จู๋เฉวียนพูดอย่างขุ่นเคือง “เลือกทำเป็นแกล้งโง่ใส่ข้าได้แล้ว! พูดมาคำเดียว ได้หรือว่าไม่ได้?!”
เฉินผิอันใช้สองมือนวดคลึงข้างแก้ม ปวดหัวมากจริงๆ แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะเอามาล้อเล่นกันได้ เขาจึงบอกไปตามตรงว่า “เขารู้สึกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นศิษย์น้องเล็กของเขาได้ นี่เป็นประโยคที่เขาพูดต่อหน้าข้าเอง ดังนั้นก่อนหน้านี้ข้าถึงได้บอกว่าต้องไปขอร้องอย่างไรล่ะ แต่ขอร้องแล้วก็ใช่ว่าเขาจะยอมตอบรับนะ”
จู๋เฉวียนฟาดฝ่ามือออกไป เฉินผิงอันเอนตัวหงายไปด้านหลัง รอจนแขนข้างนั้นลอยหวือพ้นเหนือศีรษะไปแล้ว เขาถึงได้ลุกขึ้นนั่งตัวตรง
จู๋เฉวียนหดมือกลับอย่างขุ่นเคือง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าจะเอาเหล้าคืนให้เจ้า ตกลงไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้จริงๆ”
จู๋เฉวียนตบเข่าฉาด “อิดออดร่ำไร มิน่าเล่าจั่วโย่วถึงได้ไม่ยอมรับศิษย์น้องเล็กอย่างเจ้า”
ทว่าจนกระทั่งบัดนี้ ในที่สุดจู๋เฉวียนก็พอจะเข้าใจได้บ้างแล้ว
ว่าเหตุใดคนหนุ่มข้างกายถึงได้พูดกับลูกศิษย์ใหญ่ของเจ้าอารามเช่นนั้น
หากจั่วโย่วมาเยือนอุตรกุรุทวีป เขาก็คงไม่คิดจะมองผู้ฝึกตนก่อกำเนิดของอารามเสวียนตูเล็กคนนั้นจริงๆ ไม่แม้แต่จะชายตามองด้วยซ้ำ
หาใช่แค่ความต่างทางด้านขอบเขตอย่างเดียวไม่ หากเป็นเซียนกระบี่ของดินแดนกลางคงบอกได้ยาก แต่สำหรับจั่วโย่วนั้น เขาคงไม่เลือกมองเจ้าเพราะเจ้าเป็นขอบเขตบินทะยาน หรือไม่คิดจะมองเจ้าเพียงเพราะเจ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา
นี่ก็เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปให้ความเคารพเลื่อมใสจั่วโย่วมากเป็นพิเศษ
ยังคงเป็นเรื่องของจิตใจที่สำคัญ
จู๋เฉวียนมองสีท้องฟ้าแล้วก็พูดอย่างหงุดหงิดว่า “ไม่ได้การ ต้องไปแล้ว ก่อนหน้านี้บอกว่าจะพูดคุยเรื่องส่วนตัวเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะอยู่นานขนาดนี้ ข้าจะยังไม่รู้จักนิสัยของพวกอาจารย์อาอาจารย์ลุงที่ชอบวางมาดภูมิฐานสองคนนั้นของข้าอีกหรือ? หากบุรุษตาบอดสักคนยินดีแต่งงานกับข้า พวกเขาก็คงปรบมือร้องว่าดีด้วยซ้ำ ไม่แน่ว่าอาจจะยังบีบน้ำตา จากนั้นก็ยกบุรุษผู้นั้นขึ้นหิ้งบูชาดุจพระโพธิสัตว์ จบกัน หากข้ากลับไปสาย สายตาที่ตาแก่สองคนนั้นมองข้าจะต้องมั่นใจแน่แล้วว่าข้ากับเจ้าทำอะไรกันอยู่ในทะเลเมฆ มารดามันเถอะ ชื่อเสียงองอาจของเหล่าเหนียง (ในที่นี้คือคำเรียกขานตัวเองของสตรีที่แฝงไว้ด้วยความลำพองใจในตัวเอง คล้ายเวลาที่ผู้ชายเรียกตัวเองว่าข้าผู้อาวุโส) ย่อมต้องถูกทำลายลงในวันนี้ ชื่อเสียงว่าข้าเป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อนคงต้องกระฉ่อนไปทั่วภูเขามู่อีอย่างแน่นอน”
ตัวจู๋เฉวียนเองยังไม่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมสักเท่าไร กลับกลายเป็นว่าคนหนุ่มผู้นั้นตระหนกลนลานยิ่งกว่านาง เขารีบลุกขึ้นยืน ถอยหลังไปสองก้าว พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ขอร้องเจ้าสำนักจู๋ได้โปรด จำเป็นต้อง ห้ามไม่ให้ต้นตอข่าวลือพวกนี้ผุดขึ้นมาได้ อย่างเด็ดขาด! ไม่อย่างนั้นชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่ไปเยือนภูเขามู่อีอีกเลย!”
