียงที่แปลว่าดีงาม”
ลู่เฉินยิ้มถาม “ในเมื่อยืนกรานว่าตัวเองคือมือกระบี่คนหนึ่ง แล้วกระบี่ของเจ้าล่ะ?”
คนผู้นั้นย้อนถาม “มือกระบี่จะต้องมีกระบี่เสมอไปหรือ?”
เขาถามเองตอบเอง “ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก”
ลู่เฉินพยักหน้ารับ “จุดใดในฟ้าดินที่มีกลิ่นอายของความองอาจกล้าหาญ ที่นั่นก็คือจุดที่จะออกกระบี่ได้อย่างสาแก่ใจ หากทำสำเร็จจะต้องยิ่งใหญ่ตระการตาอย่างมากแน่นอน”
ชายฉกรรจ์ที่ตัวไม่สูง ส่วนหน้าตาก็…งั้นๆ กระทืบเท้าทะยานตัวขึ้นสูงเช่นกัน ไม่ได้ตรงไปหาเต๋าเหล่าเอ้อร์ แต่ใช้หมัดต่อยม่านฟ้าให้เปิดอ้าแล้วย้อนกลับไปยังฟ้านอกฟ้าอีกครั้ง
ลู่เฉินยืนสองมือไพล่หลัง แหงนหน้ามองไป เป็นนานก็ยังไม่ถอนสายตากลับคืนมา
มักจะมีคนประเภทหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรูก็ล้วนทำให้ผู้อื่นเกิดความเลื่อมใสได้เสมอ
ข้อนี้ อาเหลียงผู้นี้ อันที่จริงทำได้ดียิ่งกว่าตนและฉีจิ้งชุนเสียอีก
ลู่เฉินพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ยิ้มอย่างชอบใจ
บางทีฮูหยินภูเขาชิงเสินของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ผู้นั้นอาจจะไม่ได้คิดแบบนี้กระมัง
……
ถ้ำสถิตของปี้สู่เหนียงเนียงสร้างขึ้นบนสถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าภูเขาโปลั่ว ตัวภูเขาไม่สูงมากนัก ไม่ถือว่าเป็นสถานที่ที่ฮวงจุ้ยดีอะไรนัก
เดิมทีนางก็เป็นหนึ่งในกองกำลังที่อ่อนแอที่สุดของหกอริยะ เพียงแต่ว่าไม่รู้ทำไม ภูเขาโปลั่วถึงได้ตั้งตระหง่านไม่ล้มลงอยู่ในหุบเขาผีร้าย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!