เฉินผิงอันสอบถามเกี่ยวกับขุนนางบุ๋นบู๊ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองอีกเล็กน้อย แล้วก็ได้ยินว่ามีขุนนางผู้พิพากษาสองคน หกกองของเทพอภิบาลเมือง รวมไปถึงเทพท่องทิวาราตรีสององค์ และแม่ทัพถือโซ่ตรวนอีกหนึ่งคนจริงดังคาด ขุนนางใต้บังคับบัญชาที่ให้ความช่วยเหลือเทพอภิบาลเมืองเหล่านี้ต่างก็มีประวัติความเป็นมาแตกต่างกันออกไป เถ้าแก่ผู้เฒ่าล้วนคุ้นเคยเป็นอย่างดี เขาเล่าได้เป็นเรื่องเป็นราวน่าเชื่อถือ เพียงแต่ว่าพอเฉินผิงอันถามว่าเคยเห็นท่านเทพอภิบาลเมืองแสดงอิทธิฤทธิ์เผยตัวให้เห็นหรือไม่ เถ้าแก่ผู้เฒ่ากลับบื้อใบ้พูดไม่ออก สีหน้าไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ ตอบมาประโยคหนึ่งว่าชาวบ้านอย่างเราๆ จะสามารถเห็นร่างจริงของท่านเทพอภิบาลเมืองได้อย่างไร ต่อให้มายืนอยู่ตรงหน้าก็คงจะไม่รู้ว่าเป็นท่าน
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตามหลักแล้วก็ควรจะเป็นเช่นนี้ คำโบราณบอกไว้ว่ายอดฝีมือที่แท้จริงไม่เปิดเผยตัว ผู้ที่เปิดเผยตัวไม่ใช่ยอดฝีมือที่แท้จริง คิดดูแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ก็คงจะเป็นเหมือนกัน”
สีหน้าของเถ้าแก่ผู้เฒ่าถึงได้ดีขึ้นเล็กน้อย
ระเบียบพิธีการของเทพอภิบาลเมืองแคว้นอิ๋นผิง โดยภาพรวมแล้วก็เหมือนกับแจกันสมบัติทวีป แต่ก็ยังมีความแตกต่างกันเล็กน้อย นั่นก็คือในเรื่องของระดับขั้นและการตั้งบูชา
ทว่าในเรื่องการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ย้อนหลังของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันแคว้นอิ๋นผิงนี้ ไม่ค่อยเหมือนกับปกติทั่วไปสักเท่าไร น่าจะเพราะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของร่างทองเทพอภิบาลเมืองของที่แห่งนี้ เป็นเหตุให้จำต้องแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ที่เกินขอบเขตให้แก่เทพอภิบาลเมืองในเมืองเล็กๆ ท่านหนึ่ง
หลังจากที่เฉินผิงอันออกจากร้านขายธูปก็มายืนอยู่บนถนนใหญ่ที่ผู้คนสัญจรกันขวักไขว่ มองไปทางศาลเทพอภิบาลเมือง
ยอมนอนอยู่ในสุสานอย่างสงบ ดีกว่านอนอยู่ในวัดร้างผุพัง
ก็คือหลักการนี้
หากปราณวิญญาณระหว่างภูเขาแม่น้ำบนโลกหมุนเวียนผันเปลี่ยนก็ง่ายที่จะทำให้เกิดสถานการณ์ที่โชคและเคราะห์พลิกกลับสลับตำแหน่ง
เฉินผิงอันเลือกจะเดินไปทางศาลเทพอัคคี ภาพปรากฎการณ์ของศาลเทพอภิบาลเมืองยังไม่มีลางว่าจะพังทลาย น่าจะยังสามารถประคับประคองตัวไปได้อีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ทางฝั่งของศาลเทพอัคคีก็มีควันธูปโชติช่วงเช่นกัน เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับภาพปรากฎการณ์อันวุ่นวายของศาลเทพอภิบาลเมืองแล้ว ควันธูปของที่แห่งนี้ดูใสสะอาดมั่นคงมากกว่า การรวมตัวและการแยกสลายล้วนเป็นระบบระเบียบ