จู๋เฉวียนประหลาดใจนัก เจ้าเด็กนี่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง เวลารับมือกับเกาเฉิงก็ไม่เคยเห็นว่าเขาจะขมวดคิ้วเลยสักครั้ง แต่ทำไมเวลานี้ถึงได้หน้าซีดขาวเสียได้?
เหล่าเหนียงหน้าตาอัปลักษณ์ขนาดนั้นเลยหรือ? ก็ได้ ข้ารู้ว่าข้าไม่ได้หน้าตางดงามสักเท่าไร
จู๋เฉวียนยังไม่ทันยื่นมือออกไป เจ้าตะพาบน้อยผู้นั้นก็รีบหยิบเอาเหล้าหมักตระกูลเซียนกาหนึ่งออกมา ไม่เพียงเท่านี้ เขายังเอ่ยอีกว่า “ตอนนี้ข้าเหลืออีกแค่ไม่กี่กาแล้วจริงๆ ขอติดไว้ก่อน รอให้การเดินทางในอุตรกุรุทวีปของข้าสิ้นสุดลงเสียก่อน จะต้องนำสุราดีๆ มาเพิ่มให้เจ้าสำนักจู๋แน่นอน”
จู๋เฉวียนโบกมือ รับสุราดีของคนเขามาตั้งสามกาแล้ว กาที่อยู่ในมือนี่ก็ยังดื่มไม่หมดเลย
คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะโยนกาเหล้ามาให้แล้ว “เจ้าสำนักจู๋ ส่วนที่เหลือขอติดไว้ก่อน คราวหน้าหากมีโอกาสไปเป็นแขกที่ภูเขามู่อีก็ค่อยว่ากัน หากไม่มีโอกาสได้ไปเยือนสำนักพีหมา ข้าจะฝากคนให้นำไปมอบให้ที่ภูเขามู่อี”
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น เรียกเจี้ยนเซียนกลับมา แล้วก็ขี่กระบี่เผ่นหนีไปด้วยความรวดเร็ว
จู๋เฉวียนอุ้มแม่นางน้อยชุดดำขึ้นมาเบาๆ กล่าวอย่างสงสัยว่า “ไอ้หมอนี่คงไม่ขาดสตรีมาชื่นชอบหรอกกระมัง อีกทั้งยังมีความคิดเป็นของตัวเองเช่นนี้ อายุยังน้อย ทว่าความสามารถกลับไม่น้อยเลยจริงๆ เหตุใดถึงยังเป็นแบบนี้ได้นะ?”
