ภูเขาบรรพบุรุษของสำนักพีหมามีชื่อว่ามู่อี ตัวภูเขาสูงตระหง่าน เพียงแต่ว่าไม่มีสิ่งปลูกสร้างที่หรูหราใดๆ แค่ผู้ฝึกตนมาสร้างกระท่อมไว้เท่านั้น เนื่องจากสำนักพีหมามีผู้ฝึกตนอยู่น้อย จึงยิ่งดูเงียบสงบเปลี่ยวเหงา มีเพียงจวนกึ่งกลางภูเขาที่แขวนป้ายคำว่า ‘กายธรรม’ ซึ่งใช้รับรองแขกเท่านั้นที่พอจะถือว่าเป็นสถานที่มีชื่อเสียงของตระกูลเซียนได้
เมื่อสามวันก่อนภูเขามู่อีก็เริ่มปิดไม่ต้อนรับแขก
ไม่เพียงเท่านี้ ซุ้มประตูหินทางเข้าหุบเขาผีร้ายก็เริ่มมีการตรวจตราอย่างเข้มงวด ผู้ที่มาฝึกประสบการณ์ ออกได้ แต่เข้าไม่ได้
จากตลาดด่านไน่เหอมาจนถึงนครปี้ฮว่า แล้วก็มาถึงแถบลำคลองเหยาเย่ รวมไปถึงตลอดทั้งชายหาดโครงกระดูกต่างก็ไม่รู้สึกว่านี่มีอะไรไม่สมเหตุสมผล
เพราะเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลยิ่งกว่านี้พวกเขาก็เคยพบเจอกันมาแล้ว
ก่อนหน้านี้ภาพเทพหญิงขุนนางสวรรค์สามภาพในนครปี้ฮว่าล้วนกลายไปเป็นเพียงภาพเค้าโครงขาวดำในวันเดียวกัน
เมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงใหญ่เทียมฟ้าที่เกิดขึ้นต่อมาแล้ว นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ ในขณะที่ผู้ฝึกตนหลายคนของชายหาดโครงกระดูกยังจมอยู่กับความผิดหวังที่โชควาสนาทั้งสามมีเจ้าของไปแล้ว ผ่านไปได้ไม่นานเท่าไหร่ แต่ละคนก็ได้เห็นภาพสะเทือนขวัญสั่นวิญญาณกับตาตัวเอง กลางดึกของคืนวันหนึ่ง เหนือผืนดินที่กว้างใหญ่ของชายหาดโครงกระดูกมีโครงกระดูกขาวร่างหนึ่งปรากฎขึ้น สูงใหญ่ดุจขุนเขา มันเผยตัวด้วยท่วงท่าของผู้ที่ไร้ศัตรูทัดทาน น่าจะเป็นกายธรรมของเกาเฉิงเจ้านครจิงกวานในหุบเขาผีร้ายผู้นั้นที่ใช้พละกำลังอันป่าเถื่อนแหวกปราการฟ้าดินออกมา กายธรรมโครงกระดูกขาวที่เดิมทีควรหลบซ่อนตัวอยู่ในดินแดนแห่งความมืดอย่างว่าง่าย เมื่อปรากฏตัวเช่นนี้ก็เกิดความขัดแย้งบนมหามรรคากับโลกแห่งแสงสว่าง การเสียดสีระหว่างโครงกระดูกขาวกับชายหาดโครงกระดูกก่อให้เกิดประกายแสงสีที่ระเบิดพร่างพราวดุจดอกไม้ไฟ ขับดันให้กายธรรมโครงกระดูกขาวตนนั้นยิ่งคล้ายเทพแห่งอัคคียุคบรรพกาลที่เยื้องกรายลงมายังโลกมนุษย์
เห็นได้ชัดว่าโครงกระดูกขาวกำลังไล่ฆ่าแสงสีทองเส้นหนึ่งที่พุ่งไปยังศาลบรรพจารย์บนภูเขามู่อีที่อยู่ทางทิศใต้ด้วยความรวดเร็ว แม้ว่าเกาเฉิงจะถูกหนึ่งดาบและหนึ่งกระบี่ในหุบเขาผีร้ายถ่วงเวลาเอาไว้ และคนออกดาบที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ เมื่อเทียบกับโครงกระดูกพันจั้งที่คุมเชิงด้วยแล้วก็เล็กเท่าแค่เมล็ดข้าวสาร แต่ทว่าทุกครั้งที่ออกดาบล้วนหอบเอาพายุและสายฟ้าที่ปั่นป่วนสะท้านสะเทือนมาด้วย ประกายแสงยิ่งเพิ่มพูน โจมตีอยู่ไกลๆ ก็เหมือนกำลังพาดสะพานยาวสายหนึ่งอยู่กลางอากาศ ดูจากภาพบรรยากาศที่ปรากฏนี้แล้วย่อมเป็นจู๋เฉวียนเจ้าสำนักพีหมาอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ว่ายังคงมีหนึ่งกระบี่ที่พลังอำนาจไม่เป็นรองจู๋เฉวียนที่เป็นขอบเขตหยกดิบแม้แต่น้อย ปราณกระบี่ที่พร่างพราวแต่ละเส้นมีต้นกำเนิดมาจากพื้นดิน แสงกระบี่ดุจสายรุ้งที่พุ่งตรงอย่างว่องไว