แต่เฉินผิงอันก็ไม่ได้เดินเข้าไปด้านในเหมือนกัน ตอนนี้เขาสามารถใช้ปณิธานหมัดสยบเรื่องประหลาดที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเองได้แล้ว แต่หากก้าวเข้าไปในวัดในศาลเมื่อไหร่ จะชักนำสายตาของผู้อื่นให้จับจ้องมองมาโดยที่ไม่จำเป็นหรือไม่ เฉินผิงอันไม่แน่ใจนัก หากไม่เป็นเพราะการเดินทางมาเยือนทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีปครั้งนี้ฉุกละหุกเกินไป ตามแผนการเดิมที่เฉินผิงอันวางเอาไว้ก็คือจะต้องไปเยือนศาลเทพวารีลำคลองเหยาเย่บนชายหาดโครงกระดูกก่อน แล้วค่อยไปเยือนศาลใหญ่แห่งต่างๆ ของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ เพื่อตรวจสอบสำรวจด้วยตัวเอง เพราะถึงอย่างไรศาลอย่างศาลเทพลำคลองเหยาเย่นี้ เจ้าของก็คือองค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำที่เป็นเพื่อนบ้านกับสำนักพีหมา สายตาของพวกเขาย่อมสูง หากตนเดินเข้าไปจุดธูปกราบไหว้ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าคนเขาจะเห็นเป็นสำคัญ คนเขาจะออกมาพบหน้าหรือไม่ ไม่อาจอธิบายอะไรได้ แต่สุดท้ายแล้วเทพลำคลองที่ใหญ่ที่สุดทางทิศใต้ของทวีปท่านนั้นไม่ได้เผยกายในศาล แต่กลับปลอมตัวเป็นคนถ่อเรือมาพบหน้า หมายจะช่วยเตือนให้ตนได้รับโชควาสนา
เฉินผิงอันเดินเข้าออกร้านธูปแถวศาลเทพอัคคีหนึ่งรอบเพื่อสอบถามถึงประวัติความเป็นมาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในศาล
มีอยู่ข้อหนึ่งที่ไม่ค่อยต่างจากคำบอกเล่าของเถ้าแก่ผู้เฒ่าศาลเทพอภิบาลเมืองสักเท่าไหร่ องค์เทพที่เฝ้าพิทักษ์เมืองทิศใต้แห่งนี้ไม่เคยเผยร่างที่แท้จริงในตลาดมาก่อน ทว่าเรื่องราวของเขาที่ถูกเล่าสืบต่อกันมากลับมีมากกว่าเทพอภิบาลเมืองทางทิศเหนือเล็กน้อย อีกทั้งฟังดูแล้วน่าจะใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกชาวบ้านมากกว่าเทพอภิบาลเมือง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับการตกรางวัล การทำโทษ การหยอกเย้าคนบนโลกเล่น อีกทั้งยังมีประวัติศาสตร์ยาวไกล เพียงแต่ว่าสืบทอดต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย ถึงยังแพร่มาถึงคนรุ่นหลัง หนึ่งในนั้นมีเรื่องเล่าที่บอกว่าท่านเทพแห่งศาลอัคคีท่านนี้เคยมีความขัดแย้งกับ ‘เจ้าแห่งทะเลสาบ’ ของทะเลสาบฉางอวิ๋นที่เกิดน้ำล้นน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง มีฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำของศาลสุ่ยเซียนท่านหนึ่งเคยทำให้ท่านเทพอัคคีโมโห