จากนั้นโจวหมี่ลี่ก็เห็นว่าเผยเฉียนที่ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือกระโดดตัวขึ้น ไปพลิ้วกายอยู่ข้างคนชุดขาวผู้นั้นพอดี แล้วนางก็วาดไม้เท้าออกไปในแนวขวาง
โจวหมี่ลี่เบิกตากว้าง นี่มันเรื่องอะไรกัน ไม้นี่กวาดออกไปค่อนข้างจะช้าอยู่นะ ช้าจนถึงขั้นที่ว่ายามมดย้ายรังยังเร็วกว่าเสียอีก
ส่วนคนชุดขาวผู้นั้นก็เอนตัวไปด้านหลังอย่างเชื่องช้า ชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะทั้งสองข้างค่อยๆ ตวัดขึ้นเหมือนกระดาษเซวียนจื่อสองแผ่นที่ถูกคลี่ออกช้าๆ
หลบพ้นไม้เท้าเดินป่าที่ฟาดเข้าใส่ได้พอดี
ต่อมาก็เป็นเจ้าส่งมาข้าปล่อยกลับ ยังคงช้าจนชวนให้คนตกใจตาย เจ้าฟาดไม้ใส่ ข้ายกขาขึ้นต้าน โจวหมี่ลี่รู้สึกว่าป่านนี้ตนน่าจะวิ่งไปกลับตรอกฉีหลงได้รอบหนึ่งแล้ว
เวลานี้สองคิ้วของโจวหมี่ลี่ขมวดจนแทบจะเป็นก้อนเดียวกัน นางมองแล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ นะ
สุดท้ายเผยเฉียนกับคนชุดขาวที่หน้าตาหล่อเหลามากๆ แต่สมองก็มีปัญหามากๆ ผู้นั้นก็หยุดมือแทบจะเวลาเดียวกัน ต่างคนต่างทำท่ากดลมปราณไว้ตรงจุดตันเถียน
เผยเฉียนอืมหนึ่งที “ยอดฝีมือ! สามารถต้านรับหกกระบวนท่าของวิชากระบี่มารคลั่งชุดนี้ของข้าไว้ได้ คิดจะเล่นงานคนทั้งยุทธภพในหนึ่งแคว้นได้อย่างไร้ศัตรูทัดเทียมก็เพียงพอเหลือแหล่!”
คนชุดขาวผู้นั้นก็พยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง”
โจวหมี่ลี่รู้สึกมึนงงเล็กน้อย ยืนเกาหัวอยู่กับตัวเอง
จากนั้นคนชุดขาวก็ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “เจ้าคือโจวหมี่ลี่กระมัง ข้าชื่อชุยตงซาน เจ้าสามารถเรียกข้าว่าศิษย์พี่เล็กได้”
โจวหมี่ลี่รีบลุกขึ้นยืน วิ่งลงมาจากบันได ยืดคอยื่นยาวไปมองคนที่แนะนำตัวเองบอกว่าชื่อชุยตงซานผู้นั้น “เฉินผิงอันบอกว่าเจ้าอาจจะรังแกคนอื่น แต่ข้ามองดูแล้วไม่เห็นเหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้นเลย”
คนผู้นั้นโบกชายแขนเสื้อข้างหนึ่ง ตั้งมือจีบนิ้วเป็นท่าดรรชนีกล้วยไม้ อีกมือหนึ่งยกขึ้นปิดหน้า พูดอย่าง ‘เขินอาย’ ว่า “อาจารย์ของข้าชอบล้อเล่นที่สุดแล้ว”
มุมปากโจวหมี่ลี่กระตุก หันหน้าไปมองเผยเฉียน
เผยเฉียนเตะน่องเล็กของชุยตงซานไปหนึ่งที “เป็นการเป็นงานหน่อย อย่าให้อาจารย์ข้าต้องขายหน้า”
ชุยตงซานกระแอมสองที ก่อนจะย่อตัวลงนั่งยอง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แค่ยืนเฉยๆ ก็พอ”
โจวหมี่ลี่กะพริบตาปริบๆ
คนผู้นั้นยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาดันไว้ที่หว่างคิ้วของนางเบาๆ
โจวหมี่ลี่รู้สึกสะลืมสะลือ เหมือนว่าจะง่วงอยู่หน่อยๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร อาการปวดแสบก็แล่นปลาบขึ้นตรงหว่างคิ้วของโจวหมี่ลี่ จากนั้นก็ไม่มีอะไรผิดปกติอีก
คนผู้นั้นลุกขึ้นยืนแล้ว เอามือข้างหนึ่งตบศีรษะของโจวหมี่ลี่เบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว ไปเถอะ กลับร้านกัน”
เผยเฉียนขมวดคิ้ว “ต้องระวังให้มากๆ หน่อยนะ นี่เป็นงานที่อาจารย์ข้ามอบหมายให้เจ้าเชียวนะ!”
ชุยตงซานเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง สองข้างกายมีแม่นางน้อยสองคนเดินขนาบ พูดด้วยสีหน้าระอาใจว่า “รู้แล้วน่า ไปกันเถอะๆ”
ด้านหน้าตรอกฉีหลิง แม่นางน้อยสองคนเดินอาดๆ เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
นี่เรียกว่าเดินอย่างกำเริบเสิบสาน ปีศาจมารล้วนพรั่นผวา
เผยเฉียนดีกับโจวหมี่ลี่มากจริงๆ นางยังเอายันต์แผ่นหนึ่งที่ตัวเองเก็บไว้เป็นอย่างดีออกมาแตะน้ำลาย แล้วแปะลงบนหน้าผากของโจวหมี่ลี่
ชุยตงซานเดินเนิบช้าตามมาด้านหลังของแม่นางน้อยทั้งสอง เขามองพวกนางแล้วก็คลี่ยิ้ม
รัศมีแห่งตะวันจันทรา
แสงแห่งเมล็ดข้าว
จากนั้นชุยตงซานก็ยกมือข้างที่ไพล่ไว้ด้านหลังขึ้นมาเบาๆ ระหว่างสองนิ้วคีบเศษซากจิตวิญญาณที่ดำสนิทเหมือนกับหมึกเม็ดหนึ่งเอาไว้
ชุยตงซานกระตุกมุมปาก “ขอโทษทีนะ มาพบเจอกับข้าชุยตงซาน ก็ถือว่าเป็นความซวยแปดชาติของเจ้าแล้ว”
……
ท่าเรือของสวนน้ำค้างวสันต์
หลังจากที่ทางศาลบรรพจารย์ได้รับกระบี่บินส่งข่าวจากถังชิงชิง บรรพจารย์ก่อกำเนิดและคนของศาลบรรพจารย์ปรึกษากันแล้วก็ตัดสินใจว่าให้ซ่งหลานเฉียวผู้ดูแลเรือข้ามฟากของสำนักหยุดดูแลเรือข้ามฟากชั่วคราว ระยะเวลาช่วงนี้ก็ให้อยู่ที่สวนน้ำค้างวสันต์ ให้เขาซ่งหลานเฉียวเป็นผู้รับรองเซียนกระบี่หนุ่มต่างถิ่นที่มาจากชายหาดโครงกระดูกผู้นั้นด้วยตัวเองจนกว่างานเลี้ยงอำลาวสันต์จะสิ้นสุด ถึงเวลานั้นหากเซียนกระบี่หนุ่มแซ่เฉินยังเต็มใจจะอยู่พักผ่อนต่อในสวนน้ำค้างวสันต์ แน่นอนว่ายิ่งดี
ซ่งหลานเฉียวมารออยู่ที่ท่าเรือเกือบจะหนึ่งชั่วยามแล้ว แต่กระนั้นเขาก็ยังอารมณ์ดีอยู่มาก ยามทักทายกับคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีก็มีรอยยิ้มจริงใจเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
ผู้ดูแลเรือข้ามฟากของใต้หล้านี้ล้วนเป็นคนที่น่าสงสารบนเส้นทางของการฝึกตน ทางสำนักไม่ทอดทิ้งก็เหมือนทอดทิ้ง ซ่งหลานเฉียวเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น นอกจากอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาแล้ว ผู้อาวุโสหลายท่านและเค่อชิงผู้ถวายงานคนอื่นๆ ในศาลบรรพจารย์ ต่อให้คนส่วนใหญ่จะมีขอบเขตพอๆ กับเขาซ่งหลานเฉียว มีเพียงแค่ส่วนน้อยที่อาวุโสมากกว่าเขาหนึ่งรุ่น แค่ชื่อเปลี่ยนจากตัวอักษรหลานเป็นตัวอักษรจู๋เท่านั้น แต่พวกเขาก็ยังไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา หนึ่งเพราะอยู่กันคนละสายในสำนัก สองเพราะรายได้ของเรือข้ามฟากตลอดทั้งปีที่ได้มาจากพืชพรรณประหลาดและวัตถุอันดีเยี่ยมที่เป็นผลผลิตของเทือกเขาเจียมู่นั้น อันที่จริงเงินเทพเซียนไม่เคยผ่านมือเขา บนเรือข้ามฟากจะมีคนสนิทที่เป็นผู้สืบทอดสายตรงของศาลบรรพจารย์คอยรับผิดชอบทำหน้าที่สานสัมพันธ์กับกลุ่มอิทธิพลตระกูลเซียนอื่นๆ โดยเฉพาะ เขาก็แค่อาศัยสถานะของเจ้าของเรือมาช่วงชิงส่วนแบ่งที่เป็นดั่งเศษซากน้ำแกงเหลือๆ ถ้วยหนึ่งเท่านั้น หากได้ส่วนพิเศษเกินมา ทางศาลบรรพจารย์ยังซักไซร้เอาผิดว่าได้มากเกินไป อาจไม่ถึงขั้นยากลำบากเกินบรรยาย แต่ถึงอย่างไรชีวิตที่สุขสบายก็มีได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้น
เรือข้ามฟากลำหนึ่งค่อยๆ จอดเทียบท่าช้าๆ จากนั้นท่าเรือฝูสุ่ยของสวนน้ำค้างวสันต์ที่เจริญรุ่งเรืองผิดจากที่อื่น รวมไปถึงเรือข้ามฟากน้อยใหญ่ที่มาจากสถานที่ต่างๆ ของอุตรกุรุทวีปก็สังเกตเห็นเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง
ผู้โดยสารบนเรือลำนั้นกลับไม่มีใครสักคนที่ทะยานลมลงมา แล้วก็ไม่มีใครกระโดดลงมา ทุกคนต่างพากันเดินมาตามทางเดินลงเรือสองด้านแต่โดยดีอย่างไม่มีข้อยกเว้น ไม่เพียงเท่านี้ พอลงเรือมาแล้วแต่ละคนกลับทำหน้าเหมือนคนที่เพิ่งรอดพ้นจากความตายมาได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!