จากนั้นก็เข้าสู่พื้นที่อันเป็นเมืองหลวงของแคว้นอู่หลิง ไม่ว่าจะผ่านโบราณสถานหรือสถานที่ที่มีชื่อเสียงแห่งใด ผู้อาวุโสล้วนจะต้องหยุดม้าลงไปเที่ยวชม บางครั้งยังจะสลักตัวอักษรที่อยู่บนกรอบป้าย กลอนคู่และป้ายศิลาของสถานที่เหล่านั้นลงบนแผ่นไม้ไผ่ด้วย
ตลอดทางที่เดินทางกันมานี้ก็เคยเจอกับจอมยุทธหนุ่มสาวที่ออกมาท่องยุทธภพอยู่ไม่น้อย พวกเขาควบม้าตะบึงสวนทางไปกับรถม้า
ชายแขนเสื้อของหนุ่มสาวและแผงขนหน้าผากม้าต่างก็โบกสะบัดไปตามสายลม
แล้วก็เคยเดินทางผ่านหมู่บ้านในชนบท เคยมีกลุ่มเด็กที่เล่นกันอย่างสนุกสนานพากันกระโดดข้ามลำธารหนึ่งสาย ต่อให้เป็นเด็กหญิงท่าทางอ่อนแอก็ยังถอยหลังไปหลายก้าวแล้วกระโจนพุ่งตัวไปด้านหน้า
มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินอาดๆ มายืนอยู่ข้างลำธารสายเล็ก แต่กลับไม่ได้วิ่งตะบึงกระโดดข้ามไป เขาเพียงแกว่งแขน พยายามจะออกแรงอยู่ที่เดิมเพื่อดีดร่างข้ามไปอีกฝั่ง ผลคือร่วงจ๋อมลงไปในธารน้ำโดยตรง
ตอนนั้นรถม้าหยุดอยู่ห่างมาไม่ไกล สุยจิ่งเฉิงมองใบหน้าด้านข้างของผู้อาวุโส พอเขาเห็นภาพนี้ดวงตาก็หรี่ลง รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า
รถม้าอ้อมผ่านเมืองหลวงแคว้นอู่หลิงมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ
ตรงดิ่งไปยังหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวของหวังตุ้นบุคคลอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพแคว้นอู่หลิง
ตลอดทางมานี้เนื่องจากไม่ได้จงใจอ้อมผ่านเมืองและอำเภอต่างๆ ส่วนใหญ่ล้วนจะเข้าไปด้านในทั้งสิ้น ดังนั้นข่าวคราวบางส่วนที่แพร่ไปทั่วยุทธภพจึงล้วนได้ยินมาหมด
หวังตุ้นเลื่อนขั้นเป็นสิบคนในอันดับใหม่ล่าสุด แม้ว่าจะอยู่รั้งท้ายสุด แต่กระนั้นก็ยังคงทำให้แคว้นอู่หลิงมีบรรยากาศของการเฉลิมฉลองแห่งแคว้นได้
เพราะลำพังเพียงแค่ราชวงศ์ต้าจ้วนก็มีมากถึงห้าคนแล้ว ว่ากันว่ายังมีปรมาจารย์อายุมากที่ไม่เผยโฉมมานานอีกหลายคน แคว้นชิงสือมีเพียงเซียวซูเย่คนเดียวที่อยู่ในอันดับเก้า แคว้นจินเฟยที่ผู้คนกล้าแกร่ง กองกำลังแคว้นรุ่งเรืองกลับไม่มีใครติดอันดับสักคน แคว้นหลันฝางก็ยิ่งไม่ต้องคิด ดังนั้นต่อให้จะอยู่รั้งท้ายสุด แต่นี่ก็ยังถือว่าเป็นเกียรติยศอันใหญ่หลวงของผู้อาวุโสหวังตุ้น และยิ่งทำให้บนใบหน้าของคนแคว้นอู่หลิงที่เป็นแคว้น ‘ขนบธรรมเนียมบุ๋นอ่อนแอไร้ผู้กล้า’ ทุกคนรู้สึกมีหน้ามีตา
ฮ่องเต้แคว้นอู่หลิงยังตั้งใจส่งทูตคนหนึ่งออกจากเมืองหลวงเพื่อนำกรอบป้ายหนึ่งกรอบมามอบให้
เพราะฉะนั้นสุยจิ่งเฉิงจึงเดาได้เลยว่า หมู่บ้านภูเขาส่าส่าวในเวลานี้จะต้องมีมิตรสหายนั่งกันอยู่เต็มห้องโถง มีผู้คนที่มาแสดงความยินดีไม่ขาดสาย
เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสหวังตุ้นเคยได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้สกุลโจวแคว้นต้าจ้วนแล้วหรือไม่ แล้วได้นั่งเรือข้ามฟากตระกูลเซียนกลับมาจากเมืองหลวงต้าจ้วนหรือยัง
ส่วนข่าวที่เกี่ยวกับสุยจิ่งเฉิงก็ยิ่งไม่น้อยไปกว่าการติดอันดับของหวังตุ้น ผู้คนพูดคุยกันอย่างออกรส โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในยุทธภพที่พอพูดถึงเรื่องนี้ แต่ละคนน้ำลายแตกฟอง พวกสตรีข้างกายพวกเขาที่ออกมาท่องยุทธภพด้วยกัน ส่วนใหญ่ล้วนมีสีหน้าไม่สบอารมณ์
ทุกครั้งสุยจิ่งเฉิงจะต้องแอบลอบมองเขา แต่หากเขาไม่ได้ดื่มเหล้ากินข้าวอยู่ในเหลาสุราเงียบๆ ก็จะทำเพียงแค่ดื่มน้ำชาคุณภาพแย่ตามร้านน้ำชาข้างทางเพื่อดับกระหายเท่านั้น
นี่ทำให้นางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
แล้วก็มีบางครั้งที่พบเจอกับกลุ่มปัญญาชนที่มาร่ำสุรากันตามภูเขาแม่น้ำที่มีชื่อเสียง
มีคนชูจอกเหล้าขึ้นสูงร้องตะโกนว่า ‘อยู่ในป่าคือต้นไม้ยักษ์ ออกจากภูเขาคือหญ้าต้นเล็ก’ ด้วยน้ำตาที่อาบใบหน้า ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็อารมณ์โศกเศร้าตามกันไป แล้วก็มีคนลุกขึ้นรำกระบี่ นี่คงจะพอถือว่าเกิดจิตใจอันฮึกเหิมได้บ้างแล้ว
รถม้าค่อยๆ ขับผ่านมา
สุยจิ่งเฉิงยิ้มกล่าว “หากผู้มีชื่อเสียงจับกลุ่มชุมนุมกันตามภูเขาเขียวสายน้ำไหล ผู้อาวุโสรู้หรือไม่ว่าจะไม่ขาดคนสองประเภทไหนมากที่สุด?”
เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน ไหนเจ้าลองเล่าให้ฟังสิ”
สุยจิ่งเฉิงยิ้มกล่าวว่า “งานชุมนุมของปัญญาชนเหล่านี้จะต้องมีคนที่สามารถเขียนบทกวีที่เป็นที่นิยม ทางที่ดีที่สุดก็ควรจะมีจิตรกรเอกที่สามารถวาดภาพซึ่งหน้าตาโดดเด่นอีกสักคนหนึ่ง หากมีเพียงหนึ่งในสองก็สามารถทิ้งชื่อเสียงไว้ในประวัติศาสตร์ แต่หากมีครบทั้งสองก็จะกลายเป็นเรื่องเล่างดงามที่เล่าสืบขานต่อกันไปเป็นพันปี”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีเหตุผลมาก วันหน้าข้าจะต้องเอาคำกล่าวนี้ไปบอกสหายคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเขียนมันลงไปในบันทึกภูเขาแม่น้ำ”
สุยจิ่งเฉิงที่สวมหมวกคลุมใบหน้าปิดปากหัวเราะ นางนั่งเบี่ยงตัวอยู่นอกห้องโดยสาร สองขาแกว่งเบาๆ
ขยับเข้ามาใกล้หมู่บ้านภูเขาส่าส่าวแล้ว เฉินผิงอันจึงขายรถม้าในราคาถูกกว่าที่ซื้อมาในอำเภอแห่งหนึ่ง
ขอห้องสองห้องจากในโรงเตี๊ยม เมื่อขยับเข้าใกล้เมืองก็เห็นได้ชัดว่ามีคนในยุทธภพเพิ่มมากขึ้น น่าจะเป็นพวกคนที่มาแสดงความยินดีที่หมู่บ้านภูเขาเพราะได้ยินข่าว
จำต้องยอมรับว่าความสัมพันธ์ควันธูปในยุทธภพสามารถสร้างได้ด้วยการวิ่งไปเยือน ก็เหมือนกับความสัมพันธ์ของสหายหลายคนที่สามารถสร้างได้ด้วยการดื่มเหล้าบนโต๊ะสุรา
