บุรุษสวมชุดเขียวคนหนึ่งเดินทางผ่านแคว้นหลันฝาง มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปตลอดทาง
แคว้นหลันฝางมีชื่อเสียงด้านดอกกล้วยไม้ที่ล้ำค่า คนทั้งแคว้นเหมือนเสียสติที่ไม่เห็นคุณค่าของทองคำ แต่ละครอบครัวมีรากฐานดีหรือไม่ดีก็แทบจะดูแค่ที่ว่ามีดอกกล้วยไม้ที่มูลค่าสูงเทียมฟ้าอยู่กี่ต้นเท่านั้น
นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรที่พิเศษอีก เพียงแต่ว่าก็มีขนบธรรมเนียมบางอย่างที่ทำให้คนจดจำได้ลึกซึ้ง ยกตัวอย่างเช่นสตรีแต่งงานแล้วจะชอบโยนเงินทองลงในแม่น้ำเพื่อเสี่ยงทายชะตา ชาวบ้านในแคว้นไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจนก็ล้วนชอบปล่อยสัตว์ เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมทั่วทั้งราชสำนัก เพียงแต่ว่าภาพเหตุการณ์ที่ลำน้ำตอนบนปล่อยสิ่งมีชีวิตกันอย่างจริงใจ ส่วนลำน้ำตอนล่างจับปลาจับตะพาบกันอย่างจริงจังก็มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย และยิ่งมีคนลากจูงเรือที่ไม่ว่าจะเป็นชายฉกรรจ์หรือสตรีโตเต็มวัยก็มักจะเปลือยท่อนบน ปล่อยให้แสงแดดสาดส่องแผ่นหลัง รอยเชือกที่กดทับลึกเหมือนร่องน้ำในผืนนาแตกระแหง และยังมีสถานที่ต่างๆ ที่หากเจอกับภัยแล้งหรือน้ำท่วมก็มักจะชอบแห่ราชามังกรกระดาษวนไปรอบถนน แต่กลับไม่ได้เป็นการขอฝนหรือขอไม่ให้ฝนตกจากราชามังกร แต่จะเอาแส้ฟาดโบยใส่ราชามังกรกระดาษอย่างต่อเนื่อง จนกว่ามันจะฉีกขาดยับเยิน
ทางทิศเหนือของแคว้นหลันฝางคือแคว้นชิงสือ ทั้งจักรพรรดิและขุนนางคนสำคัญล้วนเลื่อมใสลัทธิเต๋า มีอารามเต๋ามากมายดุจก้อนเมฆ สยบกำราบลัทธิพุทธอย่างไร้ความยำเกรง บางครั้งที่เจอวัดก็มักจะมีควันธูปบางเบา
ขยับขึ้นเหนือไปอีกนิดก็คือแคว้นจินเฟยแคว้นใต้อาณัติทางทิศใต้ของราชวงศ์ต้าจ้วน ให้ความสำคัญกับวิชายุทธการต่อสู้เป็นอย่างยิ่ง ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดแทบจะมองเห็นคนต่อยตีกันได้ทุกหนแห่ง อีกทั้งยังจริงจังถึงขั้นเห็นเลือด พวกเด็กหนุ่มที่แข็งแกร่งของตระกูลเศรษฐีก็มักจะชอบพกดาบพกธนู จับกลุ่มกันควบม้าออกเดินทางไกล รอบกายห้อมล้อมด้วยหญิงคณิกา ออกล่าเหยื่อไปทั่วทิศราวกับว่ารอบกายไร้ผู้คน จักรพรรดิของแคว้นจินเฟยนั้นมีชาติกำเนิดมาจากสนามรบ ถือเป็นคนที่ใช้อำนาจยึดครองบัลลังก์แย่งชิงเก้าอี้มังกรมาครอง ให้ความเลื่อมใสบู๊กดบุ๋นให้ต่ำ ในราชสำนักจึงมักจะมีขุนนางบุ๋นชั้นสูงที่ถูกต่อยจนหน้าบวมเขียวช้ำถอยออกจากท้องพระโรงกลับบ้านไปพักรักษาตัว
