กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 515

หลิ่วชิงจื้อถาม “ไปดื่มชาที่หน้าผาอวี้อิ๋งของข้าไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เซียนกระบี่หลิ่วคล้ายจะเข้าใจข้าผิด ไม่กล้าไปดื่มชาที่หน้าผาอวี้อิ๋ง กลัวว่านั่นจะเป็นสุราลงทัณฑ์เสียมากกว่า”

หลิ่วชิงจื้อกล่าว “ความชื่นชอบที่ข้ามีต่อน้ำพุใสของหน้าผาอวี้อิ๋งนั้นเหนือกว่าบ่อสายฟ้าของตำหนักจินอูมากนัก”

เฉินผิงอันพูดดั่งคนที่กระจ่างแจ้งในฉับพลัน “ถ้าอย่างนั้นก็ดี พวกเราสองคนจะเดินไปหรือว่าทะยานลมกันไป?”

หลิ่วจื้อชิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตามใจเจ้า”

เฉินผิงอันจึงมองไปยังผู้ฝึกตนหญิงของสวนน้ำค้างวสันต์ที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายตรงของโอสถทองท่านหนึ่ง “รบกวนเทพธิดาเรียกเรือกระดาษยันต์ออกมาส่งพวกเราไปที”

สตรีหน้าตางดงามผู้นั้นย่อมไม่มีความเห็นต่าง การที่ได้โดยสารเรือมุ่งหน้าไปยังหน้าผาอวี้อิ๋งกับเซียนกระบี่หลิ่วถือเป็นเกียรติที่ต่อให้ขอร้องก็ยังไม่ได้มา แล้วนับประสาอะไรกับที่แขกผู้มีเกียรติที่มาพักในจวนจิงเจ๋อตรงหน้านี้คือแขกสูงศักดิ์อันดับหนึ่งของสวนน้ำค้างวสันต์ แม้จะบอกว่ามีแค่ซ่งหลานเฉียวที่เป็นอาจารย์อาโอสถทองของสายอื่นเดินทางมาส่งเพียงลำพัง เทียบกับขบวนผู้ติดตามยามที่เซียนกระบี่หลิ่วเข้ามาในภูเขาช่วงแรกไม่ได้ แต่ในเมื่อสามารถมาพักอยู่ที่นี่ได้ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่คนธรรมดา

หน้าผาอวี้อิ๋งไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของป่าไผ่ ตอนนั้นเพื่อป้องกันข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเซียนกระบี่ทั้งสอง ศาลบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์ถึงได้ตั้งใจจัดที่พักเช่นนี้

เรือน้อยกระดาษยันต์ลอยขึ้นกลางอากาศจากไปไกล ป่าไผ่ใต้ฝ่าเท้าของคนทั้งสามกว้างใหญ่ไพศาลเหมือนทะเลเมฆสีเขียวมรกต ยามลมภูเขาพัดโชยก็พลิ้วไสวไปตามสายลม งดงามเหนือคำบรรยาย

ครั้งนี้ผู้ฝึกตนหญิงไม่ได้ต้มชารับรองแขก เพราะหากคิดจะแสดงฝีมือการชงชาอันน้อยนิดของตนต่อหน้าเซียนกระบี่หลิ่ว ก็นับเป็นการสร้างเรื่องตลกให้ผู้คนขำขันโดยแท้

มาถึงท่าเรือขนาดเล็กของหน้าผาอวี้อิ๋ง หลิ่วจื้อชิงกับเฉินผิงอันลงจากเรือมาแล้ว เฉินผิงอันก็ถามอย่างประหลาดใจว่า “เซียนกระบี่หลิ่วไม่รู้กฎของที่นี่งั้นหรือ?”

หลิ่วจื้อชิงถามอย่างกังขา “กฎอะไร?”

