ผังหลันซีเห็นว่าเฉินผิงอันเริ่มเหม่อลอยก็อดไม่ไหวต้องเอ่ยเตือนว่า “เฉินผิงอัน อย่าทำเลอะเลือนสิ สมุดภาพเติมเต็มสองเล่มกำลังกวักมือเรียกหาเจ้าอยู่นะ เหตุใดเจ้าถึงใจลอยไปไกลเป็นหมื่นลี้ได้เล่า?”
เฉินผิงอันเอ่ยขอโทษหนึ่งคำ จากนั้นก็ถามว่า “เจ้าถูกกำหนดมาแล้วว่าจะได้เป็นเทพเซียนบนภูเขาที่มีอายุขัยยืนยาว แต่แม่นางซิ่งจื่อคนนั้นของเจ้ากลับเป็นแค่คนธรรมดาด้านล่างภูเขา เจ้าเคยคิดถึงข้อนี้ไหม? สตรีทั่วไป อายุสี่สิบก็เริ่มผมหงอกแล้ว อายุหกสิบ บางทีอาจกลายเป็นหญิงชราที่ผมขาวโพลนเต็มศีรษะแล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าจะให้แม่นางซิ่งจื่อเผชิญหน้ากับเจ้าผังหลันซีที่อาจจะยังเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา หรือไม่อย่างมากสุดก็มีรูปโฉมของคนอายุแค่ยี่สิบปีได้อย่างไร?”
หัวใจของผังหลันซีหดรัดตัว พึมพำว่า “ข้าสามารถปล่อยให้เป็นไปตามฟ้าอำนวยคนสามัคคี ไม่จงใจหยุดรูปโฉมเอาไว้ ให้ตัวเองกลายเป็นผู้เฒ่าที่ผมขาวเหมือนกับนาง”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เจ้าผิดแล้วผิดอีก”
ผังหลันซีเงยหน้าขึ้น สีหน้าเลื่อนลอย
เฉินผิงอันเอ่ย “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเวลานั้นเนื้อหนังมังสาที่เป็นชายชราของเจ้าผังหลันซียังคงสามารถเก็บงำประกายราศีไว้ภายใน ยังคงมีจิตวิญญาณที่แจ่มใสดุจหนุ่มน้อย ยังไม่ต้องไปพูดถึงมัน”
เฉินผิงอันหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถามเบาๆ ว่า “เจ้าเคยลองเอาตัวไปคิดในมุมของแม่นางซิ่งจื่อที่เจ้าคิดถึงอยู่ทุกขณะจิตดีๆ บ้างไหม? เรื่องบางเรื่อง เจ้าคิดอย่างไร คิดได้ดีแค่ไหน ไม่ว่าความตั้งใจเดิมจะดีเท่าไหร่ แต่นั่นจะต้องดีเสมอไปจริงๆ หรือ? จะต้องถูกต้องเสมอไปหรือ? เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ความหวังดีที่แท้จริงที่มอบให้ฝ่ายตรงข้าม แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยใช่เรื่องที่ตัวเราเองยินดีอยู่เพียงฝ่ายเดียว?”
ผังหลันซีทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “ตอนอยู่ที่นครปี้ฮว่า ยามนั้นข้าเป็นแค่คนผ่านทางมาที่รู้จักพวกเจ้าแค่ผิวเผิน ในเมื่อนางบอกให้เจ้าออกจากร้านมาเตือนให้ข้าระวังตัวให้มากๆ ได้ จิตใจที่ดีงามเช่นนี้ แสดงว่านางต้องเป็นแม่นางที่ดีที่มีค่าพอให้เจ้าชื่นชอบอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ข้าเคยสังเกตพวกเจ้าสองคนตอนอยู่ในร้าน ในฐานะคนนอกคนหนึ่ง ข้าพอจะมองออกได้คร่าวๆ ว่าแม่นางซิ่งจื่อเป็นคนจิตใจละเอียดอ่อน แต่ขณะเดียวกันก็ใจกว้างมาก นี่ถือว่าหาได้ยากยิ่ง นี่จึงเป็นเหตุให้ยามที่อยู่ร่วมกับเจ้าซึ่งถือว่าเป็นคนในกลุ่มเทพเซียนบนภูเขาพีหมาซึ่งกินแสงเรืองรองดื่มน้ำค้าง ส่วนนางยังเป็นแค่แม่ค้าล่างภูเขาที่คบค้าสมาคมกับเงินอยู่ตลอดทั้งปี ไม่ทำให้นางรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้ นางไม่เคยคิดเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสภาพจิตใจเช่นนี้หาได้ยากแค่ไหน ดีมากแค่ไหน?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เจ้าไม่รู้เลย”
ผังหลันซีเหม่อลอยไร้คำพูด ริมฝีปากขยับเบาๆ
เฉินผิงอันเอ่ยต่อ “ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ อันที่จริงนางล้วนคอยใส่ใจสภาพจิตใจของเจ้า หวังว่าเจ้าจะฝึกตนได้อย่างสบายใจ ค่อยๆ เดินขึ้นไปบนภูเขาสูงทีละก้าว หากข้าเดาไม่ผิด ทุกครั้งที่เจ้าได้ลงเขาไปช่วยนางที่ร้าน ยามที่พวกเจ้าต้องแยกจากกัน นางไม่มีทางเผยความอาลัยอาวรณ์ออกมาต่อหน้าเจ้ามากนัก กลายเป็นเจ้าที่รู้สึกอัดอั้น กังวลว่านางอาจจะไม่ชอบเจ้าอย่างที่เจ้าชอบนาง ใช่หรือไม่?”