เรื่องเหลือเชื่อของที่อื่น เมื่ออยู่ในสายตาของชาวบ้านแคว้นจินเฟยแล้วกลับเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง เรื่องทำนองว่ามหาบัณฑิตถูกถ่มน้ำลายใส่หน้า เจ้ากรมพิธีการที่ปากเอ่ยแต่หลักการเหตุผลอริยะปราชญ์เถียงชนะหมัดเหล็กของแม่ทัพใหญ่ไม่ได้ ฯลฯ ล้วนเป็นได้แค่เรื่องที่คนจะเอามาพูดคุยกันหลังมื้ออาหารเท่านั้น
ตลอดทางมานี้เจอกับฝนโปรยปรายบนสะพานเลียบหน้าผา ม่านฝนเหมือนผ้าม่าน เสียงฝนประหนึ่งเสียงสายลมแผ่วเบาคลอเคล้าด้วยเสียงระฆัง
มีคนตัดฟืนผู้หนึ่งไปเจอกับดอกกล้วยไม้ต้นหนึ่งในเขาลึกโดยบังเอิญก็เต้นแร้งเต้นการาวกับเสียสติ
กลางดึกเสียงแมลงร้องดังระงม แสงจันทร์ประหนึ่งสายน้ำที่ชำระล้างชุดสีเขียว ด้านข้างกองไฟในภูเขา เปลวไฟส่ายสะบัด
กำลังจะเข้าสู่ช่วงฤดูฝนแล้ว
วันนี้เฉินผิงอันเดินช้าๆ อยู่ในป่าเขาชานเมืองของแคว้นจินเฟย สถานที่แห่งนี้มีเสือจับกลุ่มกันสร้างหายนะ ดังนั้นลูกหลานชนชั้นสูงที่ชอบผดุงคุณธรรมของแคว้นจินเฟยจึงมักจะมาล่าสัตว์ที่นี่ ตลอดทางที่เดินผ่านมาเฉินผิงอันเห็นกลุ่มคนพกดาบพกธนูออกมาล่าสัตว์กันหลายกลุ่ม พวกเขาไปมาราวกับสายลม อีกทั้งส่วนใหญ่ยังอายุไม่มาก ล้วนเป็นเด็กหนุ่ม ในบรรดานั้นก็มีสตรีอายุน้อยอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ท่วงท่าของพวกนางองอาจ แต่ละคนคุ้นเคยกับการขี่ม้ายิงธนู ส่วนพวกผู้ติดตามจะมีอายุมากสักหน่อย แค่มองก็รู้ว่ามีชาติกำเนิดมาจากทหารบนสนามรบ
เมื่อหลายวันก่อนเฉินผิงอันเพิ่งได้เห็นภาพที่ลูกหลานคนรวยของแคว้นจินเฟยกลุ่มหนึ่งจับกลุ่มกันร่ำสุราอยู่ในศาลเทพภูเขา แล้วทิ้ง ‘ผลงานชิ้นเอก’ ขีดเขียนไว้บนฝาผนังของศาลอย่างสะเปะสะปะ หนึ่งในนั้นคือเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่แบกเทวรูปไม้ลงสีสันรูปหนึ่งขึ้นมาบนบ่า พาเดินออกจากประตูใหญ่ของศาล แล้วทุ่มเทวรูปออกไป ปากก็ตะโกนบอกว่าจะลองประชันพละกำลังแขนกับท่านเทพภูเขาดูสักหน่อย เทพภูเขาและเทพแห่งผืนดินที่หลบไปหาความสงบอยู่ไกลๆ เห็นภาพนี้ก็ได้แต่ทอดถอนใจ