เฉินผิงอันกล่าว “เทพธิดาขับเรือ ผู้โดยสารก็ควรตกรางวัลเป็นเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญตอบแทน”

ผู้ฝึกตนหญิงของจวนจิงเจ๋อผู้นั้นมีสีหน้ามึนงง

หลิ่วจื้อชิงกลับร้องอ้อหนึ่งคำแล้วโยนเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งให้นาง เสียงติ๊งดังขึ้น สุดท้ายมันก็ไปหยุดลอยนิ่งอยู่เบื้องหน้านางเบาๆ หลิ่วจื้อชิงเอ่ยว่า “เมื่อก่อนเป็นข้าที่เสียมารยาทแล้ว”

หลิ่วจื้อชิงเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า “เดินไปอีกพันกว่าก้าว ก็คือน้ำพุกระบอกไม้ไผ่ของหน้าผาอวี้อิ๋งแล้ว”

เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน “ได้ยินมาว่าเซียนกระบี่หลิ่วซื้อหน้าผาอวี้อิ๋งมาจากสวนน้ำค้างวสันต์แล้ว”

หลิ่วจื้อชิงพยักหน้ารับ “ห้าเหรียญเงินฝนธัญพืช ระยะเวลาจำกัดห้าร้อยปี ตอนนี้ผ่านไปสองร้อยกว่าปีแล้ว”

เฉินผิงอันหันหน้ามา “เทพธิดากลับไปก่อนได้เลย ถึงเวลานั้นข้าจะกลับไปป่าไผ่เอง จำทางได้แล้ว”

ผู้ฝึกตนหญิงพยักหน้ารับ นางลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ไม่ได้เปิดปากเอ่ยอะไร หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการทำลายอารมณ์สุนทรีของแขกผู้มีเกียรติทั้งสอง นางคิดว่าจะกลับไปปรึกษากับอาจารย์ของตนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะรับเงินร้อนน้อยที่ได้มาอย่างน่าประหลาดใจเหรียญนั้นดีหรือไม่ เรือยันต์ลำน้อยนั้นทางสวนน้ำค้างวสันต์ทุ่มเงินก้อนใหญ่จ้างตำหนักไท่เจินให้สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ เรือลำนี้มีรูปลักษณ์โบราณเรียบง่ายแต่งดงาม อีกทั้งหากบินผ่านสถานที่ที่ปราณวิญญาณค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ก็จะมีตัวอักษรบทกวีที่สลักอยู่บนผนังด้านข้างของเรือลอยขึ้นมา หากแขกได้เห็นถ้อยคำที่ตัวเองชื่นชอบก็ยังสามารถเอาตัวอักษรนั้นๆ ไปได้ตามต้องการเหมือนการใช้มือวักน้ำ จากนั้นจะเอามันไปใส่ไว้บนหน้าพัดหรือหน้าหนังสือก็ได้ ตัวอักษรจะดำรงอยู่ยาวนานไม่สลายหายไปไหน มีท่วงทำนองอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

เรื่องที่แขกจะเอาตัวอักษรไปจากเรือยันต์นั้นเป็นสิ่งที่สวนน้ำค้างวสันต์ยินดีจะเห็นมาโดยตลอด

ก่อนหน้านี้ซ่งหลานเฉียวก็แนะนำเรื่องนี้ไปแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันยังเกรงใจที่จะลงมือ เวลานี้เดินทางมากับหลิ่วจื้อชิงจึงไม่มีความเกรงใจอีก เขาเอาตัวอักษรสองประโยคมา ‘วางไว้’ บนหน้าพัด รวมกันได้สิบคำ ตำราวิเศษซ่อนถ้ำสวรรค์ ดำรงนานลอยค้างอยู่ในอวี้จิง

เดินเคียงบ่าหลิ่วจื้อชิงอยู่บนทางเส้นเล็กที่ปูด้วยแผ่นหินสีเขียวมุ่งหน้าไปยังน้ำพุใสบ่อนั้น เฉินผิงอันคลี่หน้าพัดโบกเบาๆ ตัวอักษรสิบตัวแถวนั้นก็เหมือนพืชน้ำที่กระเพื่อมแผ่วพลิ้ว