การที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพจนกลายเป็นพวกผู้อาวุโส หากไม่เป็นเพราะมีวรยุทธเลิศล้ำ ต่อให้นิสัยแย่แค่ไหนก็ไม่เป็นไร เพราะถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นนิสัยของผู้กล้า ไม่อย่างนั้นก็จะต้องเป็นพวกจิ้งจอกเฒ่าที่วรยุทธไม่เก่งกาจ แต่กลับเจ้าเล่ห์มากกลอุบาย ชื่อเสียงของคนกลุ่มนี้ก็จะดีมากเหมือนกัน ส่วนพวกเด็กรุ่นหลังที่เข้าใจวิธีการในยุทธภพก็จะอาศัยการอดทน อดทนให้พวกผู้อาวุโสระดับสองเหล่านี้พากันตายไป เก้าอี้แต่ละตัวว่างลง พวกเขาก็จะถือโอกาสคล้อยตามสถานการณ์กลายไปเป็นผู้อาวุโสแห่งยุทธภพที่ได้นั่งบนเก้าอี้ เพียงแต่ว่าการลืมตาอ้าปากด้วยวิธีนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบ ดังนั้นพวกคนหนุ่มสาวที่พอจะมีประกายจึงมักจะไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนเก่าแก่ในยุทธภพสักเท่าไร
แต่ฟังจากคำกล่าวของสุยจิ่งเฉิง ผู้อาวุโสหวังตุ้นกลับเป็นคนที่มีชื่อเสียงและคุณธรรมอย่างแท้จริง
เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองถนนที่ผู้คนเบียดเสียดจอแจอยู่พักหนึ่ง
จากนั้นเขาก็ไปเคาะประตูห้องด้านข้าง บอกว่าจะไปนั่งในร้านสุราของอำเภอสักหน่อย อยากจะดื่มเหล้าสักสองสามกา
สุยจิ่งเฉิงนำหมวกมาสวมใหม่อีกครั้ง นางเดินออกมาจากธรณีประตูด้วยความรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย บอกว่าอยากจะไปนั่งดื่มเหล้าข้างทางด้วย ในอดีตนางแค่เคยอ่านเจอมาจากนิยายในยุทธภพเท่านั้น ในนิยายบอกว่าเวลาถึงงานเลี้ยงฉลองของยุทธจักร เหล่าผู้กล้าจะมารวมตัวกันกินเนื้อชิ้นใหญ่ดื่มเหล้าชามโต นางจึงใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง อยากจะไปลองดูสักหน่อย
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ขัดขวางนาง
คนทั้งสองไปถึงร้านเหล้าที่คึกคักซึ่งตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนน เพราะคนของโต๊ะหนึ่งคิดเงินจากไปถึงได้มีที่นั่ง เฉินผิงอันสั่งเหล้ามาหนึ่งกาแล้วรินให้นางหนึ่งถ้วย
สุยจิ่งเฉิงสวมหมวกคลุมหน้า ดังนั้นเวลาดื่มเหล้าจึงได้แต่ก้มหน้าลงไป แล้วเลิกมุมหนึ่งของม่านคลุมหน้าขึ้น
โต๊ะในร้านเหล้าตั้งอยู่ห่างกันไม่มาก ผู้คนส่วนใหญ่ส่งเสียงพูดคุยครึกครื้น บ้างก็เล่นทายหมัด (เป่ายิงฉุบ) บนโต๊ะสุรา บ้างก็พูดคุยถึงเรื่องน่าสนใจในยุทธภพ โต๊ะยาวที่อยู่ด้านหลังสุยจิ่งเฉิงเป็นชายฉกรรจ์คนหนึ่ง เขามองหน้าและยิ้มให้กับสหายที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน จากนั้นก็จงใจยื่นมือออกมาเล่นทายหมัด แต่แสร้งทำเป็นเหวี่ยงมือมาด้านหลังหวังให้ปัดหมวกของสุยจิ่งเฉิงร่วงลง เพียงแต่สุยจิ่งเฉิงกลับโน้มตัวมาด้านหน้า หลบมาได้พอดี ชายฉกรรจ์คนนั้นอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่คิดได้คืบจะเอาศอก