จู๋เฉวียนส่ายหน้า ไม่คิดให้มากความอีก เกาเฉิงต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่ขนาดนี้ หุบเขาผีร้ายย่อมไม่สงบสุขแน่
นางทะยานลมมุ่งหน้าลงใต้
ส่วนคำพูดบางอย่าง ใช่ว่านางไม่อยากพูด เพียงแต่ว่าพูดไม่ได้
ปมในใจมีเพียงตัวเองเท่านั้นถึงจะคลายออกได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ยามอยู่ในสังคมมองดูเหมือนว่าจะไม่ชอบทำอะไรดึงดันที่กลับจะกลายเป็นคนดื้อรั้นดึงดันมากที่สุด
แม้แต่เทพเซียนก็ยากจะช่วยได้
ทางฝั่งของเรือข้ามฟาก
บัณฑิตชุดขาวสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง พลิ้วกายลงบนราวระเบียง ดีดปลายเท้าหนึ่งครั้ง ชายแขนเสื้อสีขาวหิมะกว้างใหญ่โบกสะบัด เขาพุ่งตรงกลับห้องผ่านทางหน้าต่างบานนั้น ครั้นจึงปิดหน้าต่างลง
เส้นเอ็นหัวใจของติงถงที่นั่งนิ่ง ‘ชมทัศนียภาพ’ อยู่ที่เดิมพลันคลายตัวลง ร่างของเขาหงายผลึ่งลงไปกระแทกกับพื้นกระดานเรือ
บนระเบียงชั้นสองไม่มีคนอยู่แล้ว เพราะในความเป็นจริงแล้ว ผู้โดยสารทุกคนบนชั้นสองต่างก็เปิดแน่บถอยกลับเข้าห้องใครห้องมันกันไปหมดนานแล้ว
ทางฝั่งของเรือข้ามฟากก็เป็นกังวลว่าจู่ๆ จะเจอกับหนึ่งกระบี่ฟันผ่าลงมา แล้วเรือลำนี้ก็จะไม่เหลืออยู่แล้ว
ผู้ดูแลที่ตอนนั้นขายรายงานข่าวให้แก่ภูตน้ำน้อยก็ไม่ได้มีสภาพดีกว่าติงถงสักเท่าไร
คู่พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากนี่นะ
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ตบะที่สูงส่งของเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้น
แต่เป็นนิสัยที่ยากจะคาดเดาของเขาต่างหาก
ไม่อย่างนั้นเมื่อหนึ่งกระบี่ผ่านพ้นไป จะเป็นหรือตายก็ล้วนเป็นเรื่องที่รวดเร็วฉับไว ไม่โขกหัวคำนับวิงวอน ก็แค่ต้องชดใช้ด้วยเงินชดใช้ด้วยชีวิต
ทว่าไอ้หมอนั่นที่สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นได้กลับมองเจ้าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอบอุ่นประหนึ่งบิดามองบุตร พูดจาปรองดองเหมือนพี่น้องที่สนิทสนมกัน ทว่ากลับมีวิธีการมากมายไม่สิ้นสุดอย่างที่เจ้าคาดไม่ถึง
เจ้าจะทำอะไรได้? แล้วจะกล้าทำอะไร?
บรรยากาศในห้องของเว่ยป๋ายค่อนข้างจะเคร่งเครียด ตกอยู่ในสภาวะอับจนหนทาง
ตามหลักแล้ว ผู้ถวายงานใหญ่แห่งจวนเถี่ยชางตายไปคนหนึ่ง สำหรับคนทั้งสกุลเว่ยแล้ว ผู้ฝึกยุทธร่างทองที่มีชาติกำเนิดมาจากสนามรบตายไปคนหนึ่ง จะบอกว่าความเสียหายไม่มากก็คงไม่ใช่ เว่ยป๋ายควรจะชั่งน้ำหนักของทั้งสองฝ่ายให้ดี ทว่าเมื่อปรึกษากับหญิงชราอยู่ในห้องแล้ว กลับเหมือนว่าจะหากลยุทธดีๆ ที่เหมาะสมไม่ได้เลย ราวกับว่าไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรก็อาจจะยิ่งเป็นการทำผิดซ้ำซาก ผลลัพธ์ที่ตามมายากจะคาดการณ์ ถึงขั้นที่ว่าอาจไม่สามารถเดินลงจากเรือข้ามฟากไปโดยที่มีชีวิตอยู่ได้ ไม่มีโอกาสได้ไปคุมสถานการณ์ให้มั่นคงอีกครั้งที่สวนน้ำค้างวสันต์ แต่หากไม่ทำอะไรเลยสักอย่างก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังรนหาที่ตายอีกนั่นแหละ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!