หลิ่วจื้อชิงเอ่ยเบาๆ “ถึงแล้ว”

ริมหน้าผาอวี้อิ๋งมีศาลาลมเย็นมุงแฝกอยู่หลังหนึ่ง ห่างไปไกลอีกนิดยังมีกระท่อมที่มีรั้วหยาบๆ ล้อมรอบอีกหนึ่งหลัง

ในศาลาลมเย็นมีโต๊ะและอุปกรณ์ชงชาวางไว้ครบครัน ด้านใต้หน้าผาก็คือบ่อน้ำใสกระจ่างที่ใสจนมองเห็นก้นบึ้ง น้ำใสแต่กลับไร้ปลา ใต้น้ำมีเพียงหินไข่ห่านงดงามที่ส่องประกายแสงแวววาว

เฉินผิงอันนั่งลงตรงข้ามกับบรรพจารย์อาน้อยของตำหนักจินอูแล้วก็หุบพัดเข้าด้วยกัน ยิ้มกล่าวว่า “ดื่มชานั้นช่างเถิด เซียนกระบี่หลิ่วบอกมาเถอะว่า มาหาข้ามีธุระอันใด?”

หลิ่วจื้อชิงยิ้มกล่าว “เจ้าไม่ดื่ม แต่ข้ายังต้องดื่ม”

หลิ่วจื้อชิงใช้มือข้างหนึ่งวาดอักษรสองคำว่า ‘ฮว่อเจิน’ (ไฟที่แท้จริง) ลงบนพื้นผิวโต๊ะชา อักขระยันต์สองตัวมีประกายแสงสีทองไหลเวียนวน ไม่นานตัวอักษรแต่ละตัวก็แปรเปลี่ยนจากขีดอักษรหลายเส้นมารวมกันเป็นเส้นเดียว กลายเป็นเจียวเพลิงสีแดงสองเส้นที่ล้อมวนขดตัวอยู่รอบโต๊ะอย่างเชื่องช้า จากนั้นหลิ่วจื้อชิงก็โบกชายแขนเสื้อเบาๆ คล้ายมังกรดูดน้ำ น้ำพุในบ่อที่มีน้ำหนักหลายจินก็พากันบินมาอยู่เหนือโต๊ะ รวมตัวกันกลายเป็นหยดน้ำ จากนั้นเขาก็หยิบถ้วยชาเคลือบกระเบื้องใบหนึ่งมาวางไว้ด้านข้าง น้ำพุเดือดพล่านด้วยตัวเอง ครู่หนึ่งต่อมาหลิ่วจื้อชิงก็หยิบใบชาในโถออกมาสองสามใบ โยนลงถ้วยชาเบาๆ ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง น้ำพุใสที่เดือดจัดก็เหมือนสายน้ำเส้นเล็กที่แยกตัวมา ไหลริกๆ ลงสู่ถ้วยกระเบื้องเคลือบ เต็มเจ็ดส่วนของถ้วยพอดี

หลิ่วจื้อชิงยกถ้วยขึ้นดื่มชาช้าๆ

เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่า “ขอให้ข้าถ้วยหนึ่ง”

หลิ่วจื้อชิงหัวเราะ คีบถ้วยชาอีกใบมาวางด้านหน้าตน แล้วก็รินชาให้เฉินผิงอันหนึ่งถ้วย ผลักออกไปเบาๆ ถ้วยชาก็ไถลไปหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันดื่มไปแล้วหนึ่งอึกก็พยักหน้าเอ่ยว่า “เซียนกระบี่หลิ่วคือยอดฝีมือนอกโลกคนที่สองที่ข้าเคยพบเจอมาซึ่งต้มชาได้ดี”

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าพูดจริงทุกประโยค จริงใจทุกคำ!”