ทว่าสุดท้ายแล้วก็อดทนข่มกลั้นไว้ไม่ไหว สตรีผู้นี้มองดูแล้วเรือนร่างงดงามมากจริงๆ หากไม่ได้เห็นสักครั้งจะไม่เท่ากับว่าเสียเปรียบครั้งใหญ่เลยหรือ เพียงแต่ว่าไม่รอให้พวกเขาได้ลงมือทำอะไรก็มีกลุ่มคนในยุทธภพกลุ่มใหม่มาถึง พวกเขาแต่งตัวอย่างหรูหราควบม้ากันมาเป็นกลุ่ม พอพลิกตัวลงจากหลังม้าก็ไม่คิดจะผูกม้าให้เรียบร้อย แต่กวาดตามองไปรอบด้าน พอเห็นคู่ชายหญิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันและยังมีโต๊ะยาวสองตัวว่างอยู่ อีกทั้งดูจากท่านั่งหันข้างของสตรีผู้นั้นที่ราวกับว่านางก็คือสุราเลิศรสที่สุดของอำเภอแห่งนี้แล้ว บุรุษร่างกำยำผู้หนึ่งก็เดินตรงไปนั่งแปะลงบนโต๊ะยาวระหว่างสตรีสวมหมวกม่านกับบุรุษสวมชุดเขียว แล้วจึงกุมหมัดยิ้มกล่าวว่า “ข้าน้อยหลูต้าหย่งแห่งพรรคห้าทะเลสาบ เหล่าสหายให้เกียรติตั้งฉายาให้ว่า ‘เจียวพลิกแม่น้ำ’!”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เลื่อมใสมานานๆ ยินดีที่ได้พบๆ”
จอมยุทธใหญ่หลูผู้นี้ยังมีสหายมาด้วยกันอีกสามคน เขายิ้มกว้างเอ่ยว่า “ไม่ถือสาหากจะนั่งด้วยกันกระมัง? คนในยุทธภพไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์เล็กๆ น้อยๆ นั่งเบียดๆ กันหน่อยก็ได้…”
เพียงแต่ว่าเขากำลังจะกวักมือเรียกคนอีกสามคนใหม่มานั่ง แน่นอนว่าต้องมีคนที่ได้นั่งม้านั่งยาวตัวเดียวกับสตรีสวมหมวก ยกตัวอย่างเช่นเขาที่ลุกขึ้นยืนเรียบร้อยแล้ว กะว่าจะยกม้านั่งที่ตนนั่งอยู่ตอนนี้ให้สหาย ส่วนตัวเองจะไปนั่งเบียดกับนาง คนในยุทธภพล้วนเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ยึดหลักกฎเกณฑ์คร่ำครึที่ว่าชายหญิงไม่ใกล้ชิดกันอะไรนั่น
คิดไม่ถึงว่าคนหนุ่มผู้นั้นจะยิ้มตอบว่า “ถือสิ”
แต่เห็นได้ชัดว่าจอมยุทธใหญ่หลูคาดไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ เขาจึงลุกขึ้นยืนเรียบร้อย ชายร่างกำยำได้กลิ่นหอมเย็นที่ยั่วยวนใจคนยิ่งกว่ากลิ่นหอมของสุราลอยมาก็เตรียมจะนั่งลงบนม้านั่งตัวยาวนั้นอย่างผึ่งผาย
เพียงแต่ว่านาทีถัดมา ไม่เพียงแต่จอมยุทธใหญ่ผู้นี้ที่หยุดการกระทำลง พวกคนที่มุงดูเหตุการณ์ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ยินคำว่า ‘ถือสิ’ อย่างชัดเจนก็ไม่ได้หัวเราะครืนเสียงดัง แต่ละคนลอบกลืนน้ำลาย และยังมีบางคนที่กระดกก้นขึ้นเตรียมจะเผ่นหนีเพื่อความปลอดภัยแล้ว
เพราะว่ามีกระบี่บินสีเขียวมรกตขนาดเล็กจิ๋วเล่มหนึ่งลอยห่างอยู่จากหว่างคิ้วของชายร่างกำยำผู้นั้นเพียงไม่กี่ชุ่น
คนชุดเขียวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แล้วตอนนี้เจ้าถือสาที่จะนั่งเบียดกับข้า ดื่มเหล้าด้วยกันหรือไม่?”
ไม่ถือ?
ถือ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!