กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 499

อันที่จริงส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันก็พอจะมองหาเส้นสายหนึ่งที่หลบซ่อนอยู่เจอ

บนเส้นเส้นนี้จะมีจุดเชื่อมต่อที่สำคัญอยู่มากมาย ยกตัวอย่างเช่นตรงสะพานเหล็กแขวนระหว่างหน้าผา การรับสัมผัสของตัวหยางหนิงซิ่งที่เขาเอ่ยบอก

ริมลำคลองเฮยเหอ ภิกษุเฒ่าหันหน้าเข้าหาฝั่งตรงข้ามแล้วท่องประโยคพระธรรมที่คล้ายจะเป็นคำพูดซึ่งเอ่ยลอยๆ ว่า ‘กลับใจคือฝั่ง’

หลังจากเข้าไปในเมืองชิงหลูที่ตามหลักแล้วคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดของหุบเขาผีร้าย แต่กลับไม่สามารถจรดพู่กันเขียนยันต์ได้ จิตใจที่ไม่สงบสุขซึ่งแม้แต่การยืนนิ่งเจี้ยนหลูก็ยังไม่ช่วยให้ดีขึ้นเช่นนั้น เป็นความรู้สึกที่หาได้ยากยิ่ง

หากย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น ก็คือโชควาสนาจากภาพเทพหญิงขุนนางสวรรค์แห่งนครปี้ฮว่า เทพหญิงฉีลู่เดินออกมาจากภาพวาด มุ่งหน้าไปที่ท่าเรือข้ามฟากของลำคลองเหยาเย่ จำแลงกายเป็นหญิงชราเพื่อมาหยั่งเชิงตน

นครปี้ฮว่า สามารถเรียกได้ว่าเป็นสถานที่แรกที่เฉินผิงอันเหยียบย่างเข้ามาในอุตรกุรุทวีป!

ความคิดชั่วร้ายอันบริสุทธิ์ที่หยางหนิงซิ่งหล่อหลอมให้เล็กเท่าเม็ดงา ตอนอยู่ในศาลเทพวารีริมน้ำ บัณฑิตได้เอ่ยถ้อยคำหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ บอกว่าเขาไม่เคยชนะเฉินผิงอันได้เลยสักครั้ง

เรื่องราวบนโลกใบนี้ โชคดีมักจะมาพร้อมกับโชคร้ายเสมอ

เฉินผิงอันมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง

หากเขาเอาแต่จมจ่อมอยู่กับโชคดีและความสุขอันยาวนาน ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร?

เวลานี้ต่อให้เฉินผิงอันออกห่างจากหุบเขาผีร้ายมาไกลมากแล้ว พาตัวมาอยู่บนภูเขามู่อีของสำนักพีหมา เขาก็ยังคงหวาดผวาไม่คลาย

ลองจินตนาการดู หากเป็นร้านผ้าห่อบุญอยู่ในนครถงโช่วได้อย่างราบรื่น ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป แน่นอนว่าเขาย่อมเดินทางขึ้นเหนือต่อ เพราะก่อนหน้านี้มีมรสุมคลื่นลมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็จริง แต่กลับแค่น่าตกใจทว่าไร้อันตราย ตรงกันข้ามยังสามารถเก็บตกของดีได้อยู่หลายครั้ง ไม่มีเรื่องดีๆ ที่ใหญ่เทียมฟ้า แต่กลับมีโชคเล็กๆ น้อยๆ อยู่ตลอดเวลา ได้กำไรตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย อีกทั้งสุดท้ายแล้วเทพหญิงฉีลู่ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตน บ่อสายฟ้าภูเขาจีเซียวไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตน โชควาสนาบนภูเขากระจกวิเศษก็ยังคงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตน ดูเหมือนว่าเขาเฉินผิงอันแค่อาศัยความระมัดระวังของตัวเองบวกกับ ‘โชคดีเล็กๆ น้อยๆ’ ซึ่งดูเหมือนว่านี่จะเป็นสภาพการณ์อย่างหนึ่งที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่าผ่อนคลายที่สุด ไร้อันตรายมากที่สุด