กรอบตาของผังหลันซีแสบร้อนเล็กน้อย เขาเม้มปากแน่น
เฉินผิงอันถอนหายใจ หยิบเหล้ากาหนึ่งออกมา ไม่ใช่เหล้าหมักตระกูลเซียนอะไร แต่เป็นเหล้าข้าวหมักของบ้านเกิดเขตการปกครองหลงเฉวียนที่ส่งไปขายไกลถึงเมืองหลวงต้าหลี เฉินผิงอันดื่มเบาๆ หนึ่งอึก “เจ้าไม่เคยคิดถึงความคิดที่แท้จริงของนางมาก่อน แต่กลับเอาแต่คิดว่าตัวข้าเองควรจะทำอย่างไร แบบนี้ ดีแล้วหรือ?”
ผังหลันซีส่ายหน้า “ไม่ดี ไม่ดีมากๆ”
“ดังนั้นถึงได้บอกว่า ครั้งนี้นครปี้ฮว่าไม่เหลือโชควาสนาจากภาพเทพหญิงอีกแล้ว ร้านก็อาจจะเปิดต่อไปไม่ได้ เจ้ารู้สึกแค่ว่านี่เป็นเรื่องเล็ก เพราะสำหรับเจ้าผังหลันซีแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องเล็ก ร้านแห่งหนึ่งในหมู่ชาวบ้าน ปีๆ หนึ่งจะหาเงินร้อนน้อยได้สักกี่เหรียญ? แล้วปีๆ หนึ่งที่ข้าผังหลันซีใช้เงินเทพเซียนของศาลบรรพจารย์สำนักพีหมาไปล่ะ มีมากเท่าไหร่? แต่ว่า เจ้าไม่เคยรู้เลยว่า ร้านแห่งหนึ่งที่สามารถเปิดอยู่ด้านล่างตีนเขาของสำนักพีหมาได้พอดี สำหรับเด็กสาวชาวบ้านคนหนึ่งแล้วเป็นเรื่องที่ใหญ่แค่ไหน หากไม่มีอาชีพนี้ ต่อให้แค่ย้ายไปอยู่ด่านไน่เหออะไรนั่น แต่สำหรับนางแล้วนี่จะไม่ใช่เรื่องใหญ่เหมือนฟ้าดินถล่มดินทลายได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าอีกหนึ่งอึก น้ำเสียงเบาแต่ทุ้มนุ่มลึก ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยก็ยิ่งเหมือนสุราที่ดื่ม เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “คงเป็นเพราะความคิดของเด็กสาวยาวไกลกว่าเด็กหนุ่มในวัยเดียวกันกระมัง จะบอกว่าอย่างไรดีล่ะ ความต่างของสองอย่างนี้ก็เหมือนกับว่า ความคิดของเด็กหนุ่มคือการเดินอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง แค่มองไปยังจุดสูงอย่างเดียว ส่วนความคิดของเด็กสาวกลับเหมือนธารน้ำสายเล็กที่เลื้อยลดคดเคี้ยวไหลไปยังทิศไกล”
ผังหลันซียู่หน้าตัวเองแรงๆ ไม่รู้ว่านึกถึงภาพเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เสียใจขึ้นมาได้ เพราะเพียงแค่คิดถึงเรื่องนั้นก็ทำให้เด็กหนุ่มที่เดิมทีไร้ทุกข์ไร้กังวลกลัดกลุ้มใจจนน้ำตาเริ่มมาคลอในกรอบดวงตา
เฉินผิงอันมองเขาแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ
หลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่วที่จิตแห่งมรรคาแข็งแกร่ง มองดูเหมือนใจแข็งเป็นหินก็ยังเคยสะดุดล้มหัวทิ่มบนคำว่ารักเหมือนกันไม่ใช่หรือ