ไหล่ของกายธรรมกระดูกขาวเอนเอียงคล้ายว่ายังถูกอะไรบางอย่างในหุบเขาผีร้ายดึงรั้งเอาไว้ แต่กระนั้นก็ยังชูฝ่ามือขึ้นสูงแล้วกดลงแรงๆ ทันใดนั้นทะเลเมฆหนาหนักที่มืดทะมึนก็ถูกหอบขึ้นมา เสียงผีโหยหวนคร่ำครวญ ทะเลเมฆก็คล้ายว่าจะมีผีอาฆาตและวิญญาณร้ายที่ตายไปแล้วไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดหลายแสนตนกำลังดิ้นรนอยู่ในห้วงทะเลแห่งทุกข์อย่างทรมาน
ทะเลเมฆกดทับลงไปทางศาลบรรพจารย์ของสำนักพีหมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาของสำนักพีหมาก็ถูกเปิดใช้งาน หุ่นเชิดสวมเกราะพันกว่าตนพุ่งตัวออกมาจากภูเขามู่อี แต่ละตนสูงหลายจั้ง สวมเสื้อเกราะที่ทำจากยันต์ บนร่างมีเส้นแสงสีเงินสีทองไหลวนเวียนไม่หยุด พวกมันพากันพุ่งเข้าหาทะเลเมฆ ทะเลเมฆจึงถูกตัดทอนให้บางเบาลงอย่างต่อเนื่อง แต่กระนั้นก็ยังคงลดระดับลงมาอย่างว่องไว วิญญาณวีรบุรุษสวมเกราะหลายกลุ่มในภูเขามู่อีพากันกรูออกมา สุดท้ายทะเลเมฆก็เปิดฉากเข่นฆ่าสังหารกับหุ่นเชิดวิญญาณวีรบุรุษหลายพันตนที่สำนักพีหมาสร้างขึ้น แล้วก็พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย
เวลาเดียวกันนั้นก็มีแสงเส้นหนึ่งที่ไต่ลงจากศาลบรรพจารย์ภูเขามู่อีลงไปยังด้านล่างภูเขา ประหนึ่งสายฟ้าที่เลื้อยลงไป ไปตัดสลับถักทอกันจนกลายเป็นค่ายกลที่ส่องประกายแสงพร่าตาอยู่ตรงซุ้มประตูหิน จากนั้นทวยเทพร่างทองที่เรือนกายสูงห้าร้อยกว่าจั้งก็ผุดออกมาจากพื้นดิน ในมือถือกระบี่ยักษ์ ปาดกระบี่ฟันในแนวขวางผ่ากลางเอวของกายธรรมโครงกระดูกขาว
กายธรรมกระดูกขาวของเกาเฉิงแห่งนครจิงกวานโจมตีครั้งเดียวไม่สำเร็จ จุดเชื่อมต่อระหว่างหุบเขาผีร้ายและชายหาดโครงกระดูกก็มีองค์เทพร่างทองโผล่ออกมาปล่อยกระบี่เข้าใส่ มือข้างหนึ่งของกระดูกขาวร่างมหึมาคว้าจับที่คมกระบี่ สะเก็ดแสงสีทองระเบิดพร่างเหมือนเม็ดฝนที่พรมลงสู่พื้นดิน พลันนั้นตลอดทั้งชายหาดโครงกระดูกก็เกิดแผ่นดินไหวแผ่นฟ้าโยกคลอน กายธรรมกระดูกขาวเหวี่ยงแขนสะบัดกระบี่ยักษ์ทิ้ง ร่างลดระดับลงมาเบื้องล่าง เพียงชั่วพริบตาก็หายไปท่ามกลางเงามืดของพื้นดิน น่าจะถอยกลับไปยังฟ้าดินขนาดเล็กอย่างหุบเขาผีร้ายแล้ว
ส่วนองค์เทพร่างทองก็ถอยกลับเข้าไปในค่ายกลเช่นเดียวกัน แสงเส้นนั้นย้อนกลับทางเดิมสู่ศาลบรรพจารย์บนภูเขามู่อี แล้วจึงไปรวมตัวกันกลายเป็นไข่มุกวิเศษเม็ดหนึ่งที่ถูกคาบอยู่ในปากของรูปปั้นเจียวหลงทองสัมฤทธิ์ซึ่งตั้งวางไว้ในศาลบูชา