หลิ่วจื้อชิงโบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง “ขออภัยที่ไม่ได้ไปส่ง”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ใช้มือหนึ่งโบกพัด อีกมือหนึ่งปัดผ่านหน้าโต๊ะ ดึงเอาน้ำพุส่วนหนึ่งมาจากน้ำพุเดือดพล่านบนยันต์ที่อยู่บนผิวโต๊ะ แล้วแตะจุดน้ำไว้ตรงหน้าตัวเองสองจุด ใช้สองจุดนี้เป็นต้นและปลายสองตำแหน่ง จากนั้นก็ลากเส้นตรงหนึ่งเส้นจากอีกฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง แล้วค่อยใช้ปลายนิ้วแตะตรงปลายด้านหนึ่ง ปาดไปทางขวามือช้าๆ จนกระทั่งถึงปลายอีกฝั่งหนึ่งจึงหยุด “ไม่มองมุมกว้าง มองแค่เวลานี้ สถานที่นี้และคนบางคนเท่านั้น สมมติว่าเส้นเส้นนี้คือฟ้าดินขนาดเล็กที่เซียนกระบี่หลิ่วอยู่ ถ้าอย่างนั้นเซียนกระบี่หลิ่วคือผู้ฝึกตนที่เกิดและเติบโตมาในตำหนักจินอู สภาพจิตใจอยู่ที่ปลายทางด้านนี้ ส่วนสภาพจิตใจและขนบธรรมเนียมของคนในตำหนักจินอูก็มีอยู่ตรงนี้ ตรงนี้ และตรงนี้ ขยับเคลื่อนไปเรื่อยๆ อยู่ห่างไกลจากจิตใจของเจ้า ผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นฮูหยินของเจ้าสำนักที่นิสัยอำมหิต จิ้นเยว่ผู้ฝึกกระบี่ที่กำเริบเสิบสานนั้นล้วนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง รวมกันเป็นก้อนตรงนี้ ผู้ฝึกกระบี่หลิ่วที่ฝึกตนอยู่ในตำหนักจินอูจึงรู้สึกว่าไม่ว่าที่ใดก็ขวางหูขวางตา นี่ก็เพราะว่าขอบเขตของเจ้าสูงมากพอ ลำดับอาวุโสก็สูงยิ่งกว่า จึงสามารถรักษาจิตดั้งเดิมของตนเอาไว้ได้ แต่ก็ได้แค่หยุดอยู่ตรงนี้แล้ว เพราะเซียนกระบี่หลิ่วคิดแต่จะฝึกกระบี่อย่างเดียว อยากเดินขึ้นสู่ที่สูงทอดสายตามองไปไกล ใจหวังจะใช้ผู้ฝึกตนเซียนดินมาเป็นหินลับกระบี่ของตัวเอง คร้านจะไปสนใจเรื่องหยุมหยิมขี้หมูราขี้หมาแห้งใต้เปลือกตาเหล่านั้น เพราะรู้สึกว่าเปลืองเวลา อืดอาดชักช้า ถูกหรือไม่?”

หลิ่วจื้อชิงพยักหน้ารับเบาๆ นั่งตัวตรงอย่างสำรวม “เป็นเช่นนี้จริง”

เฉินผิงอันยกมือขึ้นอีกครั้ง ชี้นิ้วไปยังปลายด้านที่เป็นตัวแทนสภาพจิตใจของหลิ่วจื้อชิงแล้วพลันถามว่า “เรื่องของการออกกระบี่ เหตุใดจึงสละใกล้แสวงหาไกล? ผู้ที่สามารถเอาชนะคนอื่น กับผู้ที่สามารถเอาชนะตัวเอง ล่างภูเขาเลื่อมใสฝ่ายแรก แต่ดูเหมือนว่าคนบนภูเขาจะเลื่อมใสฝ่ายหลังมากกว่ากระมัง? ผู้ฝึกกระบี่มีพลังพิฆาตยิ่งใหญ่ ถูกขนานนามให้เป็นอันดับหนึ่งของใต้หล้า ถ้าอย่างนั้นยังจำเป็นต้องถามใจฝึกใจอีกหรือไม่? กระบี่บินเล่มนั้น กระบี่พกประจำตัวเล่มนั้นของผู้ฝึกกระบี่ กับเจ้านายที่บังคับพวกมัน สรุปแล้วทั้งเรื่องของวัตถุและเรื่องของจิตใจนี้ล้วนจำเป็นต้องบริสุทธิ์ไร้มลทินทั้งสองอย่างเลยหรือไม่?”