เฉินผิงอันหรี่ตาลง ดื่มเหล้าข้าวในกาจนหมด

จู๋เฉวียนชำเลืองตามองกระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังเฉินผิงอันแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้าเบาๆ คิดว่าคงไม่ใช่วัตถุชิ้นนี้ แม้ว่าเกาเฉิงแห่งนครกรงขาวจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตของคนตลอดทั้งสำนักพีหมา แต่เจ้าสำนักแต่ละยุคแต่ละสมัยล้วนยอมรับว่าวิญญาณวีรบุรุษผู้ที่ร่วมปกครองหุบเขาผีร้ายคนนี้ ไม่ว่าจะตบะหรือนิสัยใจคอก็ล้วนไม่เลว สามารถเรียกได้ว่าเป็นวีรบุรุษในกลุ่มผี ดังนั้นต่อให้คนหนุ่มจะสะพายอาวุธกึ่งเซียนอยู่จริงๆ แต่เกาเฉิงก็คงไม่ถึงขั้นอยากได้จนน้ำลายสอเช่นนี้ และยิ่งไม่มีทางเป็นเดือดเป็นแค้นขนาดนี้ จู๋เฉวียนใคร่ครวญหาถ้อยคำที่เหมาะสมอยู่ในใจก่อนอย่างที่หาได้ยาก หลังจากเตรียมคำพูดที่จะเอ่ยได้คร่าวๆ แล้วก็กล่าวว่า “ข้าจะไม่ถามว่าเหตุใดเจ้าถึงกลายเป็นปฏิปักษ์กับเกาเฉิง และเจ้าก็ไม่ต้องเล่าให้ข้าฟังด้วย นี่คือบุญคุณความแค้นระหว่างพวกเจ้าทั้งสอง แน่นอนว่าการเปิดฉากเข่นฆ่ากับเกาเฉิงและนครจิงกวานก็คืองานในหน้าที่ของผู้ฝึกตนสำนักพีหมาเราอยู่แล้ว ต่อให้ตายก็ไม่เสียดาย เจ้าเองที่หนีรอดมาได้ และมาหลบภัยอยู่ในภูเขามู่อีของเราในครั้งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าเพื่อชดใช้น้ำใจที่ติดค้างไว้ จึงต้องเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ด้วย ไม่จำเป็นเลย ทั้งเจ้าและข้าต่างก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันขนาดนั้น”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง”

จู๋เฉวียนยิ้มกล่าว “เจ้าตัวดี ไม่เกรงใจกันจริงๆ ด้วย”

……

ป่าท้อของหุบเขาผีร้าย ในอารามเสวียนตูเล็ก

นักพรตผู้เฒ่าเจ้าอารามยืนอยู่ใต้ต้นท้อสูงเสียดฟ้าต้นนั้น ตรงฝ่าเท้าอบอวลไปด้วยไอน้ำ จากนั้นก็เหมือนมีภาพวาดแห่งภูเขาแม่น้ำที่ใหญ่ยักษ์ม้วนหนึ่งค่อยๆ ถูกคลี่ออก

เมื่อบนม้วนภาพปรากฎร่างของบัณฑิตคนหนึ่งที่เดินเข้าไปในนครถงโช่วเพื่อเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ที่เหมือนการละเล่นของเด็ก

สวีส่ง ‘นักพรตน้อย’ ที่ถือแส้ปัดฝุ่นไว้ในมือก็ขนลุกขนชัน เอ่ยเสียงสั่นว่า “อาจารย์ นี่ก็คือภาพม้าวิ่งบนสายน้ำแห่งกาลเวลาในตำนานหรือ?”

นักพรตผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “เจ้าลัทธิของตำหนักนภากาศหน่วยฉงเฉวียนราชวงศ์ต้าหยวนเขียนจดหมายฉบับหนึ่งด้วยลายมือตัวเองแล้วส่งมาที่อารามเสวียนตูเล็กของพวกเรา ต้องการให้อาจารย์ช่วยปกป้องหยางหนิงซิ่งระหว่างที่เดินทาง ในเมื่อทำเรื่องดีแล้วก็ควรทำให้ถึงที่สุด อาจารย์จึงวาดภาพนี้ขึ้นมา แต่เจ้าก็วางใจเถอะ นี่เป็นแค่ฉบับสำเนาของภาพม้าวิ่งที่แท้จริงเท่านั้น ค่าตอบแทนมีไม่มาก คนนอกได้แค่มองดูสามครั้ง การที่ให้เจ้าดูหนึ่งครั้งก็เพราะต้องการให้เจ้าลองพิศมรรคา เอาหินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยกงามให้ตัวเอง ดังนั้นเจ้าจงพิศดูให้ถี่ถ้วน”

สวีส่งกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “ถึงอย่างไรเทียนจวินน้อยของหน่วยฉงเสวียนผู้นั้นก็มีพี่ชายมาช่วยเอาสมบัติให้ที่ภูเขากระจกวิเศษ ตัวหยางหนิงซิ่งที่มาเยือนหุบเขาผีร้ายก็เหมือนแค่มาเที่ยวเล่นเท่านั้น จำเป็นต้องทำแบบนี้ด้วยหรือ?”

นักพรตเฒ่ายิ้มกล่าว “แรกเริ่มอาจารย์ก็สงสัยเหมือนกัน ได้แต่เดาว่านี่น่าจะเกี่ยวข้องกับการช่วงชิงบนมหามรรคา รอให้เจ้าดูภาพวาดม้วนนี้จบ ความจริงก็จะปรากฏให้เห็นแล้ว”

สวีส่งเบิกตากว้าง ไม่ยอมพลาดรายละเอียดแม้แต่นิดเดียว

เพียงแต่ว่าทุกการกระทำของหยางหนิงซิ่งในนครถงโช่วช่างเกกมะเหรกหาดีไม่ได้ หากม้วนภาพนี้ไม่ใช่ภาพม้าวิ่ง สวีส่งก็คงรู้สึกว่าอาจารย์ของตนทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ส่วนเจ้าลัทธิตำหนักนภากาศก็ยิ่งเป็นกังวลเกินจริงไปเอง

แต่เมื่อสวีส่งมองเห็นว่าปี้สู่เหนียงเนียงแห่งภูเขาโปลั่วถูก ‘บัณฑิต’ เสกให้กลายเป็นควันดำแล้วเขมือบกลืนลงท้อง ส่วนบนหัวกำแพงก็มีมือดาบหนุ่มคนนั้นนั่งยองอยู่

สีหน้าของสวีส่งก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึม

เหตุการณ์ต่างๆ ต่อจากนั้น

ทำเอาสวีส่งที่มองดูอยู่อกสั่นขวัญผวา หัวใจกระเด้งกระดอนไม่หยุด

เมื่อภาพภูเขาแม่น้ำข้างฝ่าเท้าดำเนินมาถึงฉากสุดท้ายก็กลายมาเป็นแกนภาพม้วนหนึ่งที่ถูกอาจารย์กุมไว้ในฝ่ามือเบาๆ

นักพรตเฒ่ายิ้มกล่าว “รู้สึกอย่างไร?”

สวีส่งกล่าวอย่างเขินอาย “หากศิษย์เป็น…พี่ชายคนดีผู้นั้น ก็ไม่รู้ว่าต้องตายด้วยน้ำมือของหยางหนิงซิ่งไปกี่รอบแล้ว”

นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “หากเจ้าเป็นคนผู้นี้ ก็ยิ่งไม่มีทางหนีออกไปจากหุบเขาผีร้ายได้”

สวีส่งนึกถึงความเคลื่อนไหวทางเมืองชิงหลูก่อนหน้านี้ รวมไปถึงการเข่นฆ่าระหว่างเทพเซียนที่แท้จริงซึ่งเกิดขึ้นหลังจากนั้น นักพรตน้อยท่านนี้ก็ให้รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก

นักพรตเฒ่ามองลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของตนแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทำไม รู้สึกว่าตัวเองสู้คนอื่นไม่ได้อย่างนั้นหรือ? หากอาจารย์บอกเจ้าว่าอายุที่แท้จริงของจอมยุทธพเนจรต่างถิ่นผู้นี้แค่ยี่สิบต้นๆ เจ้าจะเอาหัวโหม่งต้นท้อตายหรือไม่?”