ม่านราตรีของหุบเขาผีร้ายค่อยๆ กลับคืนสู่ความเงียบสงัด
ในจวนตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขา
ผังหลันซีเด็กหนุ่มที่สำนักพีหมาฝากความหวังไว้มากกำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะหินตัวหนึ่ง จ้องมองจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขม็ง ฝ่ายหลังกำลังพลิกเปิดตำราพิชัยยุทธสีเหลืองเก่าคร่ำคร่าเล่มหนึ่งที่ได้มาจากตำหนักหยางฉาง
แม้ว่าผังหลันซีจะอายุน้อย แต่ลำดับศักดิ์สูง คือผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของบรรพจารย์ท่านหนึ่งของสำนักพีหมา ผู้ฝึกตนโอสถทองหลายท่านก็ยังต้องเรียกเขาว่าอาจารย์อาน้อย ส่วนผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางที่มีจำนวนมากกว่านั้นก็ได้แต่เรียกเขาว่าบรรพจารย์อาจารย์อาน้อย สามวันมานี้ในจวนมีมือกระบี่ชุดเขียวตรงหน้าผู้นี้เป็นแขกเพียงคนเดียว ก่อนหน้านี้ผังหลันซีก็เคยมาหาอีกฝ่ายอยู่หลายครั้ง เนื่องด้วยความสงสัยใคร่รู้ อะไรที่ควรคุยก็คุยไปหมดแล้ว อะไรที่ควรถามก็ถามไปหมดแล้วเช่นกัน ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายก็ปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจอย่างยิ่ง แล้วก็ไม่ได้จงใจเล่นเอาเถิดเจ้าล่ออุบสิ่งที่เขาอยากรู้ไว้ไม่ยอมบอก แต่หลังจากจบเรื่องผังหลันซีลองคิดพิจารณาดูก็รู้สึกเหมือนว่าเรื่องที่คุยกันจะไม่เข้าประเด็นเลยสักเรื่อง
ยากที่จะจินตนาการได้ว่าคนตรงหน้าผู้นี้ก็คือคนซื้อภาพยากจนที่ตอนนั้นทำหน้าหนาหั่นราคาต่อรองกับตน
ตอนนั้นนางที่เติบโตกับเขามาตั้งแต่เยาว์วัยยังให้ตนวิ่งออกจากร้านมาเตือนคนผู้นี้ว่ายามที่ท่องอยู่ในยุทธภพต้องระวังอย่าโอ้อวดสิ่งของมีค่า ที่แท้พวกเขาต่างก็ถูกเจ้าหมอนี่หลอกเอา
บรรพจารย์ของสำนักที่ดูแลเรื่องกฎระเบียบของศาลบรรพจารย์ไม่ยินดีจะเปิดเผยความลับสวรรค์ เพียงแค่บอกว่ารอให้เจ้าสำนักกลับภูเขามู่อีมาเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน แต่ก็ได้พูดอย่างสะท้อนใจประโยคหนึ่งว่า ขอบเขตเพียงแค่นี้แต่กลับสามารถหนีรอดพ้นมาจากเงื้อมมือของเกาเฉิงแห่งหุบเขาผีร้ายได้ ความสามารถนี้ไม่ใช่น้อยๆ เลยจริงๆ
ผังหลันซีจึงยิ่งอยากรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในหุบเขาผีร้ายกันแน่ แล้วคนผู้นี้ไปมีเรื่องกับเจ้านครจิงกวานได้อย่างไร
เฉินผิงอันวางตำราพิชัยยุทธที่แม่ทัพบู๊แคว้นเสินเช่อในอดีตเป็นผู้เขียนลง นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ก็ยิ้มถามว่า “หลันซี ภาพวาดฝาผนังทั้งแปดในนครปี้ฮว่าต่างก็กลายเป็นเพียงภาพลายเส้นขาวดำแล้ว แล้วกิจการร้านค้าที่อยู่ใต้ภาพของเทพหญิงทั้งสามอย่างฉีลู่ กว้าเยี่ยนและสิงอวี่ล่ะ วันหน้าจะทำอย่างไร?”