ทั้งสองฝ่ายจึงลงไม้ลงมือต่อกัน เจ้าแห่งคูน้ำของสายน้ำใหญ่ท่านนั้นมิใช่คู่ต่อกรของเทพอัคคีจึงไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าแห่งทะเลสาบ ส่วนผลลัพธ์ในท้ายที่สุดกลับกลายเป็นว่ามีเซียนกระบี่ที่ไม่เคยเอ่ยนามท่านหนึ่งเดินทางผ่านมาช่วยเกลี้ยกล่อมองค์เทพทั้งสอง ถึงทำให้เจ้าแห่งทะเลสาบไม่ได้ร่ายใช้วิชาอภินิหารเรียกให้น้ำท่วมกลบทับเมืองสุยเจี้ย
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ออกจากเมืองสุยเจี้ยไปโดยตรง แล้วเลือกทางเส้นเล็กของสันเขาเส้นหนึ่งไปเยือนศาลสุ่ยเซียนที่อยู่ในอาณาเขตของทะเลสาบฉางอวิ๋นอย่างลับๆ หากองค์เทพที่แต่งตั้งตัวเองว่าเป็น ‘เจ้าแห่งคูน้ำ’ แต่แท้จริงแล้วระดับขั้นแค่เทียบได้แค่แม่ย่าลำคลองผู้นั้นยังอยู่จริงๆ เขาก็สามารถลองเลียบๆ เคียงๆ ถามดูได้ ดูสิว่าจะสืบเอาเรื่องวงในของเมืองสุยเจี้ยออกมาจากปากนางได้หรือไม่ หากเป็นหายนะที่จะทำให้คนทั้งเมืองเดือดร้อน เขาคงต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยสักหน่อย แต่หากเป็นแค่การตีกันของเทพเซียนในสถานที่เล็กๆ ก็ดูไปก่อนค่อยว่ากัน
ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันเดินเลียบลำธารที่กว้างใหญ่สายหนึ่งจนมาถึงด้านข้างของศาลแห่งหนึ่ง ระหว่างทางเต็มไปด้วยกอหญ้ารกชัฏ ไร้เงาผู้คน นี่แสดงให้เห็นว่าควันธูปของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำผู้นี้เบาบางมากเพียงใด
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วศาลแห่งนี้อยู่ห่างจากตลาดเมืองเล็กมาแค่ไม่กี่สิบลี้เท่านั้น
แต่ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันอยู่บนภูเขาลูกหนึ่งที่เป็นจุดตัดระหว่างลำธารกับทะเลสาบก็ได้เห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังถือคบไฟเดินมุ่งหน้าไปยังศาลแห่งนั้น
เฉินผิงอันจึงสะกดรอยตามอีกฝ่ายไป แอบฟังพวกเขาคุยกันแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เด็กหนุ่มและหนุ่มฉกรรจ์ที่กินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำพวกนี้กำลังแข่งกันว่าใครมีความกล้าหาญมากกว่ากัน ดูสิว่าใครที่เข้าไปในศาลแล้วกล้าเกี้ยวพาเหนียงเนียงเจ้าแห่งคูน้ำผู้นั้น อันที่จริงเรื่องแบบนี้พบเห็นได้บ่อยในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด ปีนั้นในเมืองเล็กบ้านเกิดเฉินผิงอันก็มี หากมีเด็กของบ้านใดกล้าไปนอนที่สุสานเทพเซียนหนึ่งคืน นั่นก็แสดงว่าเขาคือชายชาตรีวีรบุรุษที่สามารถค้ำฟ้ายันดินได้ ในตรอกซิ่งฮวาเคยมีคนวัยเดียวกันบอกว่าเขาไปนอนที่สุสานเทพเซียนมาหนึ่งคืน