ท่ามกลางแสงสนธยา เฉินผิงอันไม่ได้เดินเข้าไปในตัวเมือง แต่เดินออกห่างจากถนนทางหลวง ข้ามภูเขาแม่น้ำ เลียบเส้นทางสายเล็กคดเคี้ยวในป่าเขาเส้นหนึ่ง บางครั้งก็มองเห็นเงาร่างของผู้คน ส่วนใหญ่ล้วนมีเรือนกายปราดเปรียว น่าจะเป็นพวกผู้ฝึกวรยุทธในยุทธภพ เฉินผิงอันที่สวมชุดสีเขียวเหมือนควันเขียวเส้นหนึ่งที่ลอยวูบวาบไปตามต้นไม้ พอถึงช่วงค่ำคืน กลุ่มคนบนทางสายเล็กยังคงไม่จุดไฟ กลางดึกเฉินผิงอันพลันหยุดชะงัก ยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่ง ทอดสายตามองไปไกลก็เห็นว่าบนยอดเขาขนาดใหญ่ยักษ์ที่รอบด้านล้วนเป็นหน้าผาชันซึ่งตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยวมีแสงไฟสว่างเรืองรอง หลังคาเรือนของสิ่งปลูกสร้างรวมตัวกันอยู่แน่นขนัด มีเพียงสะพานไม้ขึงเส้นเหล็กที่เชื่อมโยงอยู่กับภูเขาใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันเท่านั้นที่สามารถนำพาไปยัง ‘เมืองเล็ก’ บนยอดเขาแห่งนั้นได้ สายลมภูเขายามราตรีพัดโชยพ่าน สะพานทั้งสายก็แกว่งไกวตามไปด้วยเบาๆ
มองดูคล้ายพรรคในยุทธภพที่มีอำนาจไม่น้อย เพราะปราณวิญญาณบริเวณใกล้เคียงบางเบา เมื่อเทียบกับเส้นชายแดนของแคว้นอิ๋นผิงและแคว้นไหวหวงแล้วก็แค่ดีกว่าเล็กน้อย ไม่เหมือนพื้นที่ฮวงจุ้ยพิเศษที่เหมาะให้ผู้ฝึกลมปราณมาใช้ฝึกตนใดๆ
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนกิ่งไม้ กัดกินขนมแป้งย่าง ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่บรรจุเหล้าของแคว้นหลันฝางไว้หลายสิบจิน ตลอดทางมานี้เขาดื่มเหล้าไม่บ่อย ตอนนี้จึงยังเหลืออยู่อีกเยอะ
เฉินผิงอันเริ่มหลับตาทำสมาธิ ต่อให้ผ่านการหลอมเล็กมาแล้ว แต่แท่นสังหารมังกรทั้งสองก้อนก็มีพัฒนาการไปอย่างเชื่องช้า ตลอดทางที่ผ่านมาจึงยังไม่อาจหล่อหลอมได้สำเร็จ
โดยไม่ทันรู้ตัว แสงไฟบนยอดเขาฝั่งตรงข้ามก็เริ่มทยอยกันดับลง สุดท้ายเหลือเพียงแสงเรืองรองคล้ายแสงดาวเท่านั้น
ยามฟ้าสาง เฉินผิงอันลืมตาขึ้น แปะยันต์แบกศิลาที่เรียนมาจากตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผีลงไปบนร่างของตัวเอง แล้วฝึกตนต่ออีกครั้ง
การเดินทางขึ้นเหนือ เดินๆ หยุดๆ ไปตามใจปรารถนา ขอแค่ไปถึงแคว้นลวี่อิงที่อยู่ทางแถบตะวันออกของอุตรกุรุทวีปได้ก่อนจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงก็พอ แคว้นลวี่อิงก็คือทางเข้าที่แม่น้ำใหญ่สายนั้นไหลลงสู่มหาสมุทร ภูมิประเทศทางภาคกลางของอุตรกุรุทวีป ตรงกลางจะเป็นเขาสูงตระหง่าน สองฝั่งอย่างตะวันออกและตะวันตกจะลาดเอียงเข้าหาน้ำทะเลอย่างต่อเนื่อง ทางทิศเหนือจะสูงกว่า มีลำคลองขนาดใหญ่หลายสิบสายที่ไหลลงสู่ท้องน้ำของมหานทีเส้นนี้ ก่อให้เกิดภาพเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่หนึ่งสายน้ำใหญ่ได้ครอบครองทางเข้าสู่มหาสมุทรถึงสองทาง