ผังหลันซีเองก็หงุดหงิดกับเรื่องนี้ไม่น้อย ทว่าก็ได้แต่กล่าวอย่างจนใจว่า “ยังจะทำอย่างไรได้อีก ซิ่งจื่อนางใกล้จะกลุ้มใจตายอยู่แล้ว บอกว่าวันหน้าต้องไม่มีการค้ามาเยือนอีกแน่ ตอนนี้นครปี้ฮว่าไม่มีโชควาสนาสามส่วนนั่นแล้ว จำนวนของนักท่องเที่ยวต้องลดฮวบลงอย่างแน่นอน ข้าจะทำอะไรได้ ก็ได้แต่ปลอบใจนางด้วยหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ที่ข้าเคยได้ยินมาจากพวกศิษย์พี่ศิษย์หลานทั้งหลาย คิดไม่ถึงว่าซิ่งจื่อไม่เพียงแต่ไม่รับน้ำใจ ซ้ำยังโกรธข้าด้วย แล้วก็ไม่สนใจข้าอีกเลย เฉินผิงอัน ทำไมซิ่งจื่อถึงเป็นอย่างนี้ล่ะ ทั้งๆ ที่ข้าหวังดี ทำไมนางถึงยังอารมณ์เสียอีก”
เฉินผิงอันยิ้มบางเอ่ยว่า “อยากรู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่?”
ผังหลันซีพยักหน้ารับ “แน่นอนสิ”
รอยยิ้มของเฉินผิงอันยิ่งกดลึก “หลันซีเอ๋ย ข้าได้ยินมาว่าในมือของท่านปู่ทวดเจ้ายังมีภาพแบบเติมเต็มต้นฉบับของเทพหญิงแบบครบชุดอยู่อีกหลายกล่อง อีกทั้งยังเป็นผลงานแห่งความภาคภูมิใจที่ท่านปู่ทวดของเจ้าใช้เวลามากที่สุด ตั้งใจมากที่สุดอีกด้วย”
ผังหลันซีอึ้งตะลึง ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ขอแค่เจ้าช่วยไขข้อข้องใจให้แก่ข้า ข้าจะแอบไปขโมยมาให้เจ้าเดี๋ยวนี้!”
เฉินผิงอันรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง ยื่นมือออกมาบอกเป็นนัยให้ผังหลันซีที่ลุกขึ้นยืนเรียบร้อยแล้วรีบนั่งลง “วิญญูชนไม่แย่งชิงของรักของผู้อื่น ข้าเองก็ไม่ได้ละโมบอยากได้ในภาพวาดฉบับเติมเต็มเหล่านั้นของท่านปู่ทวดเจ้า แค่หวังว่าเจ้าจะสามารถพูดเกลี้ยกล่อมให้ท่านปู่ทวดของเจ้าลงมือวาดภาพเติมเต็มลงบนกระดาษไขที่ไม่ด้อยกว่าสักชุดสองชุด ข้าจะจ่ายเงินซื้อ ไม่ใช่ให้เจ้าไปขโมยมา หนึ่งชุดก็ได้ สองชุดยิ่งดี สามชุดคือดีที่สุด”
ผังหลันซียังคงสงสัย “แค่นี้เองหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!