ผลคือตอนที่เขาเล่าเรื่องนี้อยู่ใต้ต้นไหวโบราณอย่างห้าวเหิม ก็ทำให้ได้รับความเลื่อมใสจากคนวัยเดียวกันมากมายที่มานั่งฟัง ‘เมื่อผ่านศึกนี้มา’ เขาก็ได้กลายเป็นราชันย์ของกลุ่มเด็กในแถบตรอกซิ่งฮวา ช่วงเวลาหลังจากนั้นเขาก็เห็นการรังแกเฉินผิงอันและซ่งจี๋ซินที่เป็นเพื่อนบ้านกันในตรอกหนีผิงเป็นความบันเทิง แน่นอนว่าตอนที่เล่นพ่อแม่ลูก เขาก็ยิ่งอยากให้จื้อกุยที่มีชื่อแปลกผู้นั้นแสดงเป็นภรรยาตัวน้อยของเขา น่าเสียดายที่ถูกซ่งจี๋ซินด่ากราด ส่วนจื้อกุยก็ตีหน้าเคร่งขรึม สายตาเย็นชาตลอดมา นางวิ่งกลับมาที่เมืองเล็กพร้อมกับซ่งจี๋ซิน ส่วนคนวัยเดียวกันผู้นั้นก็นำพาลูกสมุนวิ่งตามหลังขว้างก้อนดินใส่คู่นายบ่าวอย่างพวกเขา
อันที่จริงคืนนั้นเฉินผิงอันไปขอพรพระที่สุสานร้างพอดี เขาเห็นไกลๆ ว่าคนวัยเดียวกันผู้นั้นแค่เดินวนอยู่ด้านนอกศาลเทพเซียนไม่กี่ก้าวก็วิ่งปรู๊ดกลับบ้านตัวเองไป
คนเจ็ดแปดคนกลุ่มนั้นที่เฉินผิงอันเห็นในคืนนี้ไม่ทำให้ตัวเองต้องลำบากเลยแม้แต่น้อย พวกเขาพกทั้งเนื้อทั้งสุรามาครบถ้วน เมื่อพวกเขาเข้าไปในศาลสุ่ยเซียนที่เป็นเพียงเรือนสองชั้น กรอบป้ายเอียงกะเท่เร่ ในศาลถูกทิ้งร้างมานานจนมีสภาพเก่าโทรม อีกทั้งบนผนังยังเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำเขียวอี๋ เฉินผิงอันก็ไปนั่งอยู่บนต้นไม้ใหญ่ที่ห่างจากศาลไปไกล การมองเห็นของเขาเปิดกว้าง วางไม้เท้าเดินป่าพาดไว้บนหัวเข่า มือสองข้างสอดประสานกันอยู่ในชายแขนเสื้อ ทอดสายตามองไป คอยดูการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ
เฉินผิงอันหยิบอาหารแห้งออกมา ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่บรรจุน้ำในลำธารลึกของภูเขากระจกวิเศษ แล้วเริ่มกินอาหารมื้อดึก ตลอดทางมานี้เขาใช้วิธีทะยานตัวอย่างรีบร้อน ไม่ใช่การเดินเล่นอย่างผ่อนคลายอะไรเลย
ด้านในของศาลเล็ก กองไฟหลายกองถูกก่อขึ้นมาแล้ว ดื่มเหล้ากินเนื้อ ช่างสุขสำราญ ถ้อยคำหยาบโลนดังให้ได้ยินเป็นระยะ
เทวรูปสามองค์ที่หนึ่งสูงสองเตี้ย เดิมทีเป็นเทวรูปที่มีสีสันสดใส เพียงแต่ว่ากาลเวลาไร้ปราณี สีสันที่เคยทาทับไว้จึงหลุดลอกออก ตรงกลางคือฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ ส่วนซ้ายขวาก็น่าจะเป็นสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายนาง
คิ้วตาของทั้งสามล้วนมองดูมีชีวิตชีวาเหมือนจริง โดยเฉพาะเจ้าแห่งคูน้ำท่านนั้นที่เรือนกายสูงเพรียว สวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์เพริศพริ้ง โฉมสะคราญดุจไข่มุกเม็ดงาม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!