หน้าผากของสวีส่งมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมออกมา

นักพรตเฒ่าส่ายหน้าถอนหายใจ “เด็กโง่ อยู่บนเส้นด้ายแห่งชีวิตที่มีทั้งโชคและเคราะห์อยู่ร่วมกัน ต้องคอยเดิมพันกับหนึ่งในหมื่นครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นเรื่องดีจริงๆ หรือ? จมลึกอยู่ในฝุ่นผงแห่งโลกีย์ เวรกรรมตามติดรัดพันตัว สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว จะน่ากลัวปานใด ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ต่อให้ตอนนี้เจ้าจะสู้คนผู้นี้ไม่ได้จริงๆ แล้วเจ้าก็จะไม่อาจฝึกตนไม่อาจบรรลุมรรคาได้แล้วหรือ? ถ้าอย่างนั้นหากเปลี่ยนมาเป็นอาจารย์ พอคิดถึงว่าจุดที่อยู่สูงขึ้นไปมีมรรคาจารย์เต๋าผู้นั้นอยู่ ตนก็ต้องต่ำต้อยกว่า มีเจ้าลัทธิสามสายนั่นอยู่ ก็ต้องต่ำลงอีกหน่อย และยิ่งมีเซียนบินทะยานอยู่ในหอป๋ายอวี้จิง ก็ต้องหมดอาลัยตายอยาก บอกกับตัวเองว่าช่างมันเถิดอย่างนั้นหรือ?”

สวีส่งเงยหน้าขึ้น สีหน้าเลื่อนลอย

นักพรตเฒ่าใช้นิ้วดีดหน้าผากสวีส่งเบาๆ “นักพรตอย่างพวกเรา ฝึกวิชาของตัวเองเป็นเรื่องในบ้านของตัวเอง ศัตรูมีเพียงกรงขังแห่งกฎเกณฑ์ที่ต้นไม้เติบโตแล้วก็ต้องแห้งเหี่ยว มนุษย์ทุกคนล้วนต้องตายเท่านั้น หาใช่อยู่ที่คนอื่นไม่ ความรุ่งโรจน์มีเกียรติ ความตกต่ำอับจนของคนอื่น เกี่ยวข้องอะไรกับเราด้วย? ในสายตาของอาจารย์ บางทีมหามรรคาที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องช่วงชิงด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่า…ช่างเถิด พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์”

สวีส่งถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก้มลงกราบคำนับ “อาจารย์ ศิษย์พอจะเข้าใจบ้างแล้ว”

นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับอย่างปลาบปลื้ม “แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”

……

ในพื้นที่ลับตระกูลเซียนที่เดิมทีภาพฝาผนังทุกภาพล้วนเป็นประตูบานหนึ่งที่เปิดเข้ามาได้

เมื่อภาพวาดฝาผนังทั้งแปดล้วนกลายเป็นภาพโครงร่างขาวดำ ปราณวิญญาณในจวนตระกูลเซียนแห่งนี้ก็สูญหายไปเกินครึ่ง กลายมาเป็นพื้นที่ลับทั่วไปที่ไม่เพียงพอจะเป็นถ้ำสวรรค์ แต่กลับเหลือเฟือที่จะเป็นถ้ำมงคล ยังคงเป็นพื้นที่วิเศษแห่งหนึ่ง เพียงแค่ไม่เหลือความรู้สึกน่าตื่นตาตื่นใจใดๆ อีกต่อไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!