เฉินผิงอันหลอมเล็กแท่นสังหารมังกรสองก้อนได้พอสมควรแล้วก็จำแลงพวกมันเป็นภาพมายาแล้วใส่ไว้ในช่องโพรงลมปราณสองช่องที่ต่างก็เคยมี ‘ปราณกระบี่กลุ่มเล็ก’ ล้อมวน กระบี่บินชูอีสืออู่ต่างก็แยกกันอยู่คนละช่องโพรง
ทุกครั้งที่กระบี่บินพุ่งเข้าชนแท่นสังหารมังกร คมกระบี่ที่ถูกลับจะเกิดประกายไฟแลบวูบวาบ หัวใจของเฉินผิงอันก็เหมือนถูกมีดคว้าน นี่ก็คือสาเหตุหลักที่ทำให้เขาเดินทางได้ไม่เร็วนัก ระดับความเร็วในการหลอมเล็กของเฉินผิงอันเทียบเท่าได้กับความเร็วในการ ‘กินอาหาร’ อย่างแท่นสังหารมังกรของชูอีกับสืออู่เท่านั้น รอจนพวกมันกินแท่นสังหารมังกรนี้จนหมดถึงจะเรียกว่าเป็นการรองท้องปูพื้นฐาน หลังจากนี้การหลอมชูอีสืออู่เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตต่างหากจึงจะเป็นกุญแจสำคัญ ซึ่งขั้นตอนนั้นต้องอันตรายและผ่านพ้นไปได้อย่างยากลำบากแน่นอน
ทว่าความรู้สึกที่ราวกับเหมือนได้กลับไปถูกคนป้อนหมัดบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วอีกครั้งเช่นนี้กลับทำให้เฉินผิงอันรู้สึกมั่นคงมากเป็นพิเศษ
บนสะพานมีเสียงล้อรถบดพื้นถนนของรถใส่ปุ๋ยหลายคันดังแว่วมา ภูเขาสูงที่อยู่อีกแถบหนึ่งของสะพานนี้ได้ถูกบุกเบิกเป็นไร่พืชผักขนาดใหญ่ จากนั้นก็มีกลุ่มคนที่มาตักน้ำจากธารน้ำภูเขาห่างไปไกลเดินตามมา มีเด็กเล็กหักกิ่งหลิวเดินตามขบวนมาด้วย พวกเขากระโดดโลดเต้น ในมือถือถังน้ำใบเล็กที่ถือไว้พอเป็นพิธีเท่านั้น จากนั้นในหมู่บ้านขนาดเล็กบนยอดเขาก็มีเสียงตวาดเสียงคำรามจากผู้ฝึกยุทธยามที่ฝึกหมัดฝึกดาบดังขึ้นมา
พักอาศัยอยู่บนภูเขา อีกทั้งยังไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่หลีกเลี่ยงธัญพืชทั้งห้า ถึงอย่างไรก็ยังเป็นปัญหา เงาร่างที่ก่อนหน้านี้ทยอยกันกลับมาถึงหมู่บ้านขนาดเล็กบนภูเขากลางดึก คนส่วนใหญ่ล้วนมีห่อสัมภาระติดตัวมา และระหว่างนี้ก็ยังมีคนที่จูงลาซึ่งแบกวัตถุหนักข้ามสะพานกลับมาบ้านด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!