เฉินผิงอันหุบมือกลับมา ใช้พัดพับเคลื่อนจากปลายฝั่งซ้ายไปช้าๆ ชี้ไปยังปลายฝั่งขวาสุด “เจ้าหลิ่วจื้อชิงสามารถออกกระบี่ตามวิถีโคจรนี้จนกระทั่งจิตแห่งกระบี่โปร่งโล่งกระจ่างแจ้งได้หรือไม่?”

หลิ่วจื้อชิงจมอยู่ในภวังค์ความคิด

เฉินผิงอันพลันถามอีกว่า “เซียนกระบี่หลิ่วเป็นคนบนภูเขามาตั้งแต่เด็ก หรือว่าขึ้นเขาไปฝึกตนตอนอายุยังน้อย?”

หลิ่วจื้อชิงจ้องนิ่งไปที่เส้นนั้น เอ่ยเบาๆ ว่า “นับตั้งแต่จำความได้ก็อยู่บนภูเขาตำหนักจินอูแล้ว ติดตามอาจารย์ผู้มีพระคุณฝึกตน ไม่เคยสนใจเรื่องทางโลก”

เฉินผิงอันทอดถอนใจหนึ่งที ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็คิดเสียว่าข้าไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน แค่แนะนำเซียนกระบี่หลิ่วว่าวันหน้าควรลงจากเขาบ่อยๆ ออกเดินทางไกลให้มากๆ หน่อย”

หลิ่วจื้อชิงยกมือขึ้นแล้วกดลงบนความว่างเปล่าสองที “แม้ข้าจะไม่เชี่ยวชาญการจัดการธุระต่างๆ แต่สำหรับเรื่องของใจคนนั้น ไม่กล้าพูดว่ามองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง ดังนั้นเจ้าเลิกใช้ลูกไม้ของพวกคนในยุทธภพมาแกล้งหลอกข้าเสียทีเถอะ หน้าผาอวี้อิ๋งที่ถือว่าสวนน้ำค้างวสันต์กึ่งขายกึ่งยกให้ข้าแห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าต้องการครอบครอง หากนำไปขายต่อ เวลาอีกสามร้อยปีกว่าที่เหลืออยู่ อย่าว่าแต่เงินฝนธัญพืชสามเหรียญเลย ราคาเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัวก็ยังไม่ยาก หากโชคดี สิบเหรียญก็ยังมีหวัง”

คนผู้นั้นรีบนั่งกลับลงไปที่เดิมดังคาด แล้วยิ้มเอ่ยว่า “ทำการค้ากับคนฉลาดก็มักจะรวดเร็วฉับไวเช่นนี้”

หลิ่วจื้อชิงเงยหน้าขึ้น ถามอย่างสงสัย “เจ้าสนใจเรื่องทรัพย์สินเงินทองมากขนาดนี้เชียวหรือ? จำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือไร?”

เห็นเพียงว่าบัณฑิตชุดขาวคนนั้นถอนหายใจหนึ่งที “ผู้ฝึกตนอิสระที่น่าสงสาร หาเงินก้อนใหญ่ได้ไม่ง่ายเลยนี่นา”

หลิ่วจื้อชิงส่ายหน้า คร้านจะถือสาคำพูดเหลวไหลของคนผู้นี้

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!