เฉินผิงอันพลันหัวเราะออกมา “จะกลัวอะไรเล่า? ในเมื่อวันนี้รู้มากขึ้นแล้ว ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเจ้าก็จะทำได้ดีขึ้น คิดทำเพื่อนางได้มากขึ้น หากไม่ได้จริงๆ รู้สึกว่าตัวเองไม่เชี่ยวชาญด้านการคิดวิเคราะห์จิตใจของสตรี ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะสอนวิธีที่โง่เง่าที่สุดให้แก่เจ้า พูดความในใจกับนางไปโดยไม่ต้องรู้สึกเขินอายหรือลำบากใจ หน้าตาศักดิ์ศรีของบุรุษ ยามอยู่ด้านนอกก็พยายามอย่าให้ปลิวหายไป แต่เมื่ออยู่กับสตรีที่ตัวเองรัก ก็ไม่จำเป็นจะต้องอวดเก่งเอาชนะไปเสียทุกเรื่องทุกเวลา”
ผังหลันซีพยักหน้ารับ ยกมือเช็ดหน้า ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าถึงรู้เยอะขนาดนี้?”
ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกตน หลังจากชี้แนะไปเพียงเล็กน้อยก็เหมือนหยิบใบไม้ที่บังตาออก สภาพจิตใจของผังหลันซีกลับมาใสกระจ่างอีกครั้ง
เฉินผิงอันชูกาเหล้าในมือขึ้นแกว่งส่ายเบาๆ “ข้าท่องอยู่ในยุทธภพ ข้าดื่มเหล้าอย่างไรล่ะ”
ผังหลันซีถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “เหล้าอร่อยขนาดนั้นจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันไม่พูดอะไร เพียงแค่ดื่มเหล้า
ยังคงรอคอยข่าวจากทางหุบเขาผีร้ายอย่างอดทน
อันที่จริงมีเรื่องบางอย่างที่เฉินผิงอันสามารถพูดบอกกับเด็กหนุ่มได้ชัดเจนมากกว่านี้ เพียงแต่ว่าหากแผ่เส้นสายนั้นออกมาก็มีความเป็นได้ว่าจะเกี่ยวพันกับมหามรรคา นี่คือข้อห้ามใหญ่หลวงของผู้ฝึกตนบนภูเขา เฉินผิงอันไม่มีทางข้ามผ่านบ่อสายฟ้านี้ไปเด็ดขาด
นอกจากนี้ความรักความผูกพันระหว่างเด็กหนุ่มเด็กสาว สับสนมึนงงสักหน่อยกลับจะกลายเป็นความงดงามอย่างหนึ่ง เหตุใดต้องพูดให้ละเอียดเกินไปด้วยเล่า
ผังหลันซีขอตัวลากลับไป บอกว่าอย่างน้อยภาพเทพหญิงกระดาษไขสองชุดก็ไม่หนีไปไหนแล้ว ให้เขารอฟังข่าวดีก็พอ
ตอนที่ผังหลันซีกำลังจะก้าวออกไปจากประตูเรือน เฉินผิงอันก็พลันเอ่ยเรียกเด็กหนุ่มเอาไว้ ยิ้มกล่าวว่า “ใช่แล้ว เจ้าต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า คำพูดพวกนี้ที่ข้าพูดกับเจ้า หากรู้สึกว่ามันมีเหตุผลจริงๆ ตอนที่ทำมัน เจ้าก็ยังต้องคิดตริตรองให้มากหน่อย ไม่แน่เสมอไปว่าเหตุผลที่เจ้าฟังแล้วรู้สึกว่าไม่เลวจะต้องเหมาะสมกับเจ้า”
ผังหลันซีโบกมือ ยิ้มกล่าว “ข้าไม่ได้โง่เขลาไร้ปัญญาจริงๆ เสียหน่อย วางใจเถอะ ข้าจะใคร่ครวญด้วยตัวเอง!”
เฉินผิงอันจึงลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะหิน ฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!