ร่างของเฉินผิงอันหยุดชะงักกะทันหัน
บัณฑิตพลันทอดถอนใจ “ดีนักน่ะ เล่นงานเด็กแล้ว ก็มาเจอคนแก่ พอเล่นงานคนแก่ ก็มาเจอคนที่แก่ยิ่งกว่า พี่ชายคนดี ทีนี้จะเอาอย่างไร? คราวนี้ล่ะเป็นปัญหายุ่งยากจริงๆ แล้ว”
ภิกษุเฒ่าร่างผอมแห้งราวกับท่อนฟืนมาปรากฎตัวอยู่ข้างกายตะพาบเฒ่า
เมื่อเทียบกับตะพาบเฒ่าที่ตัวใหญ่โตราวขุนเขาแล้ว ก็สามารถมองข้ามร่างของภิกษุเฒ่าไปได้เลย
แต่เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของเฉินผิงอัน ภาพบรรยากาศที่แผ่มาจากร่างของภิกษุเฒ่ากลับยิ่งใหญ่สูงตระหง่าน ตะพาบเฒ่าต่างหากที่เล็กจ้อยดุจเมล็ดงา
ภิกษุเฒ่ายกสองมือขึ้นพนม ท่องภาษาพระธรรมหนึ่งประโยคแล้วก็ถามว่า “ประสกทั้งสองท่านจะปล่อยให้ข้านำตะพาบตัวนี้กลับไปที่วัดหยวนเยว่ใหญ่ได้หรือไม่?”
บัณฑิตยิ้มกล่าว “ข้ายังไงก็ได้ ต้องฟังพี่ชายท่านนี้ ต้องให้เขาตกลงเท่านั้น”
ตะพาบเฒ่าเอ่ยปากวิงวอน “หลวงพ่อช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย ข้าผิดไปแล้ว วันหน้าจะต้องสงบใจฝึกพระธรรมอยู่ในวัด พันปีหมื่นปีก็ไม่กล้าออกมาโดยพลการอีกแน่นอน”
ภิกษุเฒ่ามองมาทางเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเองก็ทำเพียงแค่มองประสานสายตากับภิกษุเฒ่า ถามว่า “สำนึกผิดหรือไม่ ข้าไม่สนใจ ข้าแค่อยากจะแน่ใจว่าตะพาบเฒ่าตัวนี้จะสามารถชดเชยแก้ไขความผิดบาปที่ทำมาตลอดหลายปีนี้ได้”
ตะพาบเฒ่าอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับพบว่าตนไม่อาจส่งเสียงได้เลย
ภิกษุเฒ่าพนมมืออยู่ตลอดเวลา พยักหน้าเอ่ยว่า “อาตมาสามารถรับรองแทนได้ว่าการฝึกตนของตะพาบเฒ่าหลังจากนี้จะเป็นการชดเชยแก้ไขความผิด จะกระทำแต่เรื่องดี สร้างบุญกุศล มีแต่จะเป็นประโยชน์ต่อฟ้าดินแห่งนี้ยิ่งกว่าการสังหารมันให้จบเรื่องตั้งแต่ตอนนี้”
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรอีก
ภิกษุเฒ่าคลี่ยิ้ม ผงกศีรษะ จากนั้นก็มองไปยังฝั่งตรงข้าม ท่องคาถาธรรมประโยคว่ากลับใจคือฝากฝั่งเบาๆ
เมื่อภิกษุเฒ่าที่ร่างกายเล็กเตี้ยแต่กลับสวมจีวรตัวหนาใหญ่ผู้นี้หมุนตัวกลับ ทั้งร่างของตะพาบเฒ่าและเขาต่างก็ไม่อยู่แล้ว
ส่วนบัณฑิตก็ควบคุมให้ตราประทับทองแดงที่เมื่อไม่มี ‘พื้นที่ให้หยัดยืน’ จึงร่วงตกลงเบื้องล่างกลับมา
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม จมอยู่ในภวังค์ความคิด
บัณฑิตยิ้มกล่าว “พี่ชายคนดี เจ้าช่างใจกล้ายิ่งนัก รู้รากฐานของภิกษุสมณะสูงผู้นี้หรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้ ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ไม่ได้มีบันทึกไว้ และข้าเองก็ตอนที่ผ่านป่าท้อแถบนั้นถึงจะเพิ่งรู้ว่าหุบเขาผีร้ายมีวัดหยวนเยว่ใหญ่อยู่ด้วย
บัณฑิตใช้มือสองข้างนวดคลึงซีกแก้ม กล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “หากในบันทึกลับของหน่วยฉงเสวียนเขียนไว้ไม่ผิด ภิกษุเฒ่าผู้นี้ก็คืออันดับที่สองของอรหันต์ร่างทอง และอันที่หนึ่งของไม่สั่นคลอนดุจขุนเขาในอุตรกุรุทวีปเรา ภิกษุเฒ่ายืนนิ่งไม่หลบไม่เลี่ยง ต่อให้เจ้าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่ใช้กระบี่แห่งชะตาชีวิตแทงเขาเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป ก็ต้องเจอจุดจบที่ภิกษุไม่ตาย กระบี่หักก่อนอยู่ดี หากเปลี่ยนมาเป็นข้าคงไม่กล้าต่อรองกับภิกษุเฒ่าเช่นนี้ เขาปรากฏตัว ข้าก็เตรียมพร้อมไว้แล้วว่าจะยกตะพาบเฒ่าให้แต่โดยดี แต่โชคในการเดิมพันของพี่ชายคนดีไม่แย่เลยจริงๆ ภิกษุเฒ่าถึงขั้นไม่โกรธ กลับกันยังหัวเราะ นี่ก็ถือว่าพวกเราสองพี่น้องไม่ได้ผูกปมแค้นกับวัดหยวนเยว่ใหญ่เพราะสาเหตุนี้”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “สามารถบรรลุผลเช่นนี้ ก็ควรจะมีใจเช่นนี้”
บัณฑิตให้รู้สึกปวดหัว ร้องโอ้โหแหะหนึ่งที “พี่ชายคนดีอย่าได้พูดเรื่องพวกนี้เลย ข้าคือลูกศิษย์ของลัทธิเต๋า ทนฟังเรื่องพวกนี้ไม่ได้ที่สุดแล้ว”
เฉินผิงอันพลันกระอักเลือดหนึ่งคำ เดินไปบนผิวน้ำแข็งที่เมื่อไม่มีวิชาของตะพาบเฒ่าประคับประคองก็เริ่มเกิดลางว่าจะละลาย แล้วนั่งขัดสมาธิ หยิบน้ำแข็งก้อนหนึ่งขึ้นมาถูไปบนใบหน้าลวกๆ
ยังคงมีเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด
เฉินผิงอันเหม่อลอย แต่บนใบหน้ากลับมีรอยยิ้ม
บัณฑิตนั่งยองอยู่ห่างไปไม่ไกล เบิกตากว้าง ถามเสียงเบา “พี่ชายคนดี อยู่ในสภาพที่จิตวิญญาณสั่นสะเทือน เส้นเอ็นและกระดูกโยกคลอนอย่างนี้ก็ยังไม่รู้สึกเจ็บสักนิดเลยหรือ?”
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก ทอดสายตามองไปไกล “หากข้าบอกว่าแค่คันๆ เจ้าจะเชื่อไหม?”
บัณฑิตพยักหน้ารับอย่างแรง “เชื่อ!”
ทว่าในใจกลับนินทาไม่หยุด ข้าเชื่อเจ้ากะผีน่ะสิ
บัณฑิตเริ่มนับเวลาอยู่เงียบๆ อยากรู้ว่าเลือดสดบนใบหน้าของเจ้าหมอนี่จะหยุดไหลเมื่อไหร่
เฉินผิงอันหันหน้ามาถาม “ฟู่ไห่หยวนจวินผู้นั้นล่ะ?”
บัณฑิตยิ้มกล่าว “ถูกข้ากักตัวไว้บนเชือกกักปีศาจ เรียกเมื่อไหร่ก็มาหาได้ทันที”
เฉินผิงอันมีสีหน้าประหลาด
บัณฑิตยิ้มตาหยี “จะให้พี่ชายคนดีมีเชือกพันธนาการปีศาจได้คนเดียว ไม่อนุญาตให้ข้าหยางมู่เม่ามีเชือกกักปีศาจบ้างเลยหรือ?”
บัณฑิตยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา บนมือมีก็มีเชือกสีขาวหิมะเส้นหนึ่งลอยขึ้น เขาสะบัดเบาๆ สตรีร่างกำยำก็ถูกกระชากออกมาจากเบื้องใต้ผิวน้ำของลำคลองที่กลายเป็นน้ำแข็งซึ่งอยู่ห่างไปไกล จากนั้นก็เหมือนถูกคนจิกหัวกระชากผมแล้วพาวิ่งตะบึงมา เวลาเพียงแค่ไม่กี่พริบตาก็ถูกบัณฑิตกระชากมาไว้ที่ข้างฝ่าเท้า
เฉินผิงอันหนังตากระตุกเบาๆ
บนร่างของไอ้หมอนี่มีสมบัติอาคมที่เป็น ‘สมบัติก้นกรุ’ กี่ชิ้นกันแน่?
บัณฑิตถาม “จะจัดการนางอย่างไร? พี่ชายคนดีเจ้าบอกมาได้เลย ข้าพร้อมจะปฏิบัติตาม!”
เฉินผิงอันกล่าว “ขอแค่นางยินดีเปิดถ้ำสถิตด้วยตัวเองก็สามารถมีชีวิตรอดได้”
บัณฑิตพยักหน้า หันไปยิ้มพูดกับตะพาบน้อยตัวนั้น “ได้ยินแล้วหรือยัง?”
แต่สตรีกลับทำท่าทางที่ประหลาดอย่างมาก นางมองเฉินผิงอันแวบหนึ่ง แล้วถึงได้หันมามองบัณฑิต “ข้าต้องการให้เจ้าเอ่ยคำสาบานที่รุนแรงเสียก่อน ข้าถึงจะไปเปิดประตู”
บัณฑิตหัวเราะร่าไม่หยุด เขาชูนิ้วขึ้น เก็บเสียงหัวเราะ กระแอมสองสามทีแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ได้ๆๆ ข้าหยางมู่เม่าขอสาบานต่อสวรรค์ว่า…”
แต่แล้วจู่ๆ สตรีก็แผดเสียงร้องไห้ดังลั่น “ข้ารู้ว่าตัวเองต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเจ้ามันคนโกหก! คนหลอกลวง!”
เฉินผิงอันหรี่ตาลง
บัณฑิตหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่จู่ๆ ก็คลี่ยิ้ม “ช่างเถิด ปล่อยนางไปเถอะ เก็บชีวิตน้อยๆ นี้ของนางไว้ ข้าย่อมมีหนทางอื่นให้เอาไปใช้งาน ราชวงศ์ต้าหยวนกำลังขาดแม่ย่าลำคลองผู้หนึ่งอยู่พอดี หากข้าแนะนำนางได้สำเร็จก็ถือว่าเป็นคุณความชอบครั้งหนึ่ง เทียบกับการฆ่านางเพื่อสะสมผลบุญแล้วก็คุ้มค่ามากกว่า”
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือออกมา
บัณฑิตหน้านิ่วคิ้วขมวด หยิบหน้ากระดาษที่ห่อโอสถทองซึ่งใกล้จะปริแตกออกมาจากในชายแขนเสื้อ “กระดาษแผ่นนี้มีค่ามากนักล่ะ ไม่อาจยกให้พี่ชายคนดีได้จริงๆ แต่หากเปิดกระดาษออก โอสถทองของขุนพลเทพชื่อเหลยเม็ดนี้ก็จะระเบิดแตกทันที อานุภาพนั้นมหาศาล บางทีอาจเทียบเท่ากับการโจมตีครั้งหนึ่งของก่อกำเนิดเลยทีเดียว นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว พวกเราสองพี่น้องอยู่ใกล้ขนาดนี้อาจต้องเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบแทน”
เฉินผิงอันกล่าว “ผลเก็บเกี่ยวในถ้ำสถิต เปลี่ยนจากสามต่อเจ็ดมาเป็นห้าต่อห้า ส่วนหนึ่งคือที่ข้าช่วยเจ้าต้านรับหายนะนี้ อีกส่วนหนึ่งก็คือทดแทนโอสถทองที่ปริแตกเม็ดนี้”
บัณฑิตลังเลอยู่พักใหญ่
เฉินผิงอันกล่าว “สี่ต่อหกส่วน ข้าหกเจ้าสี่ ต่อให้โอสถทองเม็ดนี้จะแตกแล้ว แต่ก็ยังเป็นโอสถทอง…”
บัณฑิตเก็บแผ่นกระดาษและโอสถทองมา ก่อนจะกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “แบ่งกันห้าต่อห้า!”
เฉินผิงอันเอ่ย “ข้าบาดเจ็บหนักเกินไป เดินไม่ไหว เจ้าไปเอาสมบัติมาเถอะ”
บัณฑิตร้องอ้อหนึ่งที ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เอ๊ะ? ทำไมพี่ชายคนดีถึงไม่เมาเลือดแล้วเล่า?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เลือดของตัวเอง ไม่เมาหรอก”
บัณฑิตพูดขอความดีความชอบ “รู้ว่าพี่ชายคนดีคือวีรบุรุษที่ต่อให้ห่านบินผ่านก็ยังไม่ลืมจะจับมาถอนขน (เปรียบเปรยถึงคนที่ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสในการช่วงชิงผลประโยชน์ใดๆ หลุดไปจากมือ) ข้าก็เลยไม่แยกแยะว่าเป็นของดีเลว ขอแค่พอจะมีราคาอยู่บ้างก็ล้วนเอากลับมาด้วยทั้งหมด ในนั้นมีสมบัติอาคมหนึ่งชิ้น วัตถุวิเศษสิบสองชิ้น ส่วนเงินเทพเซียน ข้าไม่ได้โกหกจริงๆ ล้วนอยู่ที่โพรงของตะพาบเฒ่าทั้งหมด ตะพาบน้อยที่ได้เป็นเจ้าแม่เทพวารีอย่างสมเหตุสมผลผู้นี้ยากจนจนทำให้คนโมโหขนตั้งชัน ทั้งหมดที่ข้ารวบรวมมาได้ก็มีแค่เงินเกล็ดหิมะหนึ่งหมื่นแปดพันเหรียญเท่านั้น พี่ชายคนดี ข้าตั้งใจมากแล้วจริงๆ เจ้าไม่รู้อะไร อีกนิดเดียวข้าก็เกือบจะรื้อถอนฉากกั้นคู่ใหญ่นั้นออกมาด้วยแล้ว ทำเอาสตรีผู้นั้นจ้องมองจนตาแทบถลน”
บัณฑิตชี้ไปยังปิ่นปักผมหยกมรกตที่ส่องแสงแวววาวชิ้นหนึ่ง “นี่ก็คือสมบัติอาคมเพียงหนึ่งเดียวที่มี เมื่อผู้ฝึกตนปักไว้บนมวยผม จะทั้งสามารถหลบเลี่ยงน้ำ แล้วก็สามารถป้องกันความหนาว แต่ค่อนข้างจะฉูดฉาดไปสักหน่อย ระดับขั้นของมันในกลุ่มของสมบัติอาคมไม่สูงนัก แต่หากฝึกวิชาน้ำ วัตถุชิ้นนี้ก็พอจะถือว่าไม่เลว วัตถุวิเศษชิ้นอื่นๆ ข้าคงไม่ไล่แนะนำไปทีละอย่างแล้ว ราคาของพวกมันไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่ ถึงอย่างไรหากแบ่งกันคนละครึ่งก็ได้กันคนละหกชิ้นพอดี พี่ชายคนดีเจ้าเลือกก่อนก็แล้วกัน ส่วนปิ่นชิ้นนี้ กับเงินเกล็ดหิมะกองนั้นที่ข้าไม่ได้เอาออกมา ก็ให้พี่ชายคนดีเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนอีกเหมือนกัน ส่วนของกระจุกกระจิกอย่างอื่นที่เหลือก็ล้วนยกให้พี่ชายคนดี”
เฉินผิงอันม้วนชายแขนเสื้อกวาดเอาวัตถุกองใหญ่ที่ไม่มีค่าที่สุดในสายตาของบัณฑิตเก็บไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อทั้งหมดก่อน
จากนั้นก็โน้มตัวมาด้านหน้า เลือกวัตถุวิเศษสิบสองชิ้นอย่างพิถีพิถัน
สุดท้ายเลือกออกมาหกชิ้นแล้วเก็บไป
เฉินผิงอันกล่าว “ปิ่นเป็นของเจ้า ข้าต้องการเงินเกล็ดหิมะ”
ดูเหมือนบัณฑิตจะกังขาเล็กน้อย แต่ก็ยังยกชายแขนเสื้อขึ้น เงินเกล็ดหิมะก็ร่วงหล่นลงบนพื้นราวกับสายฝน
ส่วนเฉินผิงอันก็โบกชายแขนเสื้อเก็บเอาเงินเกล็ดหิมะทั้งหมดไปราวกับมังกรสูบน้ำ
หลังจากบัณฑิตเก็บปิ่นหยกสีเขียวมรกตชิ้นนั้นไปแล้วก็เอามือทั้งสองข้างวางไว้บนหัวเข่า “หลังจากนี้จะเอายังไงต่อ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พี่มู่เม่า ข้าปฏิบัติต่อเจ้าด้วยความจริงใจ แต่เจ้ากลับใช้ปิ่นที่ผ่านการเล่นตุกติกมาแล้วมาหยั่งเชิงข้า เจ้าว่าควรจะเอายังไงดีล่ะ?”
บัณฑิตพูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ในเมื่อจะใส่ความ ไยต้องกลัวที่จะหาข้ออ้าง พี่ชายคนดี แบบนี้คงไม่ค่อยดีกระมัง? เจ้าและข้าต่างก็เป็นวิญญูชนผู้เที่ยงตรงอันดับหนึ่ง อย่าได้เลียนแบบพวกผู้ฝึกตนอิสระที่พอแบ่งทรัพย์สินกันได้ไม่เท่าเทียมก็แตกหักกลายเป็นศัตรูกันเลย”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าเอาปิ่นวางไว้บนพื้น ข้าจะใช้กระบี่ฟันหนึ่งที แค่ลองก็จะรู้เอง”
บัณฑิตถาม “หากพี่ชายคนดีใส่ร้ายข้า แล้วยังจะทำลายปิ่นปักผมของข้า ไม่ใช่ว่าข้าจะต้องเสียใจ อีกทั้งยังต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทองอย่างนั้นหรือ? แล้วควรจะทำอย่างไรกันดี?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “หากข้าเข้าใจเจ้าผิด ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะมอบวัตถุวิเศษหกชิ้นเป็นของชดใช้”
สีหน้าของบัณฑิตเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างเอาแน่เอานอนไม่ได้
บัณฑิตจ้องมองเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา จากนั้นก็เอาปิ่นวางไว้บนพื้นระหว่างคนทั้งสองเบาๆ
เฉินผิงอันหยุดนิ้วที่เคาะลง
กระบี่บินชูอีพลันพุ่งพรวดออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
บัณฑิตเอ่ยขึ้นกะทันหันว่า “รอเดี๋ยว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เอาอย่างไร? จะเก็บปิ่นหยกไว้ หรือจะมอบวัตถุวิเศษหกชิ้นนั้นมาให้ข้า?”
บัณฑิตหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างมีความสุข สองนิ้วคีบตราประทับทองแดงชิ้นนั้นออกมาแล้วขว้างใส่ปิ่นหยกอย่างแรง ปิ่นหยกพลันหักออกเป็นสองท่อน
ปราณวิญญาณที่เข้มข้นระลอกหนึ่งแผ่กระจายไปทั่วทิศ
จากนั้นประกายแสงของปิ่นหยกก็ค่อยๆ หม่นหมองลง
ไม่เหลือความลี้ลับใดๆ อีก
แรงของปราณวิญญาณที่แผ่กระเพื่อมพัดให้เส้นผมและเสื้อผ้าของคนทั้งสองปลิวสะบัดไม